ทุกคนล้วนแต่ตื่นตะลึง หมอใหญ่พูดผิดหรือพวกเขาฟังผิดไปกันแน่?
สตรีผู้นี้ตั้งครรภ์จริงๆ ได้อย่างไรกัน?
แม้แต่อวี๋หวั่นเองก็ตะลึงงันเช่นกัน
เธอ…ตั้งท้อง?
เธอ…ตั้งท้องหรือ?!
เป็นไปได้ยังไงเนี่ย!!!
เธอปวดท้อง เห็นชัดๆ ว่าประจำเดือนกำลังจะมา!!!
อวี๋หวั่นเงยหน้ามองฟ้า
เอ๊ะ…
เดี๋ยวก่อน คล้ายกับว่าตอนตั้งท้องอ่อนๆ ก็มักจะมีอาการปวดเล็กน้อย?
แต่ก็เหลือเชื่ออยู่ดีนั่นแหละ!
อวี๋หวั่นยกมือขึ้นป้องปาก พลางกระซิบถามหมอใหญ่ว่า “ท่านหมอใหญ่ มีอะไรผิดพลาดหรือเปล่า? ลองตรวจให้ข้าอีกครั้งเถิด”
หวั่นเฟิงปราดเข้ามา กดเสียงลงถามว่า “นั่นสิขอรับ ท่านคงไม่ได้ตรวจผิดพลาดหรอกกระมัง?”
ทั้งสองคิดว่าเสียงของตนนั้นเบาแล้ว ทว่าโดยรอบล้วนมีแต่เหล่ายอดฝีมือ พวกเขาได้ยินสิ่งที่ทั้งสองพูดอย่างแจ่มชัด มิได้แตกต่างจากเสียงคนพูดคุยกันปกติแม้แต่น้อย
คนที่เมื่อครู่บอกว่าตั้งครรภ์ก็คือพวกเจ้า คนที่เคลือบแคลงในการตรวจของหมอใหญ่ก็คือพวกเจ้า เลิกเล่นกันได้แล้ว
หมอใหญ่มองพวกเขาแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “หากไม่เชื่อวิชาแพทย์ของหมออาวุโสอย่างข้า ก็ไม่ต้องไปเชิญใครหน้าไหนมาตรวจแล้ว!”
พูดจบ เขาก็เดินปึงปังจากไปโดยไม่สนว่าทั้งสองจะมีสีหน้าอย่างไร
เจ้าสำนักเชิญลูกศิษย์สำนักเฟยอวี๋ที่รู้วิชาแพทย์อีกหลายคนมา ผลการตรวจล้วนเป็นดังที่หมอใหญ่กล่าวไว้ไม่มีผิดเพี้ยน ตั้งครรภ์ได้เดือนเศษแล้ว!
อวี๋หวั่นก้มหน้ามองหน้าท้องของตน
เธอแค่พูดไปส่งๆ แต่กลับมีเด็กอยู่ในท้องจริง?
อวี๋หวั่นผู้ซึ่งมีลูกสามคนก็เพียงพอแล้ว ไม่ได้คาดหวังว่าจะมีลูกคนที่สี่ “…”
ไม่จริง…
หวั่นเฟิงตัวแข็งทื่อ “ข้าๆๆๆๆ…ข้าเป็นพ่อคนแล้วหรือ…”
ซิวหลัว: เจ้าๆๆๆๆ…เจ้าเข้าถึงบทบาทเกินไปแล้ว!
เดิมทีคิดว่าหวั่นเฟิงเป็นกำลังเล่นละครตบตา ทว่าสตรีผู้นี้ตั้งครรภ์จริง ดังที่ภาษิตกล่าวไว้ คนนอกมักมองเห็นสถานการณ์ได้อย่างแจ่มแจ้ง เมื่อเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับทายาทของตระกูล เจ้าสำนักจึงมิได้มีท่าทีดึงดันเฉกเช่นก่อนหน้านี้
ถ้าหาก…เด็กคนนี้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของหวั่นเฟิงจริงเล่า?
เจ้าสำนักมีบุตรชายสามคนและบุตรสาวหนึ่งคน บุตรสาวคนโตไม่พึงพอใจกับการแต่งงานที่เขาจัดแจงให้ จึงยอมออกจากสำนักไปแต่งงานในหนานจ้าว ภายหลังก็มิได้ติดต่อกับสำนักเฟยอวี๋อีก เขาเพิ่งจะมารู้ว่าบุตรสาวคนโตจากไปนานแล้ว เลือดเนื้อเชื้อไขเพียงคนเดียวของนางก็คือหวั่นเฟิง
บุตรชายคนโตและคนรองเป็นลูกของอนุภรรยา มิได้มีความสำคัญเท่าไร ถูกส่งออกไปนอกสำนักแล้ว ผู้ที่ยังอยู่เพียงคนเดียวก็คือบุตรชายคนเล็ก ทว่าเรื่องการแต่งงานของบุตรชายคนเล็กก็ล่าช้าออกไปอีก ถ้าหากในท้องของสตรีผู้นี้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของหวั่นเฟิง เช่นนั้นเขาก็จะเป็นเหลนคนแรกของตระกูล
เป็นเหลนนอกหรือเหลนในเขาไม่ยี่หระ จะให้หวั่นเฟิงเปลี่ยนแซ่ก็ยังได้ และเด็กคนนี้ก็จะเป็นนายน้อยในสำนัก!
เมื่อบุรุษชุดดำเห็นว่าเขาลังเล จึงลอบสบถในใจว่าตนลืมดูฤกษ์ออกเดินทาง เห็นได้ชัดว่ากำลังจะออกไปแล้ว แต่กลับเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น สตรีผู้นี้โชคดีเสียจนผู้คนต้องอิจฉา อยู่ๆ ก็พบกับคนคุ้นเคย ทั้งยังเป็นหลานชายของเจ้าสำนักอีกด้วย!
บุรุษชุดดำเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าสำนักจี้ หลานชายท่านไม่รู้ประสีประสา ท่านอย่าได้ถูกหลอกลวงง่ายๆ นางคือชายาที่ท่านอ๋องของพวกข้าตบแต่งอย่างเป็นทางการ นางจะตั้งท้องกับหลานชายของท่านได้อย่างไร?”
หวั่นเฟิงเห็นช่องโหว่พอดี “นั่นสิ ฮูหยินของพวกเจ้าจะท้องลูกของข้าได้อย่างไรกัน? เห็นทีคงจะบอกได้เพียงว่า นางไม่ใช่ฮูหยินของพวกเจ้าตั้งแต่แรกแล้ว! เจ้ากำลังโกหก!”
บุรุษชุดดำหัวเราะค่อนแคะ “คุณชายน้อยหวั่นเฟิง สำนักเฟยอวี๋อันแสนแร้นแค้นของพวกเจ้ามิได้อยู่ในสายตาเผ่าปีศาจของพวกข้า เจ้าจะยอมใช้ชีวิตของคนสกุลจี้นับหมื่นคนในสำนักมาแลกกับสตรีเพียงคนเดียวจริงรึ!”
เจ้าสำนักนัยน์ตากระตุกวูบ
ผู้พิทักษ์จูเก๋อกล่าวได้ถูกต้อง แม้ว่าสำนักเฟยอวี๋จะเป็นสำนักใหญ่ ทว่าไม่อาจเทียบได้กับเผ่าปีศาจ หากเผ่าปีศาจปล่อยซิวหลัวออกมาคนเดียวก็สามารถฆ่าล้างบางพวกเขาได้แล้ว พวกเขาไม่มีกำลังมากพอที่จะต่อต้านเผ่าปีศาจ
เพียงแต่ว่า หากจะให้เขาส่งมอบเหลนเพียงคนเดียวให้แก่เผ่าปีศาจ เขาก็คงยอมไม่ได้
บุรุษชุดดำพูดต่อ “ข้ารับรองด้วยชีวิตเลยว่าไปนางไม่ได้ตั้งท้องทายาทตระกูลของท่าน คุณชายน้อยหลอก
ทุกคนเพียงเพื่อต้องการปกป้องนาง”
“เฟิงเอ๋อร์ เป็นเช่นนั้นจริงหรือ?” เจ้าสำนักมองไปยังหวั่นเฟิงด้วยสีหน้าขึงขัง
นัยน์ตาของหวั่นเฟิงเป็นประกายวูบหนึ่ง “ท่านตาอย่าไปฟังเขานะขอรับ! เป็นความผิดของพวกเขาเอง! ท่านพี่หวั่น…อาหวั่นเป็นภรรยาของข้า! ถ้าเด็กในท้องไม่ใช่ลูกของข้า แล้วจะเป็นลูกของคนป่าเถื่อนที่ไหนได้อีกละขอรับ!”
ฮัดชิ้ว!
ในรถม้าซึ่งเคลื่อนโขยกเขยกไปบนทางขรุขระ คุณชายเยี่ยนก็จามออกมาอย่างแรง!
บุรุษชุดดำยิ้ม พลางกล่าวว่า “เวลาก็ล่วงเลยมามากแล้ว ข้าควรพาฮูหยินกลับเผ่าได้แล้ว”
เจ้าสำนักจี้ชะงัก “สมมตินางเป็นฮูหยินเจ้า เจ้าจะยอม…ให้นางไปตั้งครรภ์เลือดเนื้อเชื้อไขของบุรุษอื่นหรือ?”
บุรุษชุดดำยกยิ้มมุมปาก “นี่เป็นเรื่องภายในของเผ่าข้า ไม่ต้องลำบากเจ้าสำนักจี้มาเป็นกังวลแทน”
ได้ยินมานานแล้วว่าอ๋องแห่งเผ่าปีศาจนั้นมีนิสัยแปลกประหลาดยากจะคาดเดา ใครจะไปรู้ว่าเหตุใดเขาจึงไว้ชีวิตฮูหยินที่ไปมีสัมพันธ์กับบุรุษอื่น ไม่ยอมสังหารนาง ทั้งยังให้ตนไปจับนางกลับเผ่ามาอีกด้วย
เรื่องหนึ่งที่เจ้าสำนักจี้รู้ดีก็คือ คนบางประเภทปล่อยเจ้าไปไม่ใช่เพราะความเมตตา หากแต่เป็นเพราะให้เจ้าทรมาน มีชีวิตอยู่ก็มิสู้ตาย
เมื่อนึกถึงอ๋องแห่งเผ่าปีศาจ เจ้าสำนักจี้ก็ตัวสั่นเทิ้ม
เขาคงช่วยสตรีผู้นี้ไว้ไม่ได้
ต่อให้นางจะตั้งท้องเลือดเนื้อเชื้อไขของหวั่นเฟิง แต่เห็นทีก็คงต้องทำใจยอมรับว่านางด้อยวาสนา
เจ้าสำนักจี้นึกถึงบุตรสาวผู้ล่วงลับในต่างแดน พลางหลับตาลงด้วยความชอกช้ำ “พาตัวคุณชายน้อยไป”
ลูกศิษย์สองคนพุ่งเข้ามา หมายคว้าแขนของหวั่นเฟิงคนละข้าง
หวั่นเฟิงกลับดึงกระบี่ของลูกศิษย์คนหนึ่งมา แล้วยืนขวางด้านหน้าของอวี๋หวั่น “พวกเจ้าอย่าเข้ามา! กระบี่ไร้ตา[1]! ข้าจะไม่ปรานีหรอกนะ!”
หวั่นเฟิงไร้วรยุทธ์ การจับเขาย่อมมิใช่เรื่องยาก สิ่งที่ยากก็คือทันทีที่เขามีปฏิกิริยาตอบสนอง เขาก็จะตวัดกระบี่ฟันคอในทันใด “ถ้าพวกเจ้าจะพาตัวนางไป ก็ข้ามศพข้าไปก่อน!”
เจ้าสำนักจี้ตวาดว่า “เหลวไหล!”
บุรุษชุดดำหรี่ตา หากยังล่าช้ากว่านี้ ฟ้าก็คงจะมืดเสียแล้ว ในเมื่อเจ้าสำนักจี้จัดการเจ้าเด็กนี่ไม่ได้ เขาก็ต้องลงมือด้วยตนเอง!
บุรุษชุดดำกระโดดลงมาจากหลังม้า เขายื่นมือออกมา หมายจะใช้มือข้างหนึ่งคว้ากระบี่ของหวั่นเฟิง อีกข้างหนึ่งเอื้อมไปคว้าหัวไหล่ของอวี๋หวั่น
ในชั่วพริบตาเดียว ก็มีแสงสว่างวาบพุ่งมาจากเส้นขอบฟ้า ตรงเข้าไปปักในกลางอกของบุรุษชุดดำจากด้านหลัง!
บุรุษชุดดำมิได้คาดคิดว่าจะมีผู้ใดในสำนักเฟยอวี๋กล้าลอบโจมตีเขาเช่นนี้ กว่าเขาจะสัมผัสได้ถึงปราณกระบี่ก็สายเกินไปเสียแล้ว หัวใจของเขาก็ถูกแทงทะลุ เขาพุ่งลงกลางอากาศ ล้มลงกระแทกพื้น กระอักเลือดออกมาแล้วสิ้นลมตรงนั้น
สายตาของผู้คนจับจ้องไปยังกระบี่ที่ปักลงบนแผ่นหลังของเขา ทุกคนต่างหน้าถอดสี!
กระบี่เฟยอวี๋
เจ้าสำนักน้อย?!
เจียงไห่ใช้วิชาตัวเบาลอยลงมาด้านข้างของเขา ดึงกระบี่ออกด้วยสีหน้าเรียบเฉย พร้อมกับกล่าวว่า “กล้าลอบโจมตีคุณชายน้อยแห่งสำนักเฟยอวี๋ ย่อมมีจุดจบเช่นนี้!”
ผู้คนต่างตกตะลึง เจ้าสำนักน้อยลงมือเพราะคิดว่าผู้พิทักษ์จูเก๋อคิดจะลอบโจมตีคุณชายหวั่นเฟิง?
เมื่อทูตแห่งความมืดทั้งสี่เห็นว่าผู้พิทักษ์จูเก๋อถูกเจ้าสำนักน้อยสังหาร พวกเขาจึงแลกเปลี่ยนสายตากัน จับบังเหียนแน่นเพื่อควบม้ากลับเผ่า
เจ้าสำนักจี้เอ่ยขึ้นทันใด “สังหารพวกเขา!”
ห้ามให้พวกเขานำข่าวกลับไปรายงานเป็นอันขาด ไม่เช่นนั้นต่อให้เป็นการสังหารที่เกิดจากความเข้าใจผิด เผ่าปีศาจก็ย่อมต้องการให้ลูกชายของเขาชดใช้ด้วยชีวิต!
ลูกศิษย์สำนักเฟยอวี๋กรูเข้าไปล้อมทูตแห่งความมืดทั้งสี่เอาไว้
วรยุทธ์ของทั้งสี่นั้นสูงส่ง จะสังหารพวกเขามิใช่เรื่องง่าย เพียงชั่วพริบตาเดียว ลูกศิษย์สำนักเฟยอวี๋ก็ถูกพวกเขาจัดการ
อวี๋หวั่นมองไปยังเจียงไห่ “ดาบของเจ้าทนไหม?”
เจียงไห่เข้าใจในทันใด เขามองไปยังตรวนข้อเท้าของซิวหลัว ตวัดดาบและทำลายตรวนนั้นเสีย
“มีแส้นั่นด้วย!” อวี๋หวั่นชี้ไปยังทูตแห่งความมืดคนหนึ่ง
เจียงไห่ใช้วิชาตัวเบาไปชิงแส้ซึ่งเหน็บอยู่ที่เอวของเขามา
เมื่อปราศจากศัตรู ซิวหลัวก็ไม่มีสิ่งใดต้องกังวล เขาระเบิดจิตสังหารออกมา ทูตแห่งความมืดทั้งสี่ก็สลายเป็นผุยผงในทันใด!
“นั่น…” เจ้าสำนักจี้อ้าปากค้าง
อวี๋หวั่นร้อง ‘โอ้’ แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ซิวหลัว”
เจ้าสำนักจี้รู้สึกแข้งขาไร้เรี่ยวแรงในทันใด!
สตรีผู้นี้มีซิวหลัวในครอบครองหรือ? นะ…นาง…นางไม่ใช่ฮูหยินของเผ่าปีศาจจริงๆ หรือ?
หลานชายของเขาสวมเขาให้อ๋องแห่งเผ่าปีศาจ? และหลับนอนกับฮูหยินของเขาหรือ???
หัวหน้าเผ่าจี้แทบล้มทั้งยืน
“พี่ใหญ่จี้”
ดรุณีน้อยคนหนึ่งกระวีกระวาดเข้ามา เมื่อครู่นางกำลังสนทนาอยู่กับเจ้าสำนักน้อย ทันใดนั้นเจ้าสำนักน้อยก็ปรี่ออกมา นางเป็นห่วงว่าจะเกิดเรื่องขึ้นในสำนัก จึงรีบตามมาดู และพบว่าเจ้าสำนักน้อยสังหารคน
นางไม่รู้จักคนที่นอนสิ้นใจอยู่บนพื้น นางมองเพียงปราดเดียวก็ต้องรีบเบนสายตาหนี เมื่อเทียบกับบุรุษที่ตายด้วยน้ำมือของพี่ใหญ่จี้แล้ว นางสนใจสตรีที่พี่ใหญ่จี้ช่วยเอาไว้มากกว่า
นางมองไปยังอวี๋หวั่นซึ่งยืนอยู่ด้านข้าง “นางคือ…”
ลูกศิษย์รีบบอกด้วยความกระตือรือร้น “เรียนคุณหนูเว่ย นางเป็นฮูหยินของคุณชายหวั่นเฟิงขอรับ!”
คุณหนูเว่ยตกใจ “หวั่นเฟิงมีภรรยาแล้วนะ”
ไม่เพียงเท่านั้น เขายังมีเจ้าตัวน้อยด้วย หวั่นเฟิงอยากร่ำไห้แต่ก็ไร้น้ำตา
……………………………………..
[1] กระบี่ไร้ตา เปรียบเปรยว่าพวกใช้อาวุธในการต่อสู้จะง่ายต่อการบาดเจ็บ