ที่แท้ท่านก็เป็นภิกษุเช่นนี้!
ในใจของอวี๋หวั่นเกิดคลื่นโหมกระหน่ำ แต่คิดไปคิดมา ดูเหมือนว่าก็มิใช่ไม่มีสัญญาณบ่งบอกเสียทีเดียว
ทักษะการปลอมตัวที่แสนอ่อนหัดของเธอ หลอกสตรีโง่เขลาอย่างหนานกงซียังพอไหว แต่หากจะหลอกต่งเซียนเอ๋อร์เกรงว่ายังไม่ดีพอ ไม่แน่ว่าต่งเซียนเอ๋อร์เห็นแวบแรกก็สามารถมองทะลุถึงเรือนร่างสตรีของเธอแล้ว ดังนั้นการแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราว ทั้งยังสั่งสอนหนานกงซีแทนเธอ ไม่มีสิ่งใดนอกจากสืบทราบความสัมพันธ์ของเธอกับสกุลเห้อเหลียนมานานแล้ว
คราแรกน่าจะรู้ว่าเธอเป็น ‘น้องสะใภ้’ ของเห้อเหลียนเซิง แต่หลังจากเธอถูกจวนเห้อเหลียนรับเข้ามา ถึงรู้ว่าแท้จริงแล้วเธอเป็นลูกพี่ลูกน้องของเห้อเหลียนเซิง
แต่ก็ไม่เลวร้าย ตราบใดที่ยังเป็นครอบครัวของเห้อเหลียนเซิง ต่งเซียนเอ๋อร์ก็จะพยายามปกป้องสุดกำลัง
แม้ว่าต่งเซียนเอ๋อร์จะอยู่ในยุทธภพ แม้เกิดจากโคลนตม แต่ไม่เปื้อนสกปรก เป็นแม่นางที่มีความรักที่ลึกซึ้ง แต่ไม่รู้ว่าไฟที่ลุกโชนของนางสามารถเผาโพธิจิตของภิกษุตัวเหม็นผู้นี้ได้หรือไม่
“จะหนีไปไหน!” ตงเซียนเอ๋อร์ปล่อยแพรขาวพุ่งไปขัดขวางเห้อเหลียนเซิง
หลังจากนั้น นางก็คิดจะใช้แพรขาวพันรอบตัวเห้อเหลียนเซิง แต่เห้อเหลียนเซิงกลับหลบเลี่ยงไปได้อย่างง่ายดาย
อวี๋หวั่นนับว่ามองออก ศิลปะการต่อสู้ของต่งเซียนเอ๋อร์หาได้อ่อนด้อย ทว่าน่าเสียดายนางยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเห้อเหลียนเซิง ไม่แปลกใจที่หลายปีขนาดนี้ยังไม่อาจจับเขามาแก้ปัญหาอย่างตรงจุดได้
ต่งเซียนเอ๋อร์ลองอีกสองสามครั้ง แต่ก็ไม่มีเหตุการณ์ที่คาดไว้ แพรขาวไม่ถูกเห้อเหลียนเซิงเลยแม้แต่น้อย
ต่งเซียนเอ๋อร์โกรธจัด “เห้อเหลียนเซิง! หากเป็นบุรุษก็สู้กับข้า! ถ้าข้าแพ้ข้าจะไม่รบกวนเจ้าอีกต่อไป!”
เห้อเหลียนเซิงยกมือข้างหนึ่ง “อมิตาภพุทธ อาตมาไหนเลยจะสามารถดูหมิ่นสีกา? สีกาจิตใจว้าวุ่น รอเจ้าสงบสติอารมณ์แล้ว อาตมาจะมาขอโทษเจ้าอีกครั้ง”
“อยากไป? ไม่ง่ายดายเช่นนั้นหรอก!” ตงเซียนเอ๋อร์สะบัดแขนเสื้อซ้าย ทันใดนั้นอาวุธลับก็ถูกยิงออกมา
อวี๋หวั่นตะลึงตาค้าง แม่นางต่งเอ๋ยแม่นางต่ง เจ้าเอาจริงหรือ? นี่ทำให้คนตายได้เลยนะ ผู้ใดจะหามาให้เจ้าใหม่อีกคน?
อาวุธลับนั่น มองแวบแรกใช้พลังถึงสิบส่วน อวี๋หวั่นไม่อาจรับประกันว่าเห้อเหลียนเซิงจะสามารถหลบหนีไปได้อย่างง่ายดาย เห้อเหลียนเซิงไม่ได้หนีไปอย่างแน่นอน เขาถูกบังคับให้ต้องลงมือ เขาปล่อยลูกประคำปัดป้องอาวุธลับที่เกือบปลิดชีพเขา
อาวุธลับนั้นมีพิษ
มันพุ่งเข้าไปในกิ่งไม้ แม้แต่เปลือกไม้ก็กลายเป็นสีดำ
เห้อเหลียนเซิงขมวดคิ้ว สองมือพนมประกบกัน “อมิตาภพุทธ!”
ต่งเซียนเอ๋อร์กล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว “ศีลขาดแล้ว เจ้ายังอมิตาภพุทธอีก!”
แน่นอน ต่งเซียนเอ๋อร์ไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าเห้อเหลียนเซิงจริงๆ นางเข้าใจในความสามารถของตนเองดี ต่อให้ทั้งร่างกายเปื้อนพิษ ก็ยังไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเห้อเหลียนเซิง นางเพียงแค่ต้องการบังคับให้ภิกษุรูปนี้ต้องออกแรง
น่าเสียดายที่เห้อเหลียนเซิงจะไม่ให้โอกาสนางอีก
เขาใช้ปลายเท้ากระโดดหายไปในความมืด
“หนีไปอีกแล้ว!” ตงเซียนเอ๋อร์กัดฟัน “เห้อเหลียนเซิง ฝากไว้ก่อนเถอะ!”
อวี๋หวั่นกับไข่ดำทั้งสามชมละครดีอย่างออกรสออกชาติ
แน่นอน ไข่ดำทั้งสามดูไม่เข้าใจ เหตุใดผู้ใหญ่ถึงต้องทะเลาะกัน
อวี๋หวั่นรู้สึกหนาวเย็นด้านหลังอย่างอธิบายไม่ถูก
ที่แห่งนี้ไม่ควรอยู่นาน!
อวี๋หวั่นรับบุตรชาย และกำลังจะทิ้ง….
“หยุด!” ต่งเซียนเอ๋อร์กล่าว
อวี๋หวั่นตัวแข็งทื่อ
ต่งเซียนเอ๋อร์เดินเข้ามาอย่างช้าๆ โทสะระหว่างคิ้วพลันจางหายไป แทนที่ด้วยดวงตาคู่หนึ่งที่ยิ้มราวกับจันทร์เสี้ยว
นางนั่งลงบนม้านั่งหิน หยิบส้มจากจานผลไม้บนโต๊ะ ปอกเปลือกแล้วโบกมือหาไข่ดำน้อยทั้งสาม “มานี่”
ไข่ดำทั้งสามเดินเข้ามา
ต่งเซียนเอ๋อร์เกิดมางดงาม และเป็นความงามแบบที่น่าหลงใหลชวนเคลิบเคลิ้ม ผ้าคลุมหน้าที่บางเบาราวกับปีกของจักจั่นก็ไม่อาจปิดซ่อนความงดงามของนางได้
นางแบ่งส้มให้ไข่ดำทั้งสาม แล้วเลือกคนที่เล็กที่สุดอุ้มนั่งบนตัก
เสี่ยวเป่ารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ถูกพี่สาวผู้เป็นเทพธิดากอด
ทว่าอวี๋หวั่นกลับรู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดี
ผลเป็นดังคาด หลังจากป้อนส้มให้ไข่ดำทั้งสามครู่หนึ่ง ต่งเซียนเอ๋อร์ก็เอ่ยอย่างช้าๆ “หากเห้อเหลียนเซิงไม่แต่งงานกับข้า เจ้าต้องแต่งงานกับข้า!”
อวี๋หวั่น “?!”
เธอฟังผิดไปใช่หรือไม่?
อวี๋หวั่นยืดอก “ข้าเป็นสตรี!”
ต่งเซียนเอ๋อร์กล่าวอย่างไม่เดือดร้อน “ข้าไม่ถือ”
ข้าถือนี่นา! ! !
อวี๋หวั่นอยากจะร้องไห้
พี่ใหญ่ พี่ชายของข้า ท่านรีบสึกเถิด…
“อื๊ม น่ารักยิ่งนัก” ต่งเซียนเอ๋อร์บีบหน้าเสี่ยวเป่า บีบจนเริ่มเสพติด แล้วก็เปลี่ยนอุ้มเอ้อร์เป่าและต้าเป่าขึ้นมาบีบ “รอข้าแต่งงานกับภิกษุแล้ว จะมีบุตรให้เขาสี่คน!”
อวี๋หวั่นสำลัก
พี่สาวที่รัก เรื่องดวงยังไม่ทันผูก ท่านก็คิดไปไกลถึงเพียงนั้นแล้ว…
ท่านไม่สู้คิดเรื่องตอนนี้จะก่อนดีกว่าหรือ
เช่นจะทำอย่างไรให้เขาสึก หรือ…จะจับเขาได้อย่างไร?
ต่งเซียนเอ๋อร์บีบไข่ดำน้อยจนพอใจ พลังเสพติดการบีบอย่างเมามันก็จากไปทั้งที่ยังไม่หายอยาก
สตรีของพี่ใหญ่กลับเป็น ‘คนรักเก่า’ ของข้า ช่างซับซ้อน เหนื่อยหน่ายยิ่ง!
อวี๋หวั่นกลับห้องไปอย่างอ่อนล้า
เธออยากจะนินทาเห้อเหลียนเซิงและต่งเซียนเอ๋อร์กับเยี่ยนจิ่วเฉา แต่ก็เห็นว่าเยี่ยนจิ่วเฉานอนแล้ว
“แปลกจัง เข้านอนเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ?” อวี๋หวั่นกระซิบพลางเดินไปที่เตียง เปิดม่านมองเยี่ยนจิ่วเฉาที่หลับไปแล้วอย่างแผ่วเบา
เมื่อก่อนชั่วยามนี้ หากไม่ใช่อ่านหนังสือภาพของบุตรชายสักพัก เขาก็เล่นข่งหมิงซั่วของบุตรชายครู่หนึ่ง ไม่ได้เข้านอนเร็วขนาดนี้
หรือว่าวันนี้เขาเหนื่อยมาก?
ใช่แล้ว ตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ยังเดินท่องภูผาลำธารมาทั้งวัน ฟังอิ่งลิ่วกล่าวว่า พวกเขาต้องปีนเขามากกว่าครึ่งลูกถึงพบเยี่ยนอ๋องกับต้าเป่า เยี่ยนจิ่วเฉาไม่เคยเดินทางไกลขนาดนี้มาก่อน
อวี๋หวั่นมองเขาอย่างอ่อนโยน พลางห่มผ้าให้เขา
“ตีๆๆ!”
“ดูไว้ซะ!”
ตอนนี้ไข่ดำทั้งสามกำลังฝึกฝนสิ่งที่เพิ่งเรียนรู้มา เรียนรู้การ ‘ต่อสู้’ ระหว่างเห้อเหลียนเซิงกับต่งเซียนเอ๋อร์ โหวกเหวกโวยวายวิ่งเข้าห้อง
ปัง!
ประตูถูกกระแทกเปิด
“ชู่——” อวี๋หวั่นหันหน้าไป ทำมือให้พวกเขาทั้งสามเงียบลง
ทั้งสามหยุดเสียงดังทันที ปิดปากน้อยๆ อย่างว่าง่าย และทำท่าทางแบบเดียวกันกับมารดาของพวกเขา
อวี๋หวั่นยิ้มปลื้มใจ ปิดม่านลงแล้วเดินไปนั่งยองๆ อย่างแผ่วเบา กระซิบกับพวกเขา “ท่านพ่อหลับแล้ว เราจะไม่รบกวนเขา”
ทั้งสามพยักหน้า
อวี๋หวั่นพาไข่ดำทั้งสามไปยังห้องถัดไป แช่ในอ่างกลีบดอกไม้อันสวยสดงดงาม อาบน้ำจนหอมกรุ่น เปลี่ยนสวมชุดนอนตัวน้อย จากนั้นก็กลับไปที่ห้องราวกับเต่า ทั้งเชื่องช้าและไร้เสียง
ท่านแม่บอกว่าอย่ารบกวนท่านพ่อ
พวกเขาเป็นเด็กน้อยที่เชื่อฟัง
ยามซุกซนสุดเหวี่ยงขึ้นฟ้า ยามรู้เรื่องก็ชวนให้คนหลงรักเข้ากระดูก
อวี๋หวั่นนอนอยู่บนเตียง ลูบหัวน้อยๆ ของเด็กน้อยทั้งสาม “นอนเถอะ”
ทั้งสามมองบิดามารดา จากนั้นก็มองกันและกัน จับมือเล็กๆ หลับไปอย่างมีความสุข
อวี๋หวั่นจูบหน้าผากพวกเขา และกุมมือของเยี่ยนจิ่วเฉา หลับตาลงเข้าสู่นิทรา
…
กลางคืนเงียบสงัด
อวี๋หวั่นถูกปลุกด้วยเสียงดังโครมคราม
เธอสะดุ้งตัวและลืมตา “ใครน่ะ?”
“ข้าเอง” เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยเสียงแหบแห้ง
อวี๋หวั่นพยุงร่างกายของตนขึ้นด้วยศอก และเปิดม่านมองออกไป “ท่านเป็นอะไรไป?”
เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวว่า “ข้ากระหายน้ำ จึงรินน้ำดื่มแล้วเก้าอี้ก็ล้มลง”
“อากาศหนาวพื้นเย็น ท่านอยากดื่มน้ำเรียกข้าก็ได้” อวี๋หวั่นยกผ้าห่มขึ้นลุกจากเตียง อาศัยแสงเทียนเลือนรางหาเสื้อคลุมมาสวมให้เขา จากนั้นเธอก็ยกเก้าอี้ที่ล้มลงขึ้นมา
“ข้าดื่มไปแล้ว” เยี่ยนจิ่วเฉาก้าวเดินไปที่เตียง
“ช้าก่อน” อวี๋หวั่นพบว่าเสื้อผ้าของเขาเปียก จึงจับแขนของเขาไว้ วางเบาะขนหนานุ่มลงบนเก้าอี้ไม้ให้เขานั่งลง จากนั้นก็ไปหาชุดนอนแห้งในตู้เสื้อผ้า “เหตุใดยังหกไปทั้งตัว?”
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่ตอบ
อวี๋หวั่นปลดกระดุมเปลี่ยนชุดนอนให้เขา
“ข้านอนละ” เยี่ยนจิ่วเฉาพูด
“อื้อ” อวี๋หวั่นพยักหน้า ทั้งบนโต๊ะทั้งบนพื้นมีน้ำหกอยู่ไม่น้อย เทน้ำให้หกได้เช่นนี้ ยังนอนไม่ตื่นหรือ?
“เยี่ยนจิ่วเฉา” อวี๋หวั่นหันไปเรียกเขาที่กำลังถัดตัวนั่งลงบนขอบเตียง “ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”
“อืม ง่วง” เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยพร้อมกับดึงผ้านวมมาห่มและนอนลง
เหนื่อยมาทั้งวัน ตกกลางคืนก็ง่วง อวี๋หวั่นไม่สงสัยเขา เธอหยิบผ้าขนหนูมาเช็ดน้ำที่หกบนโต๊ะและพื้น จากนั้นก็ล้มตัวลงนอนหลับไป
…
เรื่องการประลองของตี้จีทั้งสองในที่สุดก็แพร่สะพัด มีผู้คนมากมายที่มาชมการต่อสู้ ทุกคนต่างรู้สึกราวกับตนเองได้ผ่านมหาสงครามก่อตั้งอาณาจักร เมื่อพวกเขาตื่นขึ้นจากอาการมึนหัวแล้วพบว่าแขนไม่ได้ขาดขาไม่ได้หาย ก็ดีใจจนอยากร้องไห้
หลังจากตี้จีองค์เล็กพ่ายแพ้การต่อสู้ก็เปิดฉากสังหารหมู่ เป็นคนของตี้จีองค์โตและองค์หญิงหวั่นที่ช่วยพวกเขาไว้ พวกเขารู้สึกขอบคุณและซาบซึ้งใจในสิ่งนี้ และยิ่งเกลียดหนานกงเยี่ยนมากขึ้นเรื่อยๆ ไปโดยธรรมชาติ
หากไม่ใช่เพราะตี้จีองค์โตและองค์หญิงน้อยในครั้งนี้ พวกเขาทั้งหมดคงกลายเป็นวิญญาณที่ถูกฆ่าด้วยน้ำมือของหนานกงเยี่ยน
ไม่เคยเห็นผู้ใดเลวร้ายโหดเหี้ยมกว่านางจริงๆ ตนเองพ่ายแพ้ไม่ยอมรับ คิดฆ่าทุกคนปิดปาก สตรีใจดำอำมหิตเช่นนาง เป็นที่รักของพวกเขามาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ได้อย่างไร?
ตี้จีพรจากสวรรค์อะไรกัน? เป็นสตรีปีศาจที่ก่อหายนะแก่แว่นแคว้นเสียมากกว่า!
ชาวบ้านตาดำๆ นางสังหาร ขุนนางทั้งพลเรือนและทหารนางก็สังหาร!
นางไม่กลัวแผ่นดินบ้านเมืองจะปั่นป่วนเลยหรือ?
บัดนี้ ไม่จำเป็นที่องค์ประมุขจะต้องป่าวประกาศให้โลกรู้ ผู้คนต่างก็เกิดความสงสัยในคำทำนายของปีนั้นด้วยตนเองแล้ว
เมื่อไร้การคุกคามจากขันทีหลี่และฮองเฮา องค์ประมุขก็ฟื้นขึ้นมา เขาเองก็ได้ยินเรื่องราวที่แท่นบูชา สิ่งที่ไม่คาดคิดคือ ครั้งนี้เขาไม่ได้ปกปิดความอัปยศของราชวงศ์ แต่กลับเปิดเผยทุกอย่างสู่เบื้องหน้า
หนานกงเยี่ยนถูกหินก้อนใหญ่ทับจนกลายเป็นอัมพาตครึ่งซีก ไร้ความรู้สึกตั้งแต่ช่วงเอวลงไป นี่เป็นเพียงการชดใช้เล็กน้อยสำหรับสิ่งที่พวกนางสองแม่ลูกกระทำต่อเห้อเหลียนเป่ยหมิงอย่างโหดเหี้ยม
แน่นอนพวกนางทำบาปมากมาย
หนานกงเยี่ยนและฮองเฮาถูกจับ หนานกงหลีและราชครูก็ล้มเหลวในการหลบหนีไปสวรรค์
องค์ประมุขสั่งให้ศาลาว่าการต้าหลี่รวบรวมหลักฐานการก่ออาชญากรรมของพวกเขาทีละรายการ และประกาศต่อสาธารณะ
เมื่อมาถึงจุดนี้ประชาชนรู้ว่าพวกเขาได้ก่อความชั่วร้ายมากมายเพียงใด
หนานกงเยี่ยนลักพาตัวเยี่ยนอ๋อง และใส่ร้ายเรื่องที่เยี่ยนอ๋องเสียชีวิต ทำให้ครอบครัวของเขากระจัดกระจาย เท่านี้ยังไม่พอ ยังวางยาพิษเยี่ยนจิ่วเฉาในวัยแปดขวบ จี้ตัวฝ่าบาทต้าเป่าแห่งหนานจ้าว กักขังบุตรชายของหัวหน้าเผ่าไป๋เอ้อ กระทำความผิดฐานหลอกลวงองค์ประมุข…
แต่ละเรื่อง แต่ละกระทง มากมายจนยกตัวอย่างไม่หวาดไม่ไหว
เมื่อเทียบกันแล้ว สิ่งที่ไม่เอ่ยถึงไม่ได้คือความผิดของฮองเฮา สตรีผู้นี้ได้รับการยกย่องจากองค์ประมุขมาตลอดชีวิต ฮองเฮาผู้ทรงคุณธรรมซึ่งเป็นที่ชื่นชมของผู้คนในหนานจ้าวมาหลายทศวรรษ กลับกลายเป็นสตรีมากพิษสงที่สมสู่กับอดีตราชครู!
นางมีสัมพันธ์ชู้สาวกับราชครูอวี่เหวินจ้าว ผิดประเวณีราชสำนัก ข่มเหงมารดาบุตรอวิ๋นเฟย ทำร้ายองค์ประมุขและสมคบคิดก่อกบฏ อาชญากรรมทุกอย่างร้ายแรงเกินอภัย!
กล่าวถึงอวี่เหวินจ้าวอีกครั้ง คนผู้นี้มีพรสวรรค์ หากไม่ได้พบกับฮองเฮา ก็อาจเป็นถึงราชครูที่มีอำนาจน่าเกรงขามคนหนึ่งของหนานจ้าว น่าเสียดายนัก แต่คิดดูแล้ว ฮองเฮาก็เป็นเพียงสาเหตุภายนอกเท่านั้น ท้ายที่สุดแล้วเขาแพ้ให้กับเงามืดและความไม่มั่นคงของตัวเขาเอง
อวี่เหวินจ้าวตายแล้ว แต่ศิษย์ของเขายังมีชีวิตอยู่ ราชครูช่วยคนชั่วก่อกรรมทำเข็ญ โทษประหารยากจะหลีกเลี่ยง
ฮองเฮาถูกปลด ลูกหลานทั้งหมดถูกลดตำแหน่งเป็นสามัญชน แม้ว่าหนานกงซีจะไม่ได้กระทำความผิด แต่กลับติดร่างแหของฮองเฮาและหนานกงหลีไปด้วย
ฮองเฮาและราชครูจะถูกประหารสามวันหลังจากนี้
สองแม่ลูกหนานกงเยี่ยนถูกขับออกจากเมืองหลวง เนรเทศไปอยู่ในสถานที่อันหนาวเหน็บและห้ามออกมาอีกตลอดไป
ไป๋เชียนหลีก็ถูกสืบจนพบเช่นกัน เขาเป็นเพียงบุรุษที่หนานกงเยี่ยนเลี้ยงไว้ที่ชานเมือง เขาไม่ถือว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด แต่เห็นได้ชัดว่าเขามีโอกาสมากมายที่จะหนีไป แต่กลับดื้อดึง องค์ประมุขไม่อาจรู้สึกเห็นใจเขาได้จริงๆ
องค์ประมุขส่งเขากลับไปที่เผ่าไป๋เอ้อ
ก่อนจากไป เขาขอให้องค์ประมุขเนรเทศเขาไปอยู่กับหนานกงเยี่ยน แต่องค์ประมุขปฏิเสธ
เพื่อชดใช้หนี้ที่ติดค้างเขา องค์ประมุขจึงมอบหนานกงซีให้กับเขา และขอให้เขาพาหนานกงซีกลับไปที่เผ่าไป๋เอ้อและไม่ได้รับอนุญาตให้กลับมาที่หนานจ้าวอีก
นอกจากนี้ องค์ประมุขยังประกาศความสำนึกผิดต่อใต้หล้า ไตร่ตรองบาปของตนเอง ยอมรับคำกล่าวโทษของประชาชน
นับตั้งแต่การก่อตั้งหนานจ้าว ไม่เคยมีองค์ประมุของค์ใดกล้าประกาศความสำนึกผิด เขาเป็นคนแรก เขาอุทิศชีวิตให้กับหนานจ้าว คุณูปการที่เขาสร้างแก่แว่นแคว้นก็ยิ่งใหญ่กว่าความผิดพลาด ยามนี้เขายังยอมรับผิดด้วยความจริงใจ เสียงก่นด่าของผู้คนที่มีต่อเขาจึงค่อยๆ เลือนหายไป
ตอนนี้องค์ประมุขไม่สนใจว่าผู้คนจะด่าว่าเขาอย่างไร เขาทำผิด ยอมรับคำกล่าวหาของประชาชนก็เป็นสิ่งสมควรแล้ว ต่อไปสิ่งที่เขาแทบรอจะทำไม่ไหวมีอีกอย่างหนึ่ง
องค์ประมุขเสด็จไปตำหนักจูเชวี่ยด้วยพระองค์เอง
……………