หวั่นเฟิงเดินออกไปหาจี้สิงชวนด้วยด้วยความตื่นเต้น
ผลสุดท้ายก็คือถูกเขาสั่งสอนไปยกหนึ่ง ห้ามออกไปไหนครึ่งเดือน จะไปเผ่าปีศาจน่ะหรือ? ฝันไปเถอะ!
ป้ายหยกของหวั่นเฟิงหล่นอยู่ในห้อง อวี๋หวั่นเก็บขึ้นมา และคิดว่าจะนำไปคืนให้หวั่นเฟิง
เพิ่งเดินออกมาจากลานบ้าน ก็พบกับบุคคลที่ไม่คาดคิดว่าจะพบ
มีแขกแวะเวียนมาทุกวัน วันนี้มีแขกมากมายเหลือเกิน
ถ้าอวี๋หวั่นจำไม่ผิด แม่นางน้อยชุดสีแดงคนนี้คือคู่หมั้นของจี้สิงชวนที่เจ้าสำนักจี้เลือกสรรมาให้
นางแซ่อะไรนะ?
แย่แล้ว ว่ากันว่าตั้งท้องครั้งหนึ่งโง่ลงสามปี เธอเพิ่งจะตั้งท้องได้ไม่เท่าไหร่ สมองก็ไม่ทำงานแล้วหรือ
“เว่ยหรูเยียน” เว่ยหรูเยียนค้อมให้อวี๋หวั่นเล็กน้อยอย่างอ่อนหวาน
“อ่า แม่นางหรูเยียน” อวี๋หวั่นทักทายอย่างมีมารยาท
“ดึกป่านนี้แล้ว ฮูหยินเยี่ยนจะออกไปไหนหรือ?” คุณหนูเว่ยกระซิบถาม
อวี๋หวั่นหยิบป้ายหยกออกมา “หวั่นเฟิงทำป้ายหยกหล่นไว้ ข้าจะนำไปให้เขา”
คนอื่นไม่รู้ตัวตนของอวี๋หวั่น แต่คุณหนูเว่ยเป็นคู่หมั้นของจี้สิงชวน จึงรู้เบื้องลึกเบื้องหลังของอวี๋หวั่น
นางบอกว่า “ข้ากำลังจะไปที่นั่นเหมือนกัน หากฮูหยินเยี่ยนไม่รังเกียจ ไปด้วยกันเถิด”
“ตกลง” อวี๋หวั่นพยักหน้า
ทั้งสองเดินไปด้วยกันท่ามกลางความมืดยามราตรีอันเงียบสงัด
เมื่ออยู่ต่อหน้าเยี่ยนจิ่วเฉา อวี๋หวั่นแลดูผอมบางร่างเล็ก เมื่อเทียบกับผู้หญิงคนอื่น กลับนับว่ารูปร่างสูง ทว่าเมื่อมายืนกับคุณหนูเว่ยแล้ว นับว่าต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
คุณหนูเว่ยหน้าตาสะสวย นอกจากท่านแม่ของเธอกับซั่งกวนเยี่ยนแล้ว อวี๋หวั่นไม่เคยเห็นสตรีคนไหนที่มีใบหน้างดงามเช่นนี้มากนัก แน่นอนว่าเว่ยหรูเยียนก็เป็นหนึ่งในนั้น
เว่ยหรูเยียนงามสะคราญทว่ามิได้เย่อหยิ่ง นางเปรียบดังดอกกล้วยไม้ในความเงียบงัน เบ่งบานและงดงามโดยไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น
“คุณหนูเว่ยตั้งใจมารอข้าที่นี่หรือ?” อวี๋หวั่นเอ่ยถามสิ่งที่เธอสงสัย
“อื้ม” เว่ยหรูเยียนพยักหน้า “ข้ารบกวนฮูหยินเยี่ยนหรือเปล่า?”
“เปล่า” อวี๋หวั่นยิ้มมุมปาก
“ข้า…” เว่ยหรูเยียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็รวบรวมความกล้าพูดขึ้นว่า “ได้ยินว่าพี่ใหญ่จี้เป็นคนในเรือนของท่าน”
อวี๋หวั่นชะงักไป “อ่า เรื่องนั้นน่ะหรือ เจ้าสำนักน้อยใช้วิธีนี้ไปเพื่อตามหาพี่สาวของเขา ขอคุณหนูเว่ยอย่าได้สนใจ”
“ข้าไม่ได้สนใจเรื่องนี้” เว่ยหรูเยียนส่ายหน้า
บอกเลยว่าตนเองไม่สนใจ เป็นแม่นางน้อยที่ตรงไปตรงมาดีจริงๆ อวี๋หวั่นยิ้ม “เช่นนั้นคุณหนูเว่ยสนใจเรื่องใดหรือ?”
“พี่ใหญ่จี้กับท่าน…”
ประโยคต่อมา เว่ยหรูเยียนไม่ได้พูดต่อ
นางไม่พูด ก็ไม่ได้หมายความว่าอวี๋หวั่นเดาไม่ได้
หากจะบอกว่าอวี๋หวั่นไม่รู้ว่าจี้สิงชวนมีใจให้กับตน ก็คงจะเป็นการโกหก แต่เธอเพิ่งรู้ไม่นานมานี้ หลังจากที่เข้ามาในสำนักเฟยอวี๋ จึงเริ่มสัมผัสได้ว่าสายตาที่จี้สิงชวนมองตนไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
แต่ความรู้สึกเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่เว่ยหรูเยียนเข้าใจ เธอคิดว่าเธออาจทำให้จี้สิงชวนนึกถึงพี่สาวขึ้นมา
อวี๋หวั่นบอกว่า “ที่บ้านข้ามีน้องชายหนึ่งคน ข้าปฏิบัติต่อเขา เหมือนกับที่คุณหนูใหญ่จี้ปฏิบัติต่อเขา”
นี่คงเป็นเหตุผลที่ทำให้จี้สิงชวนเกิดความรู้สึกคุ้นเคยกับเธอ
แต่นี่ไม่ใช่ความรักระหว่างหนุ่มสาว
ถ้าบอกว่าจี้สิงชวนดีต่อเธอ ไม่สู้บอกว่าจี้สิงชวนปฏิบัติต่อเธอเช่นนี้เพื่อเติมเต็มเศษเสี้ยวที่หายไปในใจของเขา
“ข้าพูดเช่นนี้ คุณหนูเว่ยเข้าใจหรือไม่?”
เว่ยหรูเยียนพยักหน้าน้อยๆ “ข้าเข้าใจแล้ว แต่ว่าข้าก็ยังคิดจะยกเลิกงานแต่งกับพี่ใหญ่จี้อยู่ดี”
“เพราะเหตุใด?” อวี๋หวั่นถาม “ท่านไม่เชื่อคำพูดข้าหรือ?”
คุณหนูเว่ยส่ายหน้า “จะเป็นไปได้อย่างไร? ข้ามาหาฮูหยินเยี่ยนก็เพราะข้าเชื่อว่าฮูหยินเยี่ยนจะบอกความจริงกับข้า อันที่จริงข้าเคยถามคำถามนี้กับเขาแล้ว แต่เขาไม่ยอมอธิบายให้ข้าฟัง”
“เรื่องนี้…” อวี๋หวั่นไม่รู้ว่าควรตอบว่าอย่างไร จี้สิงชวนมีนิสัยไม่ชอบอธิบายให้มากความเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
คุณหนูเว่ยบอกว่า “ถ้าเป็นฮูหยินถามเขา เขาก็ไม่ยอมบอกหรือ? ก่อนหน้านี้ที่เขาทำงานให้ฮูหยิน เขาก็เป็นเช่นนี้หรือ?”
อวี๋หวั่นอยากบอกว่าใช่ แต่เมื่อคิดดูแล้วเห็นทีจะไม่ใช่
จี้สิงชวนสงวนปากสงวนคำก็จริง แต่ขอเพียงเอ่ยถาม มีหรือเขาจะไม่บอก
“เขาไม่พอใจเรื่องการแต่งงาน ก่อนหน้านี้คุณหนูใหญ่ออกจากสำนักไปก็เพื่อหนีการแต่งงานกับเผ่าเว่ย แม้เขาจะไม่พูดออกมา แต่ในใจคงคิดเคียดแค้นเผ่าเว่ย มามาบอกข้าว่า ปัญหาทุกอย่างย่อมคลี่คลายหากมีความเพียรพยายาม ขอเพียงข้าเป็นภรรยาที่เอาใจใส่และอ่อนโยน ไม่นานพี่ใหญ่จี้ก็จะเห็นความดีของข้า”
คุณหนูเว่ยพูดถึงตรงนี้ จากนั้นก็ชะงักไป “แต่ข้าไม่อยากลดคุณค่าของตนเองเช่นนั้น”
ทันใดนั้นอวี๋หวั่นก็นึกถึงคนคนหนึ่งที่เธอไม่ได้นึกถึงมานาน…หานจิ่งซู
เว่ยหรูเยียนตกอยู่ในสภาวะคล้ายกับหานจิ่งซู ทั้งสองไม่ปรารถนาที่จะออกเรือนไปกับผู้ชายที่ไม่ได้รักตน หานจิ่งซูเลือกที่จะเอาชนะใจของเยี่ยนไหวจิ่งด้วยความจริงใจ แต่เว่ยหรูเยียนไม่ต้องการนำความสุขที่เหลืออีกครึ่งชีวิตไปสังเวยกับการแต่งงาน
เว่ยหรูเยียนส่ายหน้า “ข้าเพียงแต่จะยกเลิกการแต่งงานกับพี่ใหญ่จี้ แต่ไม่ได้บอกว่าจะตัดความสัมพันธ์กับสำนักเฟยอวี๋”
“หืม?” อวี๋หวั่นคิดว่าสมองของเธอกำลังประมวลผลไม่ทัน หลังจากตั้งท้องแล้วสมองของเธอทำงานช้าถึงขนาดนี้เชียวหรือ?
เว่ยหรูเยียนชี้ไปยังเรือนตรงหน้า รอยยิ้มวาดผ่านดวงหน้า นางยกกระโปรงขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเร่งฝีเท้าเข้าไป “หวั่นเฟิง ข้ามาหาเจ้าแล้ว! ”
เสียงของหวั่นเฟิงดังมาจากในห้องด้วยความตื่นตระหนก “ท่านพี่เว่ยอย่าเข้ามาหาข้า! ข้าๆๆ…ข้าถูกท่านน้าตี! ข้าไม่มีหน้าจะไปพบผู้ใด!”
เว่ยหรูเยียนอายุมากกว่าหวั่นเฟิงหนึ่งปี
แต่ภรรยาอายุมากกว่า กับสามีอายุน้อยกว่า ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีความสุขสักหน่อย
อวี๋หวั่นส่งป้ายหยกให้เว่ยหรูเยียน “ท่านนำป้ายหยกไปส่งให้หวั่นเฟิงแทนข้าที”
เด็กคนนี้ หลอกเธอนี่!
ปากบอกว่าสงสัยเรื่องของเธอกับจี้สิงชวน แท้จริงแล้วอยากรู้ความสัมพันธ์ของเธอกับหวั่นเฟิง
เด็กผู้หญิงสมัยนี้ฉลาดจริงๆ
จี้สิงชวนนะจี้สิงชวน ให้เจ้าสนใจนางเจ้ากลับไม่สน สุดท้ายนางก็จะกลายเป็นหลานสะใภ้ของเจ้า…
วันต่อมา ฟ้ากระจ่าง สายลมอ่อนโชยมา
อวี๋หวั่นพาซิวหลัวซึ่งกำลังขนสัมภาระต่างๆ เตรียมตัวออกเดินทาง
เจ้าสำนักจี้คัดเลือกลูกศิษย์ซึ่งมีวรยุทธ์ล้ำเลิศมาสิบสองคน เตรียมรถม้าสองคัน คันหนึ่งให้อวี๋หวั่นนั่ง อีกคันหนึ่งใช้ขนสรรพาวุธและสินค้าต่างๆ การเดินทางครั้งนี้ยาวไกล เส้นทางไม่ราบเรียบ ไม่อาจหยั่งรู้ได้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นหรือไม่ จึงจำต้องรอบคอบไว้ก่อน
เจ้าสำนักจี้กล่าวว่า “สำนักเฟยอวี๋เคยส่งสินค้าให้เผ่าปีศาจครั้งหนึ่ง ในนี้มีผู้ที่เคยเดินทางไปยังเผ่าปีศาจมาก่อน เขาจะนำทางให้พวกเจ้า”
อวี๋หวั่นพยักหน้า “รบกวนเจ้าสำนักจี้แล้ว”
เมื่อเห็นว่านัยน์ตาของเจ้าสำนักจี้แฝงไปด้วยความลำบากใจและความวิตก อวี๋หวั่นจึงพูดว่า “เจ้าสำนักจี้วางใจเถิด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะไม่ยอมให้บุตรชายของท่านเป็นอันตราย หน้าที่ของเขาคือนำทางให้ข้า หากเกิดเรื่อง ข้าจะไม่ดึงเขาเข้ามาเกี่ยวข้อง”
เจ้าสำนักจี้ยิ้ม แล้วกล่าวว่า “ฮูหยินก็กล่าวเกินไป เป็นบุรุษอกสามศอก มีหรือจะปล่อยให้สตรีตกอยู่ในอันตราย แม้ว่าข้าจะเป็นห่วงเขา เพราะเขาเป็นลูกชายของข้า แต่ข้าก็หวังว่าเขาจะเป็นบุรุษที่องอาจและแข็งแกร่ง เขาเป็นคนเลือกเส้นทาง หากเกิดอันตรายเขาย่อมต้องรับผิดชอบ ไม่อาจหนีเอาตัวรอดแต่เพียงผู้เดียว แล้วหดหัวอยู่ในกระดอง”
เจ้าสำนักจี้ช่างเป็นผู้ใหญ่ที่ใจกว้างเหลือเกิน เขามีความคาดหวังในตัวลูกๆ แต่ก็ไม่เคยผูกมัดพวกเขาไว้ไม่ให้สยายปีกบิน เขาอยากให้พวกเขาใช้ชีวิตอยู่อย่างมีความสุุข แต่ก็เคารพการตัดสินใจของพวกเขา”
“เจ้าสำนักจี้โปรดรักษาสุขภาพ หากมีโอกาสคงได้พบกันอีก” อวี๋หวั่นคำนับเขาหนึ่งครั้ง
เจ้าสำนักจี้ยกมือขึ้นมาประสานกัน “ฮูหยินโปรดรักษาสุขภาพ”
ซิวหลัวยืนอยู่ข้างรถม้า ดวงตาสีโลหิตของเขาเบิกกว้าง ใบหน้าแลดูเบื่อหน่าย
หลังจากที่อวี๋หวั่นกล่าวลาเจ้าสำนักจี้ เธอก็เดินตรงไปยังรถม้า
ท่าทางของซิวหลัวเปลี่ยนไปในทันใด เขายืดหลังตรง แสยะยิ้มเล็กน้อย เผยให้เห็นฟันซี่ขาว!
อวี๋หวั่นขึ้นไปบนรถม้า
เขาจึงทิ้งตัวนั่งลง
ส่วนม้าของจี้สิงชวนนั้นมีลูกศิษย์ในสำนักตระเตรียมไว้ให้แล้ว เขามองสำนักเฟยอวี๋เป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นจึงกระโดดขึ้นบนหลังม้า “ออกเดินทาง!”
……………………..