อวี๋หวั่นตื่นขึ้นท่ามกลางเสียงของคลื่น เธอหลับลึกจนไม่รับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตำหนัก เมื่อตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตนเองถูกห่อด้วยผ้าคลุม และอยู่ในอ้อมอกของใครบางคน
ท้องฟ้าเป็นสีเทาหม่น ราวกับผ้าโปร่งสีดำทอปกคลุมอยู่เหนือลำน้ำและเทือกเขาเขียวชอุ่ม
สะเก็ดดาวตกร่วงหล่น ขอบฟ้ามีแสงประกายรำไร แผ่นเมฆเคลื่อนคล้อยกระจายออกจากกัน ลมตะวันออกโชยมา ดวงอาทิตย์กลมโผล่พ้นหมู่เมฆ ทอแสงสีแสดบนเส้นขอบฟ้า
“พระอาทิตย์ขึ้นหรือ?” อวี๋หวั่นรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นภาพเหตุการณ์ตรงหน้า เธอสะลึมสะลืออยู่พักใหญ่ จึงจะรู้ว่าเธอกับเยี่ยนจิ่วเฉากำลังนั่งอยู่บนหินก้อนใหญ่บนยอดเขา รายล้อมไปด้วยปุยเมฆขาว ประหนึ่งอยู่ท่ามกลางดินแดนแห่งเซียน
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้น แต่เธอไม่เคยรู้มาก่อนว่าพระอาทิตย์ขึ้นจะงดงามเช่นนี้ อาจเป็นเพราะทิวทัศน์เปลี่ยนไป หรืออาจเป็นเพราะคนที่อยู่กับเธอกันแน่
เธอพิงกายกับอกของเขาอย่างงัวเงีย เปลือกตาปรือคล้ายกับยังตื่นไม่เต็มตา
อวี๋หวั่นไม่ได้ถามว่าที่นี่คือที่ไหน และไม่ได้ถามว่าเขาพาเธอมาที่นี่ทำไม หลังจากที่สมองของเขาถูกกระทบ
กระเทือน เขาก็มักจะทำให้เธอประหลาดใจเสมอ แค่ดูพระอาทิตย์นับว่าเรื่องเล็ก ไม่รู้ว่าหลังจากนี้เขาจะทำอะไรอีก
อวี๋หวั่นมองพระอาทิตย์ขึ้นเงียบๆ
ท่อนแขนของเยี่ยนจิ่วเฉาโอบกอดเธอไว้ ราวกับเธอเป็นแมวขี้เกียจตัวหนึ่ง
“โง่งม แค่นี้ต้องถามด้วยหรือ?” เขาเบ้ปากด้วยความรังเกียจ ทว่าท่าทางที่เขาโอบกอดเธออยู่นั้นกลับตรงกันข้าม มือของเขาวางอยู่บนหน้าท้องนูนของอวี๋หวั่นเบาๆ แล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนาในทันใด “เจ้าควรมีลูกให้ข้า?”
หืม?
ทำไมอยู่ๆ ถึงพูดเรื่องลูกขึ้นมา?
เปลี่ยนเรื่องเร็วไปหน่อยไหม?
เยี่ยนจิ่วเฉาพูดต่อว่า “เจ้าอาจจะตั้งท้องแล้ว”
“เปล่าสักหน่อย!” อวี๋หวั่นเบือนหน้าหนี
เยี่ยนจิ่วเฉาพูดอย่างเอาแต่ใจว่า “ข้าบอกว่าเจ้าตั้งท้อง ก็หมายความว่าเจ้าตั้งท้อง!”
อวี๋หวั่น “…”
เอาเถอะ เดิมทีก็ตั้งท้องอยู่แล้ว เธอเพียงแต่กังวลว่าเขาจะจำไม่ได้ จึงยังไม่ได้บอก ตนเองตามน้ำยอมรับไปก็จบเรื่อง
เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวว่า “ประเดี๋ยวข้าจะเรียกหมอหลวงมาจับชีพจรให้เจ้า”
อวี๋หวั่นกดปลายนิ้วลงบนข้อมือของตนเอง “ไม่จำเป็น ข้าเป็นหมอ หลายปีมานี้ข้าเรียนมาไม่น้อย ข้าจับชีพจรเองได้ ท่านอ๋องพูดถูกแล้ว ข้าตั้งท้องจริงๆ”
เยี่ยนจิ่วเฉามีสีหน้าพึงพอใจ “ข้าว่าแล้วเชียว!”
เมื่อคืน ‘ร่วมเรียงเคียงหมอน’ กัน วันนี้ตั้งท้องแล้ว ต้องสมองกลับตาลปัตรขนาดไหนถึงจะเชื่อเรื่องพวกนี้ได้?
อวี๋หวั่นยกมือขึ้นปิดตา ไม่มีหน้าจะมองเขา
เยี่ยนจิ่วเฉากระชับท่อนแขน โอบกอดเธอไว้ “ในเมื่อเจ้าตั้งท้อง ก็อย่าทำงานหนัก”
จะทำอะไรก็ไม่ต้องเดินไปเองด้วยซ้ำ ยังจะต้องทำงานหนักอะไรอีก? ท่านคิดเยอะเกินไปแล้ว…
“ที่นี่ลมแรง เจ้ากำลังท้องกำลังไส้อย่านั่งตากลมเลย” เยี่ยนจิ่วเฉาพูดพลางอุ้มอวี๋หวั่นขึ้นมา ในตอนนี้เขามีพลังของอ๋องแห่งเผ่าปีศาจ ขยับเพียงเล็กน้อยก็กลับมาถึงวังหลวงแล้ว
อวี๋หวั่นรู้สึกว่าเธอปล่อยให้คนอื่นดูฉากละครน้ำเน่าอีกแล้ว
เยี่ยนจิ่วเฉาพาอวี๋หวั่นมาส่งก็ตรงไปสะสางภารกิจ เป็นท่านอ๋องที่ขยันเหลือเกิน
อวี๋หวั่นเรียกบ่าวเข้ามาในห้อง ไม่รู้ทำไม อวี๋หวั่นจึงรู้สึกว่าบ่าวกลุ่มนี้มีท่าทางแปลกประหลาด คล้ายกับกำลังตื่นกลัว ฟางเฟยรินน้ำให้เธอด้วยมืออันสั่นเทิ้ม
เธอไม่ได้ทำอะไรนี่นา? ทำไมพวกนางถึงกลัวเธอขนาดนี้?
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น” อวี๋หวั่นถาม
ฟางเฟยคุกเข่าลงทันที
กลัวซะแล้ว…
อวี๋หวั่นนึกสงสัยมากกว่าเดิมเสียอีก เธอวางผ้าลง แล้วถามด้วยสีหน้าจริงจังว่า “บอกข้ามา เกิดอะไรขึ้นตอนที่
ข้าไม่อยู่”
ฟางเฟยตอบอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่า “ระ…เรียนฮูหยิน ไม่มีอะไรเกิดขึ้นตอนที่ท่านไม่อยู่เจ้าค่ะ”
อวี๋หวั่นเลิกคิ้วด้วยความสับสน “แล้วพวกเจ้า…”
“แต่ตอนที่ท่านอยู่…” ฟางเฟยกัดฟันเล่าเรื่องที่เยี่ยนจิ่วเฉาจัดการฮูหยินลี่และฮูหยินอวี้ รวมไปถึงผู้พิทักษ์ทั้งสองให้เธอฟัง
“ท่านอ๋องจัดการพวกเขาทำไมหรือ” อวี๋หวั่นถามอย่างไม่เข้าใจ
ฟางเฟยตอบว่า “ได้ยินว่าฮูหยินทั้งสองร่วมมือกับผู้พิทักษ์ ตีบุรุษคนหนึ่งจนสลบ หมายจะนำมาจัดฉากว่าฮูหยิน
คบชู้ แต่ท่านอ๋องมองออกเจ้าค่ะ”
“มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ?” อวี๋หวั่นลูบคาง เธอพบหน้าเหล่าสาวงามในวังหลวงเพียงครั้งเดียว ฟางเฟยและฟางหรงเตือนเธอแล้วว่าฮูหยินลี่และฮูหยินอวี้ล้วนเป็นญาติฝั่งมารดาของท่านอ๋อง ไม่ควรล่วงเกิน ไม่คิดเลยว่า เธอไม่ได้ล่วงเกินพวกนาง แต่พวกนางกลับมาหาเรื่องเธอเสียอย่างนั้น
นี่สินะที่เรียกว่าให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว
เพื่อที่จะปกป้องฮูหยินคนใหม่ ท่านอ๋องถึงกับสังหารญาติฝั่งมารดา ด้วยเหตุนี้เอง คนในวังหลวงที่รักตัวกลัวตาย ย่อมไม่กล้าเพิกเฉยต่ออวี๋หวั่น
เหตุการณ์นี้ทำให้อวี๋หวั่นรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ อย่างไรเสียเธอก็ไม่ใช่ฮองเฮาแห่งเผ่าปีศาจ เพียงแต่สถานะของเธอกลับเอื้ออำนวยการใช้ชีวิตของเธอเป็นอย่างมาก
อวี๋หวั่นยังคงจำจุดประสงค์ของการเดินทางครั้งนี้ได้ขึ้นใจ หลังจากกินอาหารกลางวันเสร็จจึงถามบ่าวถึงอาม่าและคนอื่นๆ เธอจึงรู้ว่าพวกเขาถูกพาไปอยู่ในตำหนักอีกแห่งในวังหลวง เธอจึงหลบออกมา
เด็กทั้งสามไปฝึกวรยุทธ์บนเขา คนอื่นๆ นอกจากนั้นล้วนอยู่ที่นี่
อวี๋หวั่นเข้าไปในห้องของฉิวปิ่ง
เมื่อทุกคนเห็นว่าใบหน้าของอวี๋หวั่นมีสีเลือดฝาด พวกเขาจึงโล่งใจ
แม้ว่าเยี่ยนจิ่วเฉาจะมีความทรงจำของอ๋องแห่งเผ่าปีศาจปะปนอยู่ ทว่าเขาก็ปฏิบัติต่ออวี๋หวั่นเป็นอย่างดี ไม่อย่างนั้นเด็กคนนี้คงไม่ดูอวบขึ้นมาถนัดตาเช่นนี้หรอก
“นั่งเถอะ” ชิงเหยียนบอก
อวี๋หวั่นนั่งลง
ชิงเยียนและเยว่โกวมองหน้ากัน เยว่โกวเข้าใจทันที จึงเดินไปเฝ้าหน้าประตู
อวี๋หวั่นมองพวกเขา “ทำไมกัน? กลัวคนแอบฟังหรือ?”
ชิงเหยียนพูดด้วยท่าทางรังเกียจเดียดฉันท์ว่า “ก็เจ้าฉิวอู๋หยานั่นไง คอยแต่จับตาดูพวกข้า คิดจะจับผิดจิ่วเฉา
เหอะ จิ่วเฉาเป็นเช่นนั้น ตัวเขาเองยังทำอะไรไม่ได้เลย นับประสาอะไรกับฉิวอู๋หยา? ฝันไปเถอะ!”
“อื้ม” อวี๋หวั่นพยักหน้า อวี๋หวั่นเชื่อว่าพวกเขามีความสามารถ ย่อมต้องจัดการฉิวอู๋หยาได้อยู่แล้ว
ชิงเหยียนพูดต่อ “ ใช่สิ แล้วเจ้ามาที่นี่มีเรื่องอะไรหรือ”
อวี๋หวั่นตอบว่า “ข้าอยากรู้ว่าเมื่อก่อนเยี่ยนจิ่วเฉาเป็นอย่างนี้ไหม? สมองของเขาจะกลับมาเป็นปกติได้ไหม?”
ชิงเหยียนมองไปยังฉิวปิ่ง ฉิวปิ่งลูบเครา พร้อมกับกล่าวว่า “รักษาได้ไหมข้าไม่รู้ แต่จากการสังเกตของข้า วรยุทธ์
ของท่านอ๋องกดฤทธิ์ของพิษในร่างของเขาไว้ เพราะฉะนั้นจึงไม่นับว่าเลวร้ายแต่อย่างใด”
ดวงตาของเขาก็มองเห็นแล้ว ไม่มีทางตาบอดไปอย่างไร้สาเหตุ
อย่างไรก็ดี กดไว้ย่อมเป็นเรื่องดี อย่างน้อยก็ไม่จำเป็นต้องดื่มยาทุกวี่ทุกวัน
“กดไว้ได้นานเท่าไร?” อวี๋หวั่นถาม
ฉิวปิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “อย่างมากก็ครึ่งปี อย่างน้อย…ก็สามเดือน ข้อดีนั้นเห็นได้ชัด แต่ก็ไม่อาจละเลยข้อเสีย เมื่อพิษกลับมาออกฤทธิ์อีกครั้ง ก็จะไม่มีวิธีรักษาหรือกดไว้ได้อีกแล้ว เขาต้องใช้ยาถอนพิษ ไม่เช่นนั้นเขาก็ทำได้เพียงรอความตาย”
อวี๋หวั่นมองไปยังชุยเฒ่า
ชุยเฒ่ายักไหล่ “ไม่ต้องมองข้าเลย ข้าช่วยอะไรไม่ได้”
อวี๋หวั่นลูบท้องด้วยมือเดียว “เช่นนั้นก็หมายความว่าพวกเรามีเวลาไม่มากที่จะตามหาตัวยา”
ว่าแต่ตัวยาอยู่ที่ไหนละ?
บรรยากาศในห้องแปรเปลี่ยนเป็นตึงเครียดขึ้นในทันใด ทันใดนั้นเอง อวี๋หวั่นนึกบางอย่างออก ก็หยิบป้ายคำสั่งออกมาจากอกเสื้อ “อาม่า ท่านรู้จักสิ่งนี้หรือไม่?”
อิ่งสือซันมองมาทันใด “ตอนที่อาโต้วพาพวกเราเดินผ่านทางนั้นมา ก็พบว่าบนกำแพงหินมีสัญลักษณ์นี้อยู่ ทำไมมันถึงเหมือนกับสัญลักษณ์ของเผ่าปีศาจ แต่ก็ไม่ได้เหมือนเสียทีเดียว”
ฉิวปิ่งเงียบ
“อาม่า พวกข้าบังเอิญไปได้ยินความลับของเผ่าปีศาจเข้า แต่ถ้าหากเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการตามหาตัวยา ข้าก็หวังว่าท่านจะบอกพวกข้าตามตรง”
แต่ไหนแต่ไรมาอวี๋หวั่นไม่เคยบีบบังคับอาม่าและคนอื่นๆ ต่อให้สังเกตเห็นว่าพวกเขากำลังปิดบังตัวตนอยู่ เธอก็ไม่เคยถาม ทว่าวันนี้ต่างออกไป เยี่ยนจิ่วเฉาต้องการตัวยา สัญชาตญาณบอกเธอว่าสัญลักษณ์บนป้ายคำสั่งนี้จะต้องมีส่วนเกี่ยวของกับตัวยาที่พวกเขาตามหา
“พวกเจ้าเจอสิ่งนี้ที่ไหน?” ฉิวปิ่งถาม
“ด้านล่างหน้าผา” อวี๋หวั่นและอาโต้วตกลงไปในกับดัก จากนั้นก็ถูกแม่มดเฒ่าพาไปยังเรือน จากนั้นก็เล่าเรื่องของเยี่ยนจิ่วเฉาให้อาม่าฟัง
ฉิวปิ่งฟังจบ ก็หลับตาลง แล้วถอนหายใจยาวๆ “ลิขิตสวรรค์เป็นเช่นนี้สินะ”
ทุกคนต่างมองเขาด้วยความงงงวย
ฉิวปิ่งส่ายหน้า “เอาเถอะ ความลับนี้ถูกเก็บเอาไว้นานหลายปี บัดนี้ถูกเปิดเผยในใต้หล้า ป้ายคำสั่งนี้เกี่ยวข้องกับการตามหาตัวยา”
ทุกคนรอให้เขาพูดต่อ
ฉิวปิ่งสูดหายใจเข้าลึก “พวกเจ้าสงสัยใช่ไหมว่าเหตุใดสัญลักษณ์บนป้ายคำสั่งและบนผนังนั้นถึงคล้ายกัน แต่ไม่เหมือนกัน? นั่นก็เป็นเพราะเผ่าปีศาจที่แท้จริงไม่อยู่ที่นี่แล้วน่ะสิ”
…………………..