จื่อเยียนให้กำเนิดบุตรชาย เขามิใช่เด็กคลอดก่อนกำหนด ตัวอ้วนจ้ำม่ำ เพียงแต่ใบหน้าของเขาเป็นรอยย่นอยู่
บ้าง ทว่าเสียงร้องดังลั่นของเขาทำให้รู้ว่าเป็นเด็กที่สุขภาพแข็งแรง ไม่ว่าจะอยู่ในต้าโจวหรือในหนานจ้าว ล้วนนับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่ง
กระนั้นเมื่อเขาเกิดมาในสกุลหลาน…
ทันทีที่นางหลานได้ยินว่าไม่ใช่เด็กผู้หญิง นางก็หลับตาลงด้วยความสิ้นหวัง
นี่คงเป็นลิขิตสวรรค์กระมัง?
สวรรค์คงปรารถนาที่จะทำลายสายเลือดของพวกเขา
นับตั้งแต่วินาทีที่จื่อเยียนตั้งท้องเลือดเนื้อเชื้อไขของนายน้อย นางก็ตระหนักรู้ถึงความหวังที่ตนต้องแบกรับไว้ นางก็เหมือนกับนางหลาน หวังว่าตนเองจะให้กำเนิดสตรีศักดิ์สิทธิ์ พวกนางไม่ได้บอกว่าเด็กที่เกิดมาจะต้องเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ แต่อย่างน้อยหากเป็นทารกเพศหญิง พวกนางก็จะมีความหวังขึ้นมากึ่งหนึ่งมิใช่หรือ? ทว่าเด็กที่เกิดมากลับเป็นเพศชาย ความหวังของพวกนางสลายสิ้นไปต่อหน้าต่อตา
นางมองไปยังนางหลานด้วยความลนลาน จากนั้นก็มองไปยังลูกซึ่งกำลังร้องไห้ ความกดดันมหาศาลโหมทับลงมาบนร่างของนางเสียจนหายใจแทบไม่ออก
สาวใช้และแม่นมเฒ่าซึ่งคอยดูแลนางอยู่นั้นก็ไม่กล้าส่งเสียง ได้แต่สงบสติอารมณ์อยู่เงียบๆ บรรยากาศในห้องนั้นอึดอัดเหลือเกิน
อวี๋หวั่นเดินไปข้างเตียง อุ้มทารกในห่อผ้าขึ้นมา
เมื่อทารกซึ่งเดิมทีร้องไห้เสียงดังถูกอุ้มขึ้นมา เขาก็เงียบลงทันใด เอียงคอหาววอด น่ารักเหลือเกิน
“ท่านยายรอง ดูสิเจ้าคะ” อวี๋หวั่นเปลี่ยนคำเรียกเพื่อให้ชัดเจนมากขึ้น
นางหลานรู้สึกว่าคำเรียกเช่นนี้ฟังดูสนิทสนมมากกว่าเดิม นางพยายามสงบสติอารมณ์ แล้วมองไปยังอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นอุ้มทารกเดินไปหานาง เธอกะพริบตาปริบๆ แล้วพูดว่า “เขาเหมือนท่านยายรองเลยเจ้าค่ะ”
ทารกเพิ่งคลอดออกมา ใบหน้ายังคงเป็นรอยย่นยู่ยี่ ดูออกได้อย่างไรกันว่าเหมือนใคร? กระนั้นก็ทำให้นางหลานนึกถึงหลานชายของตนเอง เด็กคนนั้นเหมือนกับนาง ทารกน้อยนี้เป็นลูกของเขา ย่อมต้องมีเค้าหน้าเหมือนเขาอยู่บ้าง
หลานชายไม่อยู่แล้ว แต่สายเลือดของเขาก็ยังคงอยู่
นางหลานพลันรู้สึกอบอุ่นหัวใจขึ้นมา นางใช้ไม้เท้าพยุงร่างเข้าไป ยื่นมือสั่นเทิ้มของนางออกมา แล้วรับเด็กตัวย่นๆ เข้ามาในอ้อมอก
เมื่อทารกเข้ามาในอ้อมอกของนาง นางกลับรู้สึกว่าตนเองรักเขาเหลือเกิน
ทันทีที่จื่อเยียนเห็นว่ารอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนางหลาน นางก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
จื่อเยี่ยนรู้สึกเหนื่อยล้าเหลือเกิน จึงผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว
สาวใช้กับแม่นมเฒ่าอยู่เก็บกวาดห้องให้เรียบร้อย อวี๋หวั่นรับทารกมา และเดินกลับห้องไปพร้อมกับนางหลาน
จื่อเยียนเพิ่งคลอดลูก ยังไม่มีน้ำนม อวี๋หวั่นจึงไปต้มข้าวในครัว
เดิมทีนางหลานคิดจะห้าม แต่ในเมื่อในเรือนมีคนใช้ไม่พอ ในตอนนี้สาวใช้และแม่นมเฒ่าก็คงมาทำให้ไม่ได้
อวี๋หวั่นยกน้ำข้าวต้มที่เย็นแล้วเข้ามา แล้วใช้ช้อนค่อยๆ ป้อนให้ทารกน้อย
ทารกสะดุ้งเฮือก!
“ทำไมล่ะ ร้อนหรือ?” อวี๋หวั่นหยดน้ำข้าวลงบนหลังมือ “ไม่ร้อนนี่นา”
อวี๋หวั่นจุ่มช้อนและหยดน้ำข้าวให้ทารก แต่เขากลับเบือนหน้าหนี ไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่กินเป็นอันขาด
อวี๋หวั่นลองป้อนเขาอีกหลายครั้ง ก็ได้ข้อสรุปว่า “เขาไม่ชอบกินน้ำข้าว ช้าจะไปทำอย่างอื่นมา”
ทารกน้อยตัวสั่นเทิ้ม ขนลุกซู่!
นางหลานดึงมือของอวี๋หวั่นไว้ด้วยความกระดากใจ “อย่าลำบากไปเลย เจ้านั่งเถิด มีเรื่องเกิดขึ้นตั้งมากมาย เจ้าคงเหนื่อยแล้ว”
อวี๋หวั่นตอบว่า “ข้าเติบโตมาในชนบท งานแค่นี้ข้าทำจนชินแล้ว แต่ท่านอายุมาก กลับต้องมาเผชิญกับความยากลำบากเช่นนี้”
นางหลานส่ายหน้า “เป็นความผิดของข้าเอง ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ล้วนเป็นผลจากการกระทำของข้าเอง ถ้าหากข้าไม่ใจอ่อน ป่านนี้คงสังหารนางแพศยานั่นไปแล้ว ชีวิตของพวกเขาก็คงไม่เป็นเฉกเช่นทุกวันนี้”
อวี๋หวั่นปลอบนางว่า “เรื่องก็ผ่านมาแล้ว ท่านอย่าได้โทษตัวเอง”
ที่นางหลานโทษตนเองมิใช่เพราะนางรู้สึกผิด หากแต่เพราะนางพร่ำเตือนตนเองว่าไม่อาจมีจุดจบเช่นนี้ นางต้องสู้ตราบจนลมหายใจสุดท้าย นางอยากกลับไปอยู่ในสกุลหลาน กอบกู้ชื่อเสียงของท่านพี่กลับคืนมา และทวงคืนสิ่งที่เป็นของพวกเขา
“น่าสงสารเด็กคนนี้” นางหลานบอก “ครอบครัวตกต่ำ ไม่มีปัญญาแม้แต่จะเชิญแม่นมมา”
ครั้นถูกขับไล่ออกจากหมิงตู พวกนางไม่ได้นำทรัพย์สินออกมา นอกจากเครื่องประดับศีรษะที่ติดตัวมา ก็ไม่มีของมีค่าใดๆ อีก
หลายปีมานี้ อัญมณีบนเครื่องประดับศีรษะถูกนำไปจำนำแทบหมดแล้ว ยังเหลือกำไลประดับอัญมณีอีกชิ้นหนึ่ง ซึ่งเป็นของที่สามีของนางมอบให้ในวันแต่งงาน ต่อให้ลำบากเพียงใดก็ยังทำใจนำไปขายไม่ได้
บัดนี้นางคิดจะนำกำไลวงนี้ไปขาย เพื่อนำเงินมาเชิญแม่นมให้หลานชาย
ถึงแม้ไม่รู้ว่าจะเชิญมาได้หรือไม่ แต่ก็ต้องลองดู
“อาหวั่น พยุงข้าที” นางหลานบอกกับอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นยื่นมือออกมาพยุงแขนนางหลาน และเดินเข้าไปด้านหลังฉากกั้นพร้อมกับนาง
ทารกน้อยหิวโหยจนร้องไห้ออกมาเสียงดังลั่น ทำให้นางหลานรู้สึกปวดใจเหลือเกิน
“เปิดหีบนั้น กุญแจอยู่ใต้เตียง” นางหลานชี้ไปยังกล่องซึ่งวางอยู่ข้างตู้เสื้อผ้า
อวี๋หวั่นค้อมกายลงไปมองใต้เตียง ทว่ามองไม่เห็น จึงต้องยื่นมือเข้าไปคลำ เธอคลำไปเจอถุงผ้านุ่มๆ ใบหนึ่ง จึงดึงออกมาเปิดดู และหยิบกุญแจดอกหนึ่งออกมา “ท่านยายรอง กุญแจดอกนี้ใช่ไหมเจ้าคะ?”
“ถูกต้อง” นางหลานพยักหน้า
อวี๋หวั่นหยิบลูกกุญแจออกมาไข เปิดฝาหีบออก ด้านในมีอาภรณ์และแพรพรรณอยู่กองหนึ่ง
“ท่านยายรองจะให้ข้าหาอะไรหรือ” อวี๋หวั่นถาม
นางหลานตอบว่า “ก้นหีบมีกล่องไม้เถามู่ เจ้าลองหาดู”
“อ้อ” อวี๋หวั่นนำผ้าแพรพรรณกองนั้นออกมา ก้นหีบมีกล่องไม้มากมาย แต่กลับไม่ยักเห็นกล่องไม้เถามู่ “ท่านยายแน่ใจหรือเจ้าคะว่าเป็นหีบใบนี้?”
นางหลานพยักหน้า แล้วกล่าวว่า “แน่ใจ ข้าเป็นคนเก็บด้วยตัวเอง”
เมื่อเป็นเช่นนั้น อวี๋หวั่นจึงหยิบกล่องในหีบขึ้นมาเปิดดูทีละกล่อง
“เจอแล้วเจ้าค่ะ!” อวี๋หวั่นส่งกล่องไม้เถามู่ให้นางหลาน
นางหลานเปิดกล่องใบนั้นดู ด้านในมีกำไลคู่หนึ่ง ทั้งยังประดับไปด้วยเชือกสีแดง เชือกสีแดงใช้ประดับตกแต่ง มิได้มีราคาแต่อย่างใด นางหลานหยิบกำไลวงหนึ่งขึ้นมาให้อวี๋หวั่น เพื่อเป็นของขวัญที่ยายมอบให้หลานสาวยามแรกพบ
อีกวงหนึ่งนางจะให้สาวใช้นำไปขาย
ในตอนนั้นเอง เสียงร้องไห้โยเยจากอีกฝั่งหนึ่งของฉากกั้นก็เงียบลง นางหลานรู้สึกประหลาดใจ ไฉนจึงไม่ร้องไห้แล้วเล่า? หรือว่าร้องไห้จนเหนื่อยและผล็อยหลับไปแล้วหรือ?
แน่นอนว่าทารกตัวน้อยยังไม่หลับ
เด็กอ้วนกลมทั้งสามอุตส่าห์ข้ามน้ำข้ามทะเล (ข้ามธรณีประตู) เดินเตาะแตะเข้ามา พวกเขาเดินมาที่เปล สองมือจับขวดนมใบเล็ก ดื่มนมไปพลางมองดูน้องชายคนเล็กตาไม่กะพริบ
ป๊อก!
ต้าเป่าดึงจุกนมในปากของตนออกมา แล้วใส่เข้าไปในปากน้องชายตัวน้อย
หลังจากทารกน้อยได้ลิ้มลองน้ำข้าวต้ม ก็เริ่มนึกสงสัยว่าตนเองเกิดมาทำไม ทันทีที่สัมผัสได้ถึงรสหวานของ
น้ำนม เขาถึงกับไม่ยอมปล่อยขวดนมเลยทีเดียว!
ในตอนที่นางหลานเดินออกมาจากด้านหลังฉากกั้นพร้อมกับอวี๋หวั่น ก็เห็นภาพเหตุการณ์เด็กตัวอ้วนจ้ำม่ำสามคนยืนอยู่ด้านหน้าเปลเด็ก ผลัดกันป้อนนมให้เด็กทารก
นางหลานตื่นตะลึง
ลูกหลานบ้านไหนกัน?
กำลังป้อนอะไรให้เหลนของนาง?
“ต้าเป่า เอ้อร์เป่า เสี่ยวเป่า” อวี๋หวั่นเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงระคนความประหลาดใจ “พวกเจ้ามาได้อย่างไรกัน
“เจ้ารู้จักหรือ?” ครั้งนี้เป็นนางหลานที่เป็นฝ่ายตกใจ
“ลูกข้าเองเจ้าค่ะ” อวี๋หวั่นยิ้ม
“อา…” นางหลานพูดไม่ออก
นางกับท่านพี่เป็นฝาแฝดกัน ในหมิงตูก็นับว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์แล้ว นางไม่เคยเห็นเด็กแฝดสามมาก่อน ทั้งยังเป็นเด็กที่หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู ดวงตากลมโตดำขลับ แก้มกลมสีแดงระเรื่อ คิ้วโก่งดูอาจหาญ ราวกับเป็นเด็กในภาพเขียน
เด็กทั้งสามมองไปยังท่านแม่และนางหลาน สายตารู้ความของพวกเขาทำให้หัวใจของนางหลานอ่อนยวบลงทันใด
“พวกเจ้ากำลังทำอะไรอยู่” อวี๋หวั่นกระซิบถาม
“กำลังป้อนนมให้น้องอยู่ขอรับ” เสี่ยวเป่าตอบด้วยเสียงเล็กเสียงน้อย
“เป็นนมแพะที่ต้มแล้วเจ้าค่ะ” อวี๋หวั่นอธิบายให้นางหลานฟัง
นางหลานกระจ่างในทันใด “มิน่าเล่าเขาถึงกินได้ ทำไมข้าถึงคิดวิธีนี้ไม่ออกกันนะ”
เมื่อทั้งสามคนป้อนนมเสร็จ เด็กทารกก็ผล็อยหลับไป
อวี๋หวั่นกวักมือเรียก เด็กทั้งสามจึงวิ่งมา
เธอลูบศีรษะน้อยๆ ของพวกเขา “นี่คือต้าเป้า เอ้อร์เป่า และเสี่ยวเป่า” จากนั้นก็หันไปบอกทั้งสามว่า “นี่คือท่านทวด”
ท่านทวดอีกคนหนึ่งหรือ? ทั้งสามคนมีท่านปู่ ท่านย่าตั้งหลายคน มีท่านทวดเพิ่มมาอีกคนหนึ่งย่อมมิใช่เรื่องแปลก
เสี่ยวเป่าและเอ้อร์เป่าเรียก “ท่านทวด” ด้วยเสียงอ่อนเสียงหวาน ส่วนต้าเป่านั้นพยักหน้า เพื่อบอกว่าตนเองเรียกท่านทวดแล้ว
นางหลานไม่เคยพบเด็กที่ว่าง่ายเช่นนี้มาก่อน จึงรู้สึกเอ็นดูพวกเขาเป็นอย่างมาก นางวางกล่องลงบนโต๊ะ และหันไปหยิบน้ำตาลก้อน แต่พบว่าสายตาของเด็กทั้งสามกลับจับจ้องไปยังกล่องบนโต๊ะ
ชอบกำไลหรอกหรือ?
ไม่แปลก บนกำไลประดับประดาไปด้วยอัญมณีจำนวนมาก เด็กๆ ย่อมชอบเป็นธรรมดา
นางหลานดันกล่องไปให้พวกเขา “ให้พวกเจ้า มาเอาไปเล่นสิ”
เด็กทั้งสามนัยน์ตาเป็นประกาย แต่กลับไม่ได้ยื่นมือออกมาหยิบ พวกเขามองไปยังอวี๋หวั่น อวี๋หวั่นจึงบอกว่า “ขอบคุณท่านทวดก่อน”
เด็กทั้งสามขอบคุณท่านทวด แล้วยื่นมือน้อยๆ ออกมาหยิบกล่องไป
จากนั้นเด็กทั้งสามก็โยนกำไลทิ้ง และหยิบเชือกสีแดงออกมา แล้ววิ่งออกไป!
………………………..