ในคืนนั้น พวกเขาทุกคนพักอยู่ในเรือนสกุลหลาน เรือนแห่งนี้เก่าคร่ำคร่า ทว่ากลับมีห้องหับมากมาย นอกจากเยี่ยนจิ่วเฉา อวี๋หวั่น และเด็กทั้งสามซึ่งพักอยู่ในห้องเดียวกันแล้ว คนอื่นๆ ล้วนแต่มีห้องของตนเอง
เว้นแต่…อิ่งลิ่วและอิ่งสือซัน
ชิงเหยียนหัวเราะแดกดัน “ขอโทษเถอะ สัมภาระของพวกเรามากมายเหลือเกิน ต้องใช้ห้องสำหรับเก็บสัมภาระสักห้อง ต้องรบกวนพวกเจ้าไปพักห้องเดียวกันซะแล้วสิ”
คิ้วเข้มของอิ่งสือซันขมวดเข้าหากัน แล้วคว้าแขนของชิงเหยียนเอาไว้ “เจ้าก็ย้ายไปอยู่ในห้องอาเว่ยหรือห้องของเยว่โกวสิ”
ชิงเหยียนเบ้ปาก “เยว่โกวนอนกรนเสียงดัง อาเว่ยนอนกัดฟัน ถ้าอยากไปเจ้าก็ไปเองเถอะ! ข้าไม่ไป!”
อิ่งลิ่วเดินเข้ามาดึงแขนของอิ่งสือซัน “ไอ้หยา พอแล้วๆ ทำอย่างกับไม่เคยอยู่ด้วยกัน ที่จวนคุณชายกับจวนท่านอ๋อง พวกเราสองคนก็อยู่ห้องเดียวกันไม่ใช่หรือ?”
ชิงเหยียนยักคิ้วหลิ่วตา “นั่นน่ะสิ”
พูดจบ เขาก็เดินผิวปากจากไป
อิ่งสือซันหน้าตาถมึงทึง อิ่งลิ่วเหลือบไปมองเขา แล้วพึมพำว่า “ทำไม? เจ้าไม่อยากอยู่ห้องเดียวกับข้าหรือ? เช่นนั้นข้าไปอยู่ห้องชิงเหยียนก็ได้”
“ห้ามไปนะ!” อิ่งสือซันบอก
อิ่งลิ่ว “เอ่อ”
ชิงเหยียนเดินไปแล้ว แต่ยังหันหลังมาแลบลิ้นปลิ้นตาใส่อิ่งสือซัน
อิ่งสือซันปล่อยหมัดออกไป
โชคดีที่ซิวหลัวผ่านมาพอดี ชิงเหยียนจึงถือโอกาสเข้าไปหลบด้านหลังของซิวหลัว
กำปั้นพลังมหาศาลซึ่งต่อยได้แม้แต่หินผาพุ่งเข้ามา ซิวหลัวมองไปยังเส้นผมขาดผึง จากนั้นก็เดินกลับห้องไปด้วยท่าทางง่วงนอน
อิ่งลิ่วและอิ่งสือซันกลับห้องไป หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้ว จึงขึ้นไปนอนอยู่บนเตียงแข็ง พวกเขาเป็นหน่วยกล้าตาย จึงไม่มีความปรารถนาแต่อย่างใด แม้แต่กับเจ้านายอย่างเยี่ยนจิ่วเฉา พวกเขาก็ไม่เคยคิดเลยเถิด
แต่ทว่า เตียงหลังนี้ออกจะเล็กเกินไปสักหน่อย อิ่งสือซันนอนอยู่ด้านนอก ร่างของเขายื่นออกไปนอกเตียงครึ่งหนึ่ง
หลังจากที่อิ่งลิ่วรู้ จึงดึงเขาเข้ามาด้านใน “ประเดี๋ยวก็ตกเตียงหรอก”
“เปล่าสักหน่อย” อิ่งสือซันพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย
อิ่งลิ่วหาววอด
อิ่งสือซันจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เจ้าอย่าขยับสิ”
“ข้าเปล่าสักหน่อย” อิ่งลิ่วขยุกขยิกไปมา
อิ่งสือซันคล้ายกับมีเรื่องจะพูด แต่ไม่ยอมพูดออกมา เขานอนจ้องมองหลังคาเตียงอันมืดสนิท
“เจ้ารู้สึกหนาวไหม?” อิ่งลิ่วกระซิบถาม
อิ่งสือซันมีสีหน้าจริงจัง “หมิงตูอากาศชื้น ผ้าห่มชื้นไปหมด”
“มิน่าเล่า ข้าหนาวแทบแย่!” อิ่งลิ่วเอื้อมมือมากอดอิ่งสือซัน ซุกศีรษะเข้ากับไหล่ของเขา
อิ่งสือซัน “เจ้า…”
“คร่อกฟี้~” อิ่งลิ่วหลับไปแล้ว
อิ่งสือซันหลับตาลง ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นก็ดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มแล้วผล็อยหลับไปเช่นกัน
…………
แพะสำหรับรีดนมถูกพาไปยังลานหลังบ้าน อาเว่ยลงมือสร้างคอกให้มันโดยเฉพาะ จากนั้นจึงต้มน้ำนมให้ซิวหลัวและเด็กทั้งสาม อีกทั้งยังต้มเผื่อทารกที่เพิ่งลืมตาดูโลกด้วยอีกหนึ่งชาม เพื่อให้อวี๋หวั่นยกไปป้อนให้เขา
ทารกคนนี้เป็นเด็กดีเหลือเกิน ไม่ร้องไห้เสียงดังรบกวนท่านแม่ ไม่เช่นนั้นลำพังเขาเพียงคนเดียว ก็คงทำให้สาวใช้และแม่นมเฒ่าวิ่งวุ่นจนตัวเป็นเกลียวอย่างแน่นอน
“เด็กดี” อวี๋หวั่นจิ้มแก้มของทารก และวางเขาลงข้างจื่อเยียน
จื่อเยียนมองไปยังอวี๋หวั่นด้วยสายตาซาบซึ้ง นางพูดกับอวี๋หวั่นด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นว่า “ขอบคุณเจ้าค่ะ คุณ
หนู”
อวี๋หวั่นยิ้ม แล้วจัดแจงผ้าห่มให้นาง “นอนเถอะ ประเดี๋ยวเขาตื่นกลางดึก จะได้มีคนดูแล”
“อื้ม” จื่อเยียนไม่รู้จะกล่าวขอบคุณอย่างไรดี เข้ามาอยู่ในสกุลหลานนานแล้ว ชีวิตของนางไม่นับว่าลำบากเท่าไร นายน้อยปฏิบัติต่อนางเป็นอย่างดี เพียงแต่สกุลหลานได้รับแรงกดดันจากรอบข้าง คนในสกุลถูกปองร้าย นางใช้ชีวิตอยู่บนความหวาดกลัว วันหนึ่งในเรือนก็มีคนเพิ่มขึ้นมา ได้ยินเสียงของคุณชายน้อยวิ่งเล่นกัน ได้ยินเสียงเหล่าองครักษ์หัวเราะร่า ในใจของนางก็พลันรู้สึกสงบขึ้นมา
อยู่ๆ…นางก็ไม่กลัวแล้ว
จื่อเยียนค่อยๆ หลับตาลง
สองแม่ลูกกำลังหลับสบาย อวี๋หวั่นจึงกลับไปยังห้องของตนเอง เด็กทั้งสามกำลังนั่งอาบน้ำอยู่ในอ่าง เยี่ยนจิ่วเฉาคอยจับตาดูพวกเขาอยู่ แม้ว่าจะกลายเป็นอ๋องแห่งเผ่าปีศาจ ผู้ชายคนนี้ก็ยังทำหน้าที่พ่อได้อย่างดีเยี่ยม
อวี๋หวั่นหัวเราะ แต่ก็ไม่ได้เข้าไปรบกวนช่วงเวลาของพ่อลูก และสาวเท้าเดินไปยังห้องของนางหลาน
นางหลานกำลังจะนอน เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู ก็กล่าวว่า “เข้ามาเถิด”
อวี๋หวั่นผลักประตูเข้าไป เมื่อเห็นนางหลานนอนอยู่บนเตียงกำลังจะนอน จึงบอกว่า “ข้ามาดูว่าท่านยายหลับแล้วหรือยัง มีอะไรให้ข้าทำหรือไม่เจ้าคะ”
นางหลานเป็นประมุขของสกุลมานาน ไฉนจึงจะมองไม่ออกว่าเด็กคนนี้มาหานาง เป็นเพราะมีเรื่องจะถาม
นางหลานยิ้มอย่างมีความสุข “ข้าอายุมากแล้ว ล้มตัวลงนอนก็ยังนอนไม่หลับ เข้ามานั่งสิ มาคุยเป็นเพื่อนยาย”
“เจ้าค่ะ” อวี๋หวั่นปิดประตูห้อง และเดินไปข้างเตียงตามคำบอกของนางหลาน
นางหลานยกมือขึ้นมาลูบผมของอวี๋หวั่น แล้วถอนหายใจออกมา “หลายปีมานี้ข้าใช้ชีวิตอยู่กับความโกรธแค้นมาตลอด ไม่เคยทำตัวเป็นผู้ใหญ่ที่ดี จื่อเยียนกลัวข้า พวกนางทุกคนล้วนแต่กลัวข้า”
อวี๋หวั่นพูดว่า “ท่านยายจำเป็นต้องทำ”
“ถูกต้อง ศัตรูอยู่ตรงหน้า ถ้าหากไม่เตือนตนเองให้ทำเช่นนั้น เกรงว่าข้าก็คงรับมือไม่ไหว” นางหลานบอก ปล่อยเส้นผมของอวี๋หวั่นที่นางจับไว้ แล้วจับมืออวี๋หวั่นแทน “หากวันใดข้าไม่อยู่แล้ว จื่อเยียนนาง…”
อวี๋หวั่นพูดตัดบทขึ้นมาว่า “ท่านยายรองเจ้าคะ ท่านอย่าเพิ่งรีบพูดอย่างนี้เลย ท่านจะต้องอยู่จนถึงร้อยปี!”
นางหลานยิ้ม “ก็ได้ๆ ยายจะอยู่ให้ถึงร้อยปี บอกข้ามาเถิดว่าดึกดื่นป่านนี้มาหาข้า อยากรู้เรื่องอะไรหรือ”
อวี๋หวั่นบอกว่า “อันที่จริงก็ไม่มีอะไรหรอกเจ้าค่ะ ข้าเพียงแต่อยากมาฟังท่านเล่าเรื่องของท่านทวด ท่านทวดจากไปตั้งแต่อวิ๋นเฟยยังเล็ก ข้าจึงอยากฟังเรื่องนี้ จะได้นำกลับไปเล่าให้นางฟัง”
เมื่อเอ่ยถึงมารดา นัยน์ตาของนางหลานก็เป็นประกายขึ้นมา “ท่านทวดของเจ้าเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ในสกุลหลาน เรื่องของนางไม่อาจเล่าจบในไม่กี่ประโยค สตรีสกุลหลานแต่งงานช้า เจ้าคงจะเดาได้ว่าในตอนนั้นท่านยายของเจ้าเป็นที่หมายปองมากเพียงใด คนมาสู่ขอมากมายเสียจนธรณีประตูแทบพัง แต่ว่าท่านทวดของเจ้าต้องรักษาตำแหน่งประมุขแห่งตระกูล ไม่อาจออกเรือนได้ ถ้าไม่อย่างนั้น…”
นางหลานเล่ามาถึงตรงนี้ ก็หยุดชะงักไป
อวี๋หวั่นมองนางด้วยความสงสัย “ถ้าไม่อย่างนั้นอะไรหรือเจ้าคะ?”
เดิมทีนางหลานไม่อยากเล่าเรื่องนี้ให้คนรุ่นหลังฟัง แต่นางก็ไม่อาจต้านทานสายตาเปี่ยมความสงสัยของอวี๋หวั่นได้
นางมีสีหน้าลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า “ในตอนนั้น สกุลซือคงก็มาสู่ขอท่านทวดของเจ้า เจ้าเองก็รู้ว่าสกุลซือคงเป็นราชวงศ์ของหมิงตู พวกเขาไม่อาจแต่งเข้ามายังสกุลหลาน แต่หากให้ท่านทวดของเจ้าแต่งออกไป นางก็ไม่ยินดี การแต่งงานของทั้งสองตระกูลจึงไม่อาจเกิดขึ้นได้ จากนั้นไม่นาน ท่านทวดของเจ้าก็แต่งงานเป็นครั้งแรก กับท่านพ่อของข้าและท่านพี่ ทว่าท่านพ่อก็มาด่วนจากไปเช่นกัน”
“เป็นเพราะ…อุบัติเหตุหรือโรคเจ้าคะ?” อวี๋หวั่นถาม
“ไม่ใช่ทั้งคู่” นางหลานหลุบตา หยุดพูดไปชั่วขณะหนึ่ง แล้วกล่าวว่า “เขาผิดใจกับคนสกุลซือคง จึงถูกสังหาร”
อวี๋หวั่นตกตะลึง
กล้าสังหารแม้แต่สามีของสตรีศักดิ์สิทธิ์ สกุลซือคงไม่ได้ตั้งใจจริงๆ หรือ?
นางหลานถอนหายใจ “ท่านทวดของเจ้าจึงไปเจรจาเรื่องนี้ สุดท้ายพลั้งมือสังหารบุตรชายสกุลซือคงไปคนหนึ่ง แม้ว่าเขาจะเป็นบุตรชายจากอนุภรรยา แต่อย่างไรเสียก็เป็นสายเลือดสกุลซือคง สกุลซือคงจึงยื่นเงื่อนไขว่าถ้าหากท่านทวดของเจ้าตอบตกลงแต่งเข้าสกุลซือคง เรื่องราวในครั้งนี้จะนับเป็นโมฆะ แต่หากนางไม่ตกลง พวกเขาก็จะจัดการตามกฎหมาย”
“มีแผนการลับกระมัง?” อวี๋หวั่นบอก
นางหลานพยักหน้า “ท่านทวดของเจ้าก็คิดเช่นนั้น เพราะฉะนั้นนางจึงหลบหนี ระหว่างทางที่หลบหนี…”
อวี๋หวั่นยังคงจ้องมองนาง
นางหลานหลับตาลง “ไม่มีอะไร เป็นเพียงข่าวลือ ไม่มีหลักฐานเพียงพอให้เชื่อ”
อวี๋หวั่นลูบคาง ต้องเกิดอะไรขึ้นระหว่างทางที่ท่านทวดหลบหนีเป็นแน่ เป็นเรื่องที่ไม่มีผู้ใดเข้าใจได้
เมื่อนึกเรื่องหนึ่งออก อวี๋หวั่นจึงบอกว่า “แต่ว่า ทำไมสกุลซือคงถึงทำกับท่านทวดอย่างนั้นละเจ้าคะ นางแต่งงานไปแล้ว ทั้งยังมีลูกตั้งสองคน เรื่องนี้สกุลซือคงไม่ได้สนใจเลยหรือเจ้าคะ?”
นางหลานแค่นเสียงหัวเราะ “จะไม่สนใจได้อย่างไร? แต่เพื่อที่จะได้มาซึ่งสายเลือดของสตรีศักดิ์สิทธิ์ คนสกุลซือคงจึงไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ เจ้าคงสงสัยว่าสายเลือดของสตรีศักดิ์สิทธิ์มีดีอะไร ข้าคิดว่าการนำมาทำเป็นยานั้นคือประโยชน์หนึ่งของมัน เพียงแต่ว่า แต่ไหนแต่ไรมา สายเลือดของสตรีศักดิ์สิทธิ์กับสายเลือดของสกุลซือคงไม่อาจหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียวได้”
อวี๋หวั่นมองไปยังนางหลาน “ทำไมหรือเจ้าคะ”
นางเจียงนึกถึงเรื่องราวในอดีตแล้วกล่าวว่า “บรรพบุรุษของสกุลหลานให้กำเนิดสตรีศักดิ์สิทธิ์ แต่สกุลหลานไม่ใช่ทายาทเพียงสายเดียวของสตรีศักดิ์สิทธิ์ ก่อนหน้านี้ในหมิงตูก็มีสตรีศักดิ์สิทธิ์ถือกำเนิดขึ้นมาเช่นกัน ทั้งหมดล้วนถูกสกุลซือคงสู่ขอไป แต่เจ้าลองเดาสิว่าเกิดอะไรขึ้น พวกนางไม่อาจตั้งท้องกับคนสกุลซือคงได้ นานวันเข้า สายเลือดของพวกนางก็หมดไป สายเลือดของสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่หลงเหลือมาจนถึงทุกวันนี้คือสกุลหลาน เพื่อที่จะปกป้องสายเลือดของสตรีศักดิ์สิทธิ์ สกุลหลานจึงพยายามหลีกหนีให้ไกลจากสกุลซือคงมากที่สุด”
“มิน่าเล่าถึงตั้งกฎแต่งเข้าตระกูล เป็นเพราะป้องกันการถูกสกุลซือคงบังคับให้ออกเรือนนั่นเอง อย่างไรเสียสกุลซือคงเป็นถึงราชวงศ์ จะไปแต่งงานเข้าสกุลอื่นได้อย่างไร?” อวี๋หวั่นนึกเรื่องหนึ่งได้ ก็พูดขึ้นว่า “ว่าแต่…ถ้าหากสกุลหลานและสกุลซือคงให้กำเนิดทายาทขึ้นมา จะเป็นอย่างไรหรือเจ้าคะ?”
นางหลานยิ้มแล้วส่ายหน้า “เป็นไปไม่ได้ สายเลือดของสกุลซือคงกับของสตรีศักดิ์สิทธิ์ไม่อาจหลอมรวมกันได้ ถึงจะเกิดขึ้น ทารกคลอดออกมาได้ไม่นานก็คงตาย”
“ถ้าเกิดเป็นไปได้ละเจ้าคะ?” อวี๋หวั่นซักไซ้
“ถ้าเกิดเป็นไปได้?” นางหลานมองไปยังดวงตาซึ่งสุกสกาวดุจดวงดาวยามราตรี “ก็คงจะเป็นสายเลือดที่สูงส่งที่สุดในหมิงตู แม้แต่สตรีศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่อาจเทียบเคียงได้”
……………………