สตรีศักดิ์สิทธิ์ดื่มยาสลายวรยุทธ์ และกดพลังของตนเองได้ อวี๋หวั่นไม่รอช้า พุ่งเข้าไปทันที นางไม่ยอมหนีจริงๆ สินะ
แต่ว่า นางคงฟังผิดไปกระมัง?
เด็กคนนั้นเรียกนางว่าอะไรนะ?
ท่านพี่?
สตรีศักดิ์สิทธิ์มองไปยังเด็กอ้วนที่กอดนางไว้แน่น ทำอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อย นางยกมือขึ้นมาดันอวี๋หวั่นออกไป แต่ยิ่งดันก็ยิ่งกอดแน่นขึ้น เธอต้องดึงความสนใจของนาง
“ท่านพี่…ข้าตามหาท่านอย่างยากลำบากเลย… สวรรค์มีตา…ในที่สุดก็ให้ข้าได้พบกับท่านพี่…ฮืออออออ” อวี๋หวั่นร้องไห้โฮออกมา!
สตรีศักดิ์สิทธิ์ตื่นตะลึงกับภาพเหตุการณ์ตรงหน้า เจ้าเด็กโสโครกคนนี้ใจกล้าบ้าบิ่นมาจากไหน กล้ามาเรียกนางว่าท่านพี่กลางถนนเช่นนี้ คิดว่านางจะยอมเชื่อง่ายๆ หรือ? วอนตายด้วยน้ำมือนางเสียแล้ว
ไร้เดียงสาเกินทน!
สตรีศักดิ์สิทธิ์ยกมือขึ้นมาหมายจะจับกลุ่มผมของอวี๋หวั่น
ทว่ายังไม่ทันได้แตะต้องผมของอวี๋หวั่นแม้แต่เส้นเดียว เธอก็ลุกเข้ามาทันใด ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา “ท่านพี่…ทำไมท่านไม่พูดละเจ้าคะ ท่านจำข้าไม่ได้แล้วหรือ?”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ตะลึงงัน
ทว่าไม่ใช่เพราะคำพูดของอวี๋หวั่น หากแต่เป็นเพราะใบหน้าของเธอ
ดะ…เด็กคนนี้เปลี่ยนกลับมาเป็นใบหน้าของตนเองได้อย่างไรกัน?
วิชาแปลงกายซึ่งสืบทอดกันต่อมาในสกุลหลานนั้น อย่างน้อยต้องใช้เวลาสิบวันถึงครึ่งเดือนกว่าจะหลุดออก
เกิดอะไรขึ้น ผิดพลาดตรงไหนกัน?!
อวี๋หวั่นมองนางด้วยความสับสน ทว่าในใจกลับกระหยิ่มยิ้มย่อง แน่นอนว่าปัญหาไม่ได้เกิดจากวิชาแปลงกายของสกุลหลาน หากแต่เป็นเพราะเธอสวมหน้ากากหนังมนุษย์ทับอีกครั้งหนึ่ง วิชาแปลงกายของสกุลหลานสร้างความเสียหายกับผิวหนัง เพราะฉะนั้นหลังจากที่หน้ากากหลุดออกไป ผิวหนังก็จะบางและอ่อนแอลง ทำให้ไม่สามารถใช้วิชาแปลงกายได้ชั่วคราว กระนั้นถ้าหากใช้ใบหน้าปลอมติดทับลงไป ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
อย่างไรเสียก็เป็นเพียงของปลอม ติดเพิ่มไปอีกย่อมไม่ใช่ปัญหา!
แน่นอนว่าการติดใบหน้าปลอมให้แนบเนียนย่อมต้องพึ่งพาทักษะขั้นสูงสักหน่อย
ผิวหนังของใบหน้าที่สองก็ใช้วิชาแปลงกายของสกุลหลานเช่นกัน เพียงแต่ตราบใดที่หน้ากากนั้นไม่หลุด ใบหน้านี้ก็จะไม่หลุด ถ้าหลุดขึ้นมาจริงก็ไม่เป็นไร ของเธอหลุด ของสตรีศักดิ์สิทธิ์ก็ต้องหลุดเช่นกัน อีกทั้งใบหน้าของเธอเป็นใบหน้าจริง ใบหน้าของสตรีศักดิ์สิทธิ์ก็จะถูกเปิดเผย
เธอนี่ฉลาดจริงๆ! อวี๋หวั่นยืดอกด้วยความภาคภูมิใจ แล้วจึงค้อมกายเข้าไปใกล้ใบหูของสตรีศักดิ์สิทธิ์ซึ่งในตอนนี้กำลังยืนนิ่งด้วยความตกใจ จากนั้นก็กระซิบว่า “เป็นอะไรหรือท่านพี่ ท่านยังเดาไม่ออกหรือว่าเกิดอะไรขึ้น?”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ยกมือขึ้นลูบคางของตนตามสัญชาตญาณ เรื่องราวดำเนินมาถึงจุดนี้แล้ว หากยังเดาไม่ออกก็คงเป็นไปไม่ได้
แม้จะขบคิดไม่รู้กี่ครั้ง ก็ยังนึกไม่ถึงว่าเด็กคนนี้จะใช้วิธีเจ้าเล่ห์เช่นนี้!
ดูใบหน้าของนางสิ ถ้าหากบอกว่าไม่ใช่น้องสาวแท้ๆ ของตน เห็นทีคงจะไม่มีใครเชื่อ!
อวี๋หวั่นยิ้ม แล้วกล่าวว่า “เดิมทีข้าเองก็ไม่ได้นึกอยากพบหน้าท่านเร็วถึงเพียงนี้ แต่เป็นเพราะท่าน นั่งอยู่ในรถ
ม้าดีๆ ไม่ชอบหรือ จึงต้องออกมาข้างนอก?”
นี่เป็นความจริง เธอไม่ใช่เทพเซียน ไหนเลยจะรู้ว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์จะปรากฏตัวอย่างกะทันหันเช่นนี้? เธอเพิ่งจะไปติดหน้ากากหนังมนุษย์ที่เรือนของท่านยายรอง และคิดว่าจะหาอะไรกินสักหน่อยแล้วค่อยกลับสกุลซือคง
แต่กลับมาพบนางเสียก่อน
เพราะฉะนั้น ผู้ที่แกว่งเท้าหาเสี้ยนไม่ใช่อวี๋หวั่น หากแต่เป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์เอง
อีกด้านหนึ่ง ซือคงเย่เดินเข้ามาหาหลานสาวของตน ในมือของเขาถือถังหูลู่ลูกอวบวาววับไม้หนึ่ง
อวี๋หวั่นเห็นว่าเขาเดินลงมาจากรถม้าของสตรีศักดิ์สิทธิ์ ท่าทางของเขาสง่างามดังเทพเซียนผมสีดอกเลา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขาคือปรมาจารย์สกุลซือคงผู้ไร้เทียมทาน
อวี๋หวั่นใช้มือปาดน้ำตาซึ่งแห้งเหือดไปนานแล้ว จากนั้นก็ซุกใบหน้าเข้ากับอ้อมอกของสตรีศักดิ์สิทธิ์ “ท่านพี่!!”
ซือคงเย่ได้ยินเสียงของอวี๋หวั่น ซือคงเย่เห็นใบหน้าของอวี๋หวั่นแล้ว
สตรีศักดิ์สิทธิ์อ้าปากพะงาบ “ปรมาจารย์ ท่านฟังข้า…”
ยังไม่ทันได้อธิบายจบ อวี๋หวั่นก็พุ่งเข้าไปหาซือคงเย่ “ท่านตาทวดดดด”
ซือคงเย่ร่างแข็งทื่อราวกับหิน “…!! ”
อวี๋หวั่นแสร้งทำเป็นปาดน้ำมูกและน้ำตา (ซึ่งไม่มีอยู่ตั้งแต่แรก) พลางพร่ำพรรณนาเรื่องราวของตน “ท่านยายทวดไม่อยู่แล้ว พวกเขาไม่อยู่แล้ว…ข้ากับท่านพี่มาตามหาท่าน แต่กลับพรากจากกัน…ท่านพี่ต้องคิดว่าข้าตายไปแล้วเป็นแน่…ข้าตามหาพวกท่านแทบแย่…”
เดิมทีคิดว่าน้องสาวตายไปแล้ว มิน่าเล่าที่บ้านจึงไม่มีคนอยู่
ซือคงเย่มองไปยังใบหน้าที่เหมือนกันราวกับฝาแฝด ยิ่งไปกว่านั้นอวี๋หวั่นยังหยิบจดหมายของหลานอีออกมา จดหมายรักที่สตรีศักดิ์สิทธิ์นามว่าหลานอียังไม่ทันได้มอบให้ซือคงเย่
นี่เป็นหลักฐานที่มีน้ำหนักมากกว่าภาพวาดเสียอีก
ซือคงเย่มองไปยังลายมืออันคุ้นเคย จดหมายเอ่อล้นไปด้วยความรู้สึก จนเขาทนไม่ไหว ร่างสูงใหญ่งามสง่าค้อมลง ศีรษะก้มต่ำ เขาสูดหายใจเข้าลึก แล้วร่ำไห้ออกมา…
……
เมื่อมีทั้งใบหน้าและหลักฐานมายืนยัน ซือคงเย่ย่อมเชื่อว่านี่คือเหลนคนที่สองของตน!
เขาไม่จำเป็นต้องรู้สึกริษยาลูกหลานครอบครัวอื่นแล้ว เหลนของเขาอ้วนจ้ำม่ำดีเหลือเกิน!
อวี๋หวั่นสาธยายความลำบากของตนเองต่อ “…ข้าลำบากมามากจริงๆ…”
การแสดงในครั้งนี้ออกจะไม่สมจริงและดูขัดหูขัดตาไปสักหน่อย ตัวอวบอ้วนเช่นนี้ แน่ใจหรือว่าลำบากมามาก? คิดว่าปรมาจารย์ตาบอดหรืออย่างไร?
ซือคงเย่กล่าวโทษตนเองว่า “…รู้สึกผิดต่อเจ้าเหลือเกิน…”
สตรีศักดิ์สิทธิ์หมดคำจะพูด “…”
นางมองไปยังภาพเหตุการณ์ที่ซือคงเย่ยอมรับอวี๋หวั่น แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ข้าไม่มีน้องสาว”
อวี๋หวั่นจึงพูดอย่างน้อยเนื้อต่ำใจว่า “ข้ารู้ว่าท่านโกรธแค้นที่ข้าแย่งบุรุษในดวงใจของท่านไป”
สตรีศักดิ์สิทธิ์โทสะพลุ่งพล่านทันใด “เจ้า”
ซือคงเย่ยกมือขึ้นมา แล้วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “บุรุษเปรียบดังอาภรณ์ พี่น้องเปรียบดังแขนขา เป็นพี่น้องกันไม่ควรผิดใจกันเพียงเพราะบุรุษคนเดียว”
อวี๋หวั่นเลิกคิ้วให้สตรีศักดิ์สิทธิ์
นางโมโหจนควันออกหู!
เด็กคนนี้แต่งเรื่องเก่งเสียจริง หากตนเองยังคงดึงดันไม่ยอมรับนาง ปรมาจารย์รังแต่จะคิดว่านางกำลังโกรธแค้นเด็กคนนั้น!
“เจ้าชื่ออะไร” ซือคงเย่ถาม
“อาหวั่นเจ้าค่ะ” อวี๋หวั่นตอบ
จากนั้นสายตาของอวี๋หวั่นก็เคลื่อนไปจับจ้องที่ถังหูลู่ในมือของซือคงเย่
ซือคงเย่สังเกตเห็นท่าทางของเธอ จึงเอ่ยถามด้วยความเอ็นดูว่า “ข้าซื้อมาให้พี่สาวเจ้า เจ้าก็อยากกินหรือ?”
“อื้ม อยากกินเจ้าค่ะ ท่านตาทวด!” อวี๋หวั่นพยักหน้า
“ตาทวดจะไปซื้อให้เจ้า” เด็กคนนี้ไม่เพียงอ้วนจ้ำม่ำ ยังพูดจาไพเราะ น่าเอ็นดูเหลือเกิน
ซือคงเย่ไปซื้อถังหูลู่มาเพิ่ม ทว่าเขาไม่ได้ซื้อมาเพียงไม้เดียว กลับเหมามาทั้งหมด ถังหูลู่หลากหลายชนิดลูก
วาวใสปักอยู่บนท่อนไม้จนละลานตา
สตรีศักดิ์สิทธิ์มุมปากกระตุก ให้นางเพียงไม้เดียว แต่กลับให้เด็กนั่นทั้งหมดเลยรึ?
“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านตาทวด!” อวี๋หวั่นคว้าถังหูลู่มาหนึ่งไม้ แล้วกัดเข้าไปดัง ‘กร้วม’ ถังหูลู่ของหมิงตูนั้นเปรี้ยวกว่าของหนานจ้าว ถูกปากคนท้องอย่างเธอพอดิบพอดี
“ยังอยากกินอะไรอีก?” ซือคงเย่เอ่ยปากถาม
อวี๋หวั่นยิ้มน้อยๆ “ไม่มีแล้วเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวค่อยสั่ง…เป็ดย่าง เป็ดยัดไส้ห่อใบบัวอบ กระดูกสันหลังแพะตุ๋น เนื้อตุ๋นน้ำแดง กระเพาะวัวผัดอะไรเทือกนี้ก็พอแล้วเจ้าค่ะ”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ตื่นตะลึง นางแทบล้มทั้งยืน!
ยังกล้าบอกว่าไม่มีแล้วอีกหรือ?
เช่นนั้นปกติเจ้ากินเยอะขนาดไหนกัน?!
ซือคงเย่จึงพาหลานสองคนไปยังภัตตาคารที่ใหญ่ที่สุดในหมิงตู
แน่นอนว่าอาหารมื้อนี้อวี๋หวั่นไม่ได้กินคนเดียว วันนี้เธอรับบทเป็นน้องสาวที่น่ารักและรู้ความ เธอไม่ลืมที่จะแบ่งปันอาหารทุกชนิดให้พี่สาวแสนดีกินด้วย
สตรีศักดิ์สิทธิ์กินอาหารกลางวันมาจนแปล้ ถึงบัดนี้ก็ยังย่อยไม่หมด อย่าว่าแต่กินเลย แค่มองอาหารตรงหน้า นางก็พะอืดพะอมขึ้นมาทันที
“ท่านพี่กินอันนี้! อันนี้ด้วยเจ้าค่ะ!” อวี๋หวั่นคีบอาหารให้นางไม่หยุด “อย่าโกรธน้องเลยนะเจ้าคะ หลังจากนี้น้องจะดูแลท่านพี่เป็นอย่างดี!”
เจ้าเด็กนี่คิดจะทำให้นางอิ่มจนท้องแตกตายเป็นแน่!
“กินเถิด” ซือคงเย่บอก “เรื่องที่ผ่านมาแล้วก็ปล่อยให้ผ่านไป”
ถ้าหากไม่กิน ก็เท่ากับไม่ไว้หน้าน้องสาว!
สตรีศักดิ์สิทธิ์โมโหจัด แต่กลับไม่กล้าขัดใจปรมาจารย์ นางจึงทำได้เพียงกล้ำกลืนฝืนกินเข้าไป
นางชิมอาหารทุกชนิดเพียงอย่างละคำ ทว่าอวี๋หวั่นสั่งอาหารมาชุดใหญ่ หลังจากกินอาหารไปหลายสิบชนิด นางแทบจะเป็นลมแล้ว…
หลังจากกินอาหารเสร็จ ซือคงเย่ก็พาสองพี่น้องไปเลือกซื้อเครื่องประทินโฉมและเสื้อผ้าอาภรณ์ จากนั้นจึงกลับไปยังวิหารเจาหยางแห่งเขาหมิงซาน
เมื่อลูกศิษย์วิหารเจาหยางเห็นว่าปรมาจารย์พาสตรีเข้ามา ก็ตื่นตะลึงจนอ้าปากค้าง ออกไปครั้งหนึ่งพากลับมาหนึ่งคน ปรมาจารย์ร่างกายแข็งแรงเหลือเกิน…
ซือคงเย่พาทั้งสองเข้าไปยังเรือนที่หรูหราที่สุดในวิหารเจาหยาง จากนั้นจึงชี้ไปยังห้องห้องหนึ่งพลางพูดกับอวี๋หวั่นว่า “พี่เจ้าพักห้องนี้ เจ้าก็พักห้องติดกันดีหรือไม่?”
อวี๋หวั่นพูดยิ้มๆ “ไม่ต้องยุ่งยากหรอกเจ้าค่ะ ข้าพักห้องเดียวกับท่านพี่ก็พอแล้ว! ข้าแยกจากท่านพี่มานานขนาดนี้ ข้าคิดถึงท่านพี่ ข้าอยากอยู่กับท่านพี่เจ้าค่ะ!”
เด็กคนนี้ไม่มีวรยุทธ์ แต่กลับกล้านอนร่วมห้องกับนาง ต้องคิดจะทำอะไรแผลงๆ เป็นแน่!
สตรีศักดิ์สิทธิ์กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ท่านอนของข้าไม่เรียบร้อย…”
อวี๋หวั่นพูดตัดบทขึ้นมาว่า “ข้าไม่รังเกียจท่านพี่หรอกเจ้าค่ะ! ตอนเด็กๆ พวกเราก็นอนด้วยกันไม่ใช่หรือ? หรือว่าท่านพี่ไม่คิดจะให้อภัยข้าแล้ว? ข้าสำนึกผิดแล้ว ท่านพี่อย่าได้โกรธข้าเลยนะเจ้าคะ”
ซือคงเย่กล่าวว่า “อาอวี้ เจ้าเป็นพี่ อย่าได้คิดเคียดแค้นน้องเลย นางสำนึกผิดแล้ว”
อวี๋หวั่นจับแขนของสตรีศักดิ์สิทธิ์ “ใช่แล้วท่านพี่ ข้าสำนึกผิดแล้ว ได้โปรด ให้ข้านอนห้องเดียวกับท่านเถิด! ข้ารับปากว่าตอนกลางคืนจะไม่เสียงดังรบกวนท่าน!”
สตรีศักดิ์สิทธิ์คิดอยากปฏิเสธ ทว่าซือคงเย่กลับคล้อยตามเหลนคนเล็กไปเสียแล้ว จึงให้คนยกของของอวี๋หวั่นเข้าไปในห้องของนาง
……………..