สตรีศักดิ์สิทธิ์เป็นทูตสวรรค์ ทั่วทั้งหมิงตูเป็นสิ่งที่อยู่ต่างชนชั้นอย่างสิ้นเชิง แต่ด้วยความแข็งแกร่งของซือคงเย่ จึงไม่ได้เห็นทูตสวรรค์คนนี้อยู่ในสายตา
เมื่อได้ยินว่าคนที่ทำร้ายเหลนของเขาคือสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งหมิงตู ซือคงเย่ไม่แม้แต่จะยกเปลือกตา กลับทำเสียงฮึดฮัดอย่างดูถูก
สตรีศักดิ์สิทธิ์เข้าใจได้ว่าการฮึดฮัดเช่นนี้มาได้อย่างไร ไม่มีอะไรมากไปกว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่ใครๆ ต่างอิจฉา แต่ในสายตาของปรมาจารย์เป็นเพียงมดตัวน้อยที่บี้จนตายได้ด้วยมือข้างเดียว หากไม่เป็นเช่นนั้น เหตุใดนางถึงมีคุณสมบัติเข้าไปยังเขาหมิงซาน แต่กลับไม่เคยซุกซนจุ้นจ้านในหมิงซาน เอาแต่ตัดใจอยู่ในวิหารของตนเอง? คิดว่านางขี้เกียจ ไม่อยากเดินจริงหรือ?
“เหตุใดนางถึงทำร้ายเจ้า?” ซือคงเย่ถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
สตรีศักดิ์สิทธิ์กล่าวว่า “แม่ของนางแย่งของของข้าไป ข้าไปขอพวกเขาถึงประตู แต่กลับถูกนางทำร้ายจนบาดเจ็บ”
เหตุการณ์นี้ไม่ใช่เรื่องที่สตรีศักดิ์สิทธิ์แต่งขึ้น ยามแรกที่อวี๋หวั่นเข้ามาในหมิงตู ก็ถูกหลานเจียวแย่งราชันสัตว์พิษไป อวี๋หวั่นก็ไปขอมันถึงที่ ‘นาง’ แน่นอนว่าก็เป็นผู้ได้รับบาดเจ็บในคืนนั้น
ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวก็คือ ยามที่นางได้รับบาดเจ็บ นางเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ ทว่ายามนี้นางกลายเป็น ‘หลานอวี้’ แล้ว แต่ปรมาจารย์ไม่มีทางรู้เรื่องเหล่านี้ ปรมาจารย์จะรู้เพียงว่าตนถูกสตรีตัวเหม็นนั่นทำร้าย
ซือคงเย่ขมวดคิ้วและกล่าวว่า “เจ้าไม่มีแม้แต่องครักษ์หรือ? วรยุทธ์อ่อนด้อยเช่นนั้นก็ทำร้ายเจ้าได้หรือ?”
ดีร้ายอย่างไรตนก็ยังเป็นหนึ่งในห้ายอดฝีมือของหมิงตู แต่กลับกลายเป็นคนที่มีวรยุทธ์อ่อนด้อยสำหรับปรมาจารย์ สตรีศักดิ์สิทธิ์ก็สูดหายใจระงับความอยากกระอักเลือดและเอ่ยอย่างแผ่วเบา “ครอบครัวลำบากยากจน ไม่อาจเชิญองครักษ์มาได้ เงินค่าเดินทางมาหมิงตูยังต้องขอยืมจากคนในหมู่บ้าน”
เลือดเนื้อของเขามีชีวิตที่ยากลำบากระเหเร่ร่อนอยู่ในหมู่ผู้คน ยิ่งทำให้ปรมาจารย์ท่านนี้รักทะนุถนอมมากขึ้นไม่ใช่หรือ?
แน่นอน หลังจากฟังคำพูดของสตรีศักดิ์สิทธิ์ ซือคงเย่ก็จับแขนของสตรีศักดิ์สิทธิ์แน่นขึ้น “ในครอบครัวยังมีใครอีก?”
“ไม่มีแล้ว แค่ข้าคนเดียว” สตรีศักดิ์สิทธิ์สะอื้น
ซือคงเย่อุ้มสตรีศักดิ์สิทธิ์กลับไปที่วิหารเจาหยาง
เหล่าศิษย์ในวิหารมองปรมาจารย์ของพวกเขาที่คล้ายกับเทพเซียน กลับมาพร้อมกับสตรีผู้หนึ่ง ทุกคนต่างตกใจไม่น้อย
หลังจากซือคงเย่เข้าไปในห้อง เหล่าลูกศิษย์ก็เริ่มฮือฮา
“สตรีผู้นั้นเป็นใครน่ะ?”
“คนที่ถูกปรมาจารย์พากลับมาเมื่อคืนนี้กระมัง? เมื่อคืนปรมาจารย์ก็อุ้มนางกลับมาแบบนี้…”
“คงไม่ใช่ว่าปรมาจารย์อายุถึงเพียงนี้ ในที่สุดต้นปรงสาคูก็ออกดอกเบ่งบาน โปรดปรานแม่นางน้อยกระมัง?”
ซือคงเย่เพียงแต่สั่งให้ลูกศิษย์รับใช้แม่นางที่เขาพากลับมา ไม่ได้บอกเรื่องตัวตนของนาง จึงไม่มีใครคาดเดาว่านางเป็นเหลนของเขา เพียงรู้สึกว่าสตรีผู้นี้โชคดีนัก วันหน้าเกรงว่าจะเป็นปรมาจารย์แม่ของพวกเขาแล้ว
“ในที่สุดวิหารเจาหยางก็มีนายหญิงแล้วหรือ?”
“ชู่! เงียบหน่อย! อย่าให้ปรมาจารย์ได้ยิน! แยกย้ายกันเถอะ เรื่องของปรมาจารย์ไม่ใช่สิ่งที่เราคาดเดาได้ เราควรตั้งใจทำในส่วนของเราให้ดี และพยายามภักดีต่อปรมาจารย์อย่างดีที่สุด!”
เหล่าศิษย์ก็แยกย้ายกันไป
ซือคงเย่พาสตรีศักดิ์สิทธิ์กลับไปที่ห้องของนางเอง ข้อเท้าของนางแพลงค่อนข้างรุนแรง ทั้งข้อเท้าและหลังเท้าต่างก็บวมไปหมด ซือคงเย่ใช้กำลังภายในสลายเลือดคั่งให้นาง เกือบในพริบตาเท้าของนางก็กลับคืนมาเหมือนก่อน
“ลุกขึ้นเดินสองก้าว” ซือคงเย่กล่าว
“อือ!” สตรีศักดิ์สิทธิ์ลุกขึ้นเดินอย่างเฉลียวฉลาด ไม่เจ็บแล้วจริงๆ ด้วย!
จ๊อก~
ท้องสตรีศักดิ์สิทธิ์ร้อง
ตอนเช้าดื่มแค่น้ำแกงโสมไก่หนึ่งชาม ออกไปข้างนอกและได้รับบาดเจ็บอีกครั้ง เลี่ยงไม่ได้ที่จะหิวในยามนี้
“กินข้าวก่อนสิ” ซือคงเย่กล่าว
นัยยะนอกเหนือคำพูด คือกินแล้วค่อยแก้แค้นทีหลัง
สตรีศักดิ์สิทธิ์ไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธ พยักหน้าทำตัวเชื่อฟัง “ฟังท่านหมดเลย”
ซือคงเย่ให้เหล่าศิษย์จัดอาหาร เขาไม่กิน แต่กลับนั่งดูสตรีศักดิ์สิทธิ์กินอยู่ตรงนั่น
สตรีศักดิ์สิทธิ์กินช้าๆ เขาขมวดคิ้ว สตรีศักดิ์สิทธิ์คีบมาอีกสองสามคำ คิ้วของเขาเหยียดออก
สตรีศักดิ์สิทธิ์รู้สึกว่าตนเป็นที่รักอย่างลึกซึ้ง นางเกิดมาเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในสกุลหลาน และนับว่าถูกเลี้ยงดูมาอย่างทะนุถนอม แต่ถูกเลี้ยงดูจากคนธรรดา กับถูกเลี้ยงดูจากผู้แข็งแกร่งที่เก่งกาจที่สุดในหมิงตู ความหมายต่างกันสิ้นเชิง
ปรมาจารย์ซือคงเป็นผู้ที่สามารถประมือกับเทพเจ้าแห่งความมืดที่ร่ำลือกัน หากตอนแรกไม่ได้เกิดเรื่องกับสตรีศักดิ์สิทธิ์หลานอี เขาก็อาจเป็นเจ้าแห่งความมืดตัวจริง
สตรีศักดิ์สิทธิ์อดไม่ได้ที่จะอิจฉาอวี๋หวั่นอีกครั้ง สตรีนั่นโชคดีอย่างไรถึงเพียงนี้ ไยเรื่องดีๆ ในโลกถึงเป็นของนางเสียหมด? ไม่มีใครรู้ดีไปกว่านางว่าปรมาจารย์ซือคงไม่เห็นใจคนอื่นเพียงใด แต่ด้วยเหตุนี้ ความรักใคร่เอ็นดูของเขาจึงกลายเป็นเรื่องน่าชื่นชมยินดีอย่างยิ่ง ยิ่งไม่ต้องพูด เขาไม่ดูแก่เลยสักนิด แม้ศีรษะจะเต็มไปด้วยผมหงอกสีเงิน แต่กลับสุดยอดไร้เทียมทาน ราวกับเทพเจ้าเก้าสวรรค์
สตรีศักดิ์สิทธิ์ไม่สามารถคิดเรื่องนี้ต่อไปได้อีก ยิ่งคิดถึงมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งอิจฉาสตรีตัวเหม็นนั่นมากขึ้นเท่านั้น
“อิ่มแล้ว” สตรีศักดิ์สิทธิ์กล่าว
ซือคงเย่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ราวกับไม่พอใจในความอยากอาหารอันน้อยนิดของนาง
ในสายตาของคนนอก สตรีศักดิ์สิทธิ์อาจเป็นสตรีที่แต่งงานแล้ว แต่ในสายตาของซือคงเย่ นางยังเป็นเพียงเด็กหญิงตัวเล็กๆ เด็กหญิงกินน้อยไม่ดีนัก
ซือคงเย่ผลักชามข้าวตรงหน้าเขาไปที่สตรีศักดิ์สิทธิ์ “กิน”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ที่ปกติกินไม่เยอะสะดุ้งตกใจ “หือ?”
บุตรคนอื่นอ้วนกลม เด็กของเขากลับซูบผอม มองแวบแรกคือเด็กที่ไม่ได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างดี ซือคงเย่เป็นผู้ใหญ่ที่มีความสามารถ เขาจะไม่ยอมให้เหลนอดอาหารเป็นลิงผอม
“กินซะ” ซือคงเย่กล่าวอย่างไร้ช่องว่างให้เอ่ยแทรก
เพื่อรับบทเป็นเหลนสาวแสนดีที่ต้องทนทุกข์ทรมาน อยู่อย่างไม่เลือกกิน นางจึงกินข้าวในชามจนหมด ต้องรู้ว่า ยามที่นางยังเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ อาหารสามมื้อของนางรวมกันยังไม่ถึงหนึ่งชาม
นางกินเยอะเกินไปหน่อย “ปรมาจารย์ ข้า…”
“กินเถอะ อย่าให้ข้าต้องพูดเป็นครั้งที่สาม!” เขาเป็นผู้ใหญ่ที่รักบุตรหลาน แต่จะไม่มีวันยอมให้บุตรหลานเลือกกิน!
สตรีศักดิ์สิทธิ์ฝืนใจหยิบชามข้าวขึ้นมาและกินสุดชีวิต
ซือคงเย่พบว่านางไม่กินกับข้าว กลับกินแต่ข้าวเท่านั้น มิน่าถึงโตมาไม่แข็งแรง
ซือคงเย่คีบหมูตุ๋นติดมันที่มันเยิ้มให้นางสองสามคำ
สตรีศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นมังสวิรัติเห็นเนื้อติดมันชิ้นใหญ่เด้งดึ๋งดั๋ง ในใจของนางก็อยากตาย!
ซือคงเย่คีบเนื้อติดมันให้นางไม่พอ ยังคีบขาไก่ชิ้นใหญ่อีกสองชิ้นให้ สตรีศักดิ์สิทธิ์กินจนดวงตาแทบเหลือกเป็นสีขาว
เมื่อเห็นว่านางกินของแค่นี้ก็อิ่มแน่นจนกินไม่ลง เห็นได้ว่าเมื่อก่อนมีชีวิตที่ยากลำบากเพียงใด ปล่อยท้องหิวจนหดเล็กแล้วมิใช่หรือ? ซือคงเย่ยิ่งมีใจมุ่งมั่น หมายจะเลี้ยงเด็กน้อยของเขาให้ดีและแข็งแรง
หลังมื้ออาหาร ชีวิตครึ่งหนึ่งของสตรีศักดิ์สิทธิ์ก็หายไป
หากมีอีกสองสามมื้อ นางรู้สึกว่าตนอาจถูกเลี้ยงดูจนอิ่มตายอยู่ที่นี่
“ปะ…ปรมาจารย์ พวกเราควร…”
ควรไปล้างแค้น ‘สตรีศักดิ์สิทธิ์’ หรือยัง?
ซือคงเย่เข้าใจว่านางหมายถึงอะไร แต่เขาก็ไม่ได้สงสัยอะไรในความรีบร้อนของนาง ถูกรังแกมา ก็ควรตอบโต้ นี่เป็นสัจธรรมที่แน่นอน ตอนแรกเขาก็วางแผนเช่นนี้ ทว่ายามนี้เขามีสิ่งสำคัญกว่าที่ต้องทำ
เขาเรียกลูกศิษย์วิหารเจาหยางมา และถามว่าพวกเขาควรเลี้ยงดูเด็กอย่างไร ยามแรกที่เขาเป็นคุณชายของสกุลซือคง เขาเคยพบเจอเด็กๆ มาไม่น้อย เพียงแต่เคยพบเจอเป็นเรื่องหนึ่ง ตนมาเลี้ยงดูเองก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เหล่าศิษย์ตกตะลึง หลายร้อยปีปรมาจารย์ไม่เคยเรียกพวกเขามาประชุม ครั้นเชิญมากลับถามว่าพวกเขาเลี้ยงดูบุตรอย่างไร?!
“แม้ว่าศิษย์จะไม่เคยให้กำเนิดเลี้ยงดูบุตร แต่ในครอบครัวของศิษย์ก็มีน้องชายคนเล็ก…”
เป็นศิษย์ที่ชื่อจิงหงผู้นั้น ที่เล่าประสบการณ์การเลี้ยงดูของบิดามารดาเป็นต่อยหอย มันไม่มีอะไรมากไปกว่ากินดี ดื่มดี มีเสื้อผ้าดีและนอนหลับสบาย
ซือคงเย่ขมวดคิ้วแน่น ในวิหารเจาหยางไม่มีสตรี แม้แต่เสื้อผ้าเหลนของเขาก็ไม่มีให้เปลี่ยนด้วยซ้ำ
ตอนนี้ ซือคงเย่พาสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่กินจนจุกแน่นชีวิตหายไปครึ่งหนึ่งออกจากหมิงซาน ไปซื้อของที่ตลาด
สตรีศักดิ์สิทธิ์ทรุดตัวลงบนรถม้า ไม่ต้องการเคลื่อนไหวขยับตัว
นางกำลังจะตายจริงๆ ท้องของนางกำลังจะแตก!
“ถังหูลู่จ้า—— ถังหูลู่——”
ข้างถนน พ่อค้าหาบเร่ขายถังหูลู่คนหนึ่งผ่านมา ซือคงเย่เห็นป้าคนหนึ่งจูงเด็กหญิงวัยเจ็ดขวบเดินไป ป้าซื้อถังหูลู่หนึ่งไม้ให้เด็กหญิงตัวน้อย ซือคงเย่พยักหน้าเรียนรู้ กระโดดออกจากรถม้า และซื้อถังหูลู่มาให้เด็กน้อยของตนหนึ่งไม้เช่นกัน
ขณะที่เขากำลังหันตัวกลับขึ้นรถม้าพร้อมกับถังหูลู่ ก็เหลือบไปเห็นเงาร่างเล็กอ้วนท้วมข้างแผงลอย
มองด้านข้าง เป็นสตรีที่อายุไล่เลี่ยกับเด็กน้อยของเขา ตรงหน้านางมีชามทังหยวนอยู่หลายชาม สี่ชามถูกกวาดจนเรียบแล้ว นางกำลังกินชามที่ห้า ไม่นาน เจ้าของแผงลอยก็นำเนื้อย่างไม้ถาดใหญ่มาให้นาง
นางกัดเนื้อย่างรสเค็มคำหนึ่ง ทังหยวนหวานคำหนึ่ง กินจนน้ำลายสอ~
ซือคงเย่อิจฉายิ่งนัก ดูสิ นี่เป็นบุตรหลานคนอื่น
หากเด็กน้อยของเขาสามารถเลี้ยงดูให้อวบอ้วนขาวนวลเช่นนี้ได้คงดียิ่งนัก
ขณะที่คิดเช่นนี้ หญิงอ้วนตัวน้อยก็กล่าวว่า “เอาทังหยวนมาอีกชาม!”
สตรีศักดิ์สิทธิ์บนรถม้าได้ยินน้ำเสียงที่คุ้นเคยนี้ พลันหยัดกายลุกขึ้นนั่ง!
นางเปิดม่านมองออกไป
จากมุมนี้นางเห็นเพียงด้านหลังของอีกฝ่าย แต่อยู่ด้วยกันนานสิบกว่าวันไม่เปล่าประโยชน์ นางจำได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครแทบในวินาทีแรกที่เห็น
ช่างเป็นการย่ำรองเท้าเหล็กจนสึกไม่พบพาน ยามได้มากลับไม่เสียเวลาเลย
สตรีศักดิ์สิทธิ์ผุดยิ้มเยือกเย็น “เจ้าว่าเจ้ารออยู่ที่จวนซือคงอย่างเชื่อฟังไม่ดีหรือ? อย่างน้อยก็ยังมีชีวิตอีกวันสองวัน เจ้ากลับส่งตัวเข้าปากเสือเสียเอง อย่าหาว่าข้าไม่ไว้หน้าเจ้าแล้วกัน!”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ออกจากรถม้า เดินมาด้านหลังอวี๋หวั่นและตบไหล่อวี๋หวั่นเบาๆ
นางเพียงแค่รอให้อวี๋หวั่นหันกลับมา แล้วก็ตะโกนบอกปรมาจารย์ว่านี่คือฆาตกรที่ทำร้ายตน
ไหนเลยไม่ทันที่นางได้เอ่ยปาก อวี๋หวั่นเหวี่ยงตัวเข้าไปในอ้อมแขนของนาง “ท่านพี่——ข้าตามหาท่านยากลำบากเลย——”
……………………