อวี๋หวั่นลอบถอนหายใจ สมแล้วที่เป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ นางสามารถคิดแผนการและการแสดงที่สมบทบาทได้ภายในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน
อวี๋หวั่นก็คีบอาหารให้สตรีศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน กินเข้าไปสิ กินให้ท้องแตกไปเลย!
สตรีศักดิ์สิทธิ์กลับไม่ใช้วิธีกล้ำกลืนฝืนกินเข้าไปเฉกเช่นที่ทำเมื่อวาน แต่กลับหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมา ทำสีหน้าคล้ายกับกำลังกลั้นน้ำตา “ข้ากินไม่ลง น้องกินเองเถิด”
ซือคงเย่จึงเอ่ยถามว่า “เจ้าไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”
“เปล่าเจ้าค่ะ” สตรีศักดิ์สิทธิ์ส่ายหน้า แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงละอึกสะอื้นว่า “วันนี้เป็นวันครบรอบวันตายของท่านทวดหลานอี มะ…เมื่อ…เมื่อข้าคิดว่านางไม่อยู่แล้ว…ข้าก็…”
วันตายของท่านทวดหลานอีหรือ? ทำไมเธอไม่รู้ละ?
นางต้องโกหกอย่างแน่นอน!
อวี๋หวั่นจึงพูดว่า “ท่านพี่ ท่านจำผิดหรือเปล่าเจ้าคะ? วันนี้ไม่ใช่วันตายของท่านทวดนี่”
โกหก นางโกหก!
สตรีศักดิ์สิทธิ์น้ำตาไหลพราก “เจ้ากับข้าพลัดพรากจากกันนานหลายปี เรื่องในครอบครัวบางเรื่องเจ้าก็อาจไม่กระจ่างนัก วันนี้เป็นวันตายของท่านทวด ข้าไม่ได้จำผิดจริงๆ ”
อวี๋หวั่นอยากพูดอะไรอีก แต่ซือคงเย่วางตะเกียบลง แล้วลุกขึ้นยืนราวกับมีเรื่องในใจ “พวกเจ้ากินไปก่อน ข้าจะออกไปข้างนอกสักครู่”
ครบรอบวันตายหรือไม่นั้นไม่สำคัญ ที่สำคัญคือนางกระตุ้นความทรงจำที่ปรมาจารย์ซือคงมีต่อหลานอี หลังจากที่ปรมาจารย์ซือคงไม่อยู่ สตรีศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่จำเป็นต้องฝืนกินอาหารที่อวี๋หวั่นคีบให้อีกต่อไป
หลังจากที่ซือคงเย่ออกไปแล้ว นางก็วางตะเกียบในมือลง สีหน้าอันอ่อนโยนหายไปทันที
นางมองอวี๋หวั่นด้วยสีหน้าเรียบเฉย “อย่าคิดว่าบนโลกนี้มีเจ้าที่ฉลาดเพียงคนเดียวนะ”
อวี๋หวั่นกินเนื้อตุ๋นน้ำแดงมันเลื่อมแต่ไม่เลี่ยนเข้าไปหนึ่งคำ เธอยิ้มพร้อมกับกล่าวว่า “เจ้าฉลาดแล้วอย่างไร? เจ้า
สตรีศักดิ์สิทธิ์หัวเราะอย่างเย็นชา “สำบัดสำนวนนักรึ!”
อวี๋หวั่นพูดอย่างไม่รีบร้อนว่า “หลานจีเอ๋ย เจ้าอย่าคิดว่าตบตาปรมาจารย์ได้ครั้งหนึ่ง แล้วจะตบตาเขาได้ตลอดชีวิต อย่าโทษที่ข้าเตือนเจ้าเลย ใบหน้านี้ของเจ้าจะอยู่ได้อีกกี่วันกัน? ไม่รู้ว่าครั้งนี้เจ้าจะรับมือกับโทสะของท่านตาทวดได้อย่างไร?”
สตรีศักดิ์สิทธิ์กล่าวว่า “เจ้าเอาตัวเองให้รอดก่อนแล้วค่อยพูด!”
อวี๋หวั่นขยับเข้าไปใกล้นาง “หากเจ้าคิดจะฆ่าข้า คงไม่ง่ายถึงเพียงนั้น”
“หึ!” สตรีศักดิ์สิทธิ์กลอกตา แล้วลุกขึ้นเดินออกจากห้องไป
นางรู้อยู่แก่ใจว่าหากจะลงมือจริงๆ ย่อมมิใช่เรื่องง่าย กระนั้นถ้าหากไม่ชิงลงมือตอนนี้ เมื่อตัวตนถูกเปิดเผยออกไปจะยิ่งไม่มีโอกาส เพราะฉะนั้นต่อให้ฆ่าไม่ได้ก็ต้องฆ่า!
ไม่มีวี่แววของปรมาจารย์ซือคงตลอดทั้งวัน
หลังอาหารเย็น อวี๋หวั่นก็เดินเล่นอยู่ในสำนักเจาหยาง ซือคงเย่ให้อิสระสองพี่น้อง จะไปที่ใดก็ไม่มีผู้ใดเข้ามาห้าม
เธอเดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อยๆ จนถึงสุสานเก่าแห่งหนึ่ง สุสานขนาดใหญ่นี้แลดูคล้ายกับชามใบมหึมาวางคว่ำไว้ อวี๋หวั่นจึงเดินเข้าไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น เธอยกมือขึ้นแตะประตู ทันใดนั้นประตูก็เปิดออกพร้อมกับเสียงดังลั่น
ร่างของเธอพุ่งเข้าไปในสุสาน
ผนังของสุสานประดับประดาไปด้วยไข่มุกราตรีเม็ดใหญ่ กลางสุสานส่องแสงประกายรำไร
อวี๋หวั่นมองออกไปด้านนอก จากนั้นก็มองด้านใน ขณะที่กำลังลังเลอยู่ว่าจะออกไปจากที่นี่หรือเข้าไปดูด้านในดี เธอก็ได้ยินเสียงคล้ายกับคนกำลังร้องไห้ดังมาจากหลุมฝังศพ
“เหมือนเสียงของท่านตาทวดเลย…” อวี๋หวั่นกะพริบตาปริบๆ ด้วยความสงสัย จากนั้นจึงเดินเข้าไปด้านใน “ท่านตาทวด เป็นท่านหรือ?”
เสียงนั้นยังคงดังมาไม่หยุด จนอวี๋หวั่นมั่นใจแล้วว่าเป็นซือคงเย่
แม้ว่าสุสานเก่าแห่งนี้จะมืดทึบ ทว่าเป็นเพราะท่านตาทวดอยู่ข้างใน อวี๋หวั่นจึงกล้าเดินเข้าไปยังหลุมศพด้านในสุด
เธอเดินเข้าไปตามทางเดินที่ทอดยาว ไปยังห้องลับด้านในสุดของสุสาน
ซือคงเย่นอนขดหายใจรวยรินอยู่ที่พื้น มุมปากของเขามีเลือดไหล เหงื่อกาฬผุดขึ้นท่วมร่าง
“ท่านตาทวด!” อวี๋หวั่นหน้าถอดสีในทันใด เธอคุกเข่าลงกับพื้นเพื่อพยุงเขาขึ้นมา “ท่านตาทวด เป็นอะไรเจ้าคะ”
ซือคงเย่ยกมือขึ้นเช็ดเลือดมุมปาก แล้วตอบว่า “ข้าไม่เป็นไร…เจ้ามาได้อย่างไรกัน?”
“ท่านยังบอกว่าไม่เป็นไรอีกหรือเจ้าจะ? เป็นมากถึงขนาดนี้! ข้าเดินเล่นมาเรื่อยๆ จนมาถึงที่นี่…” อวี๋หวั่นจับ
ชีพจรของเขาประหลาดเหลือเกิน พลังปราณก็อ่อนลง จะไม่ให้เธอกังวลได้อย่างไร “ท่านตาทวดเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร”
ซือคงเย่หอบ พลางตอบว่า “เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง…ข้าไม่เป็นไร…หลายวันมานี้ข้าดีใจเหลือเกินที่ได้พบพวกเจ้า จนลืมไปว่าจะสิบห้า…”
อวี๋หวั่นขมวดคิ้ว “อะไรหรือเจ้าคะ ข้าไม่ค่อยเข้าใจ”
ซือคงเย่ตั้งสติ สองมือทำมุทรา เพื่อกดพลังปราณผิดปกติของตนไว้ แล้วพูดกับอวี๋หวั่นว่า “ข้าฝึกวิชาอายุวัฒนะเฉพาะของสกุลซือคง วิชานี้มีจุดอ่อนคือเมื่อใกล้คืนพระจันทร์เต็มดวง วรยุทธ์ก็จะอ่อนแอลงอย่างมาก และในคืนพระจันทร์เต็มดวง ข้าก็จะสูญเสียวรยุทธ์ไปโดยสิ้นเชิง”
อวี๋หวั่นเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจว่า “ในเมื่อมีจุดอ่อนที่น่ากลัวเช่นนี้ ไฉนจึงฝึกละเจ้าคะ? สกุลซือคงไม่มีวิชาอื่นแล้วหรือ?”
ซือคงเย่ตอบว่า “มี แน่นอนว่ามี วิชาที่ดีกว่าวิชาอายุวัฒนะนี้ก็มี”
“แล้วทำไม…”
“เพราะวิชาอายุวัฒนะมีเคล็ดลับในการเป็นอมตะ”
“เป็นอมตะ?” อวี๋หวั่นประหลาดใจ บนโลกนี้มีวิชาที่เก่งกาจขนาดนั้นเชียวหรือ? ไม่ได้โอ้อวดเกินจริงใช่ไหม?
ซือคงเย่มองไปยังเหลนของตนซึ่งมีสีหน้าเหลือเชื่อ เขายิ้มน้อยๆ แล้วกล่าวว่า “เจ้ารู้ว่าสกุลหลานเป็นทายาทของสตรีศักดิ์สิทธิ์ เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่เล่าว่าสกุลซือคงเป็นผู้สืบทอดของใคร?”
อวี๋หวั่นส่ายหน้า
ซือคงเย่ตอบว่า “บรรพบุรุษของสกุลซือคงคือเผ่าพ่อมด”
อวี๋หวั่นนัยน์ตาเป็นประกายวูบหนึ่ง “เผ่าพ่อมดของพ่อมดจริงๆ น่ะหรือเจ้าคะ?”
“มิผิด” ซือคงเย่คิดเพียงว่าอวี๋หวั่นยังเด็ก อยากรู้อยากเห็น เมื่อได้ยินเรื่องของบุคคลในตำนาน จึงรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา
อวี๋หวั่นพยายามระงับความตื่นเต้นในใจ ถ้าหากไม่ต้องเข้ามาพยุงท่านตาทวด เธอก็คงลุกขึ้นมากระโดดแล้ว ตัวยาของเยี่ยนจิ่วเฉาก็เหลือเพียงน้ำตาพ่อมด ถ้าหากสกุลซือคงเป็นผู้สืบทอดของพ่อมด เช่นนั้นก็สามารถระบุตำแหน่งของน้ำตาพ่อมดได้แล้วสิ?!
อวี๋หวั่นกะพริบตาปริบๆ มองไปยังซือคงเย่ “ท่านตาทวด ท่านเป็นพ่อมดหรือเปล่าเจ้าคะ?”
เมื่อถูกเหลนสาวของตนมองมาด้วยความคาดหวัง ซือคงเย่ก็อดไม่ได้ที่จะตอบไปว่า “เปล่า การสืบทอดของเผ่าพ่อมดนั้นไม่ได้ถ่ายทอดทางสายเลือดเหมือนกับของสตรีศักดิ์สิทธิ์ แม้ว่าสกุลซือคงจะเป็นทายาทของเผ่าพ่อมด แต่ไม่มีพ่อมดเหลืออยู่แล้ว” ซือคงเย่ไม่รู้ว่าอวี๋หวั่นต้องการน้ำตาของพ่อมด เพราะฉะนั้นจึงไม่ได้เอ่ยถึงพ่อมดมากนัก เพียงแต่เล่าต่อไปว่า “บรรพบุรุษทิ้งไว้เพียงวิชาอายุวัฒนะ ว่ากันว่าในนั้นมีเคล็ดลับในการเป็นอมตะ เมื่อยี่สิบห้าปีก่อนข้าฝึกฝนจนอยู่ในขั้นที่แปด แต่ผ่านไปยี่สิบปี ข้าก็ยังไม่อาจบรรลุขั้นที่เก้าได้ ข้าไม่รู้ว่าตนเองฝึกฝนขั้นไหนผิดไป เมื่อครู่กำลังทบทวนวิชาอายุวัฒนะ ทันใดนั้นพลังภายในก็แตกซ่าน พลังปราณย้อนกลับ ทำให้บาดเจ็บเช่นนี้”
“รุนแรงไหมเจ้าคะ?” อวี๋หวั่นมองตาเขาพลางเอ่ยถาม
ซือคงเย่มิได้สัมผัสถึงความรู้สึกห่วงใยจากใจเช่นนี้มาก่อน เขาเงยหน้ามองใบหน้าอ้วนจ้ำม่ำของเหลน “บาดเจ็บเล็กน้อยแค่นี้ไม่เป็นไรหรอก หลังจากวันพระจันทร์เต็มดวงผ่านไป ทวดก็หายเอง”
ทันใดนั้นอวี๋หวั่นก็นึกได้ว่าเผ่าปีศาจก็มีวิชาอายุวัฒนะ วิชาที่อ๋องแห่งเผ่าปีศาจฝึกก็คลับคล้ายคลับคลาว่าจะ
เป็นวิชาอายุวัฒนะ เยี่ยนจิ่วเฉาดูดซับวรยุทธ์ของอ๋องแห่งเผ่าปีศาจไป ไม่รู้ว่าร่างกายจะอ่อนแอผิดปกติในวันที่พระจันทร์เต็มดวงอย่างที่ท่านตาทวดเป็นหรือไม่?
พรุ่งนี้เป็นคือพระจันทร์เต็มดวง…
อวี๋หวั่นลูบคาง แล้วเอ่ยถามว่า “ท่านทวด ท่านอยากให้ข้าจ่ายยาบำรุงอาการบาดเจ็บหรือไม่เจ้าคะ?”
ซือคงเย่โบกมือ “ไม่ต้องหรอก นี่เป็นผลจากวิชาอายุวัฒนะ ยาบำรุงใช้ไม่ได้ผล เรื่องนี้เป็นความลับ แม้แต่ประมุขสกุลซือคงแต่ละรุ่นก็ไม่รู้ เจ้าต้องช่วยตาทวดเก็บเป็นความลับ”
อวี๋หวั่นยกมือขึ้นตบอก “ท่านตาทวดวางใจได้เจ้าค่ะ ข้าจะไม่พูด!”
เป็นถึงปรมาจารย์ที่คงกระพันฆ่าไม่ตาย แต่กลับมีจุดอ่อนถึงเพียงนี้ หากแพร่งพรายออกไป คงจะมีคนแห่กันมาตามมาล้างแค้นเขาอย่างแน่นอน
ในที่สุด อวี๋หวั่นก็เข้าใจแล้วว่าทำไมท่านตาทวดถึงลงมือสังหารคนแปลกหน้าทุกคนที่เข้ามาในเขาหมิงซาน เขาทำเช่นนี้ก็เพื่อป้องกันความผิดพลาด และประกาศศักดาของตนเพื่อข่มขู่คนภายนอก และเพื่อที่จะป้องกันคนบุกเข้ามาลอบสังหารในยามที่เขาอ่อนแอ
อวี๋หวั่นเบนสายตากลับมา แล้วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ท่านตาทวดเจ้าคะ เรื่องนี้ท่านอย่าบอกท่านพี่นะเจ้าคะ ท่านพี่ร่างกายอ่อนแอ สภาพจิตใจก็ไม่สู้ดีนัก ชอบคิดมาก หากรู้เรื่องนี้ นางจะเศร้าใจเอาได้”
“ได้” ซือคงเย่ชะงักไป แล้วตอบตกลง
ซือคงเย่ยังคงเก็บตัวอยู่ในสุสาน ส่วนอวี๋หวั่นกลับเรือนของตนไป
หลังจากที่อวี๋หวั่นออกมาได้ไม่นาน เงาสีขาวสายหนึ่งก็พุ่งออกมาจากด้านหลังของสุสาน
จะเป็นใครที่ไหนได้ หากไม่ใช่สตรีศักดิ์สิทธิ์
สตรีศักดิ์สิทธิ์เหลือบไปมองยังสุสานอันมืดมิด มุมปากของนางยกขึ้นอย่างได้ใจ “ผู้ที่มีพลังล้นฟ้าอย่างซือคงเย่ กลับมีจุดอ่อนถึงตาย…เยี่ยนจิ่วเฉาก็เช่นกัน เรื่องนี้ง่ายกว่าที่คิด…ข้ายังกลัวเสียอีกว่าจะถูกพวกเจ้ามองออก…แต่พวกเจ้า เห็นทีจะไม่มีโอกาสนั้นแล้ว”
นางเด็กตัวเหม็นนั่นคิดว่าตนเองโชคดีอย่างนั้นหรือ? รอนางจัดการปรมาจารย์กับเยี่ยนจิ่วเฉาเสียก่อน ดูสิว่าจะมีใครให้ท้ายนางเด็กนั่นอีก!
……………………….