หลังจากที่ซิวหลัวฟันน้ำนมระเบิดราชาซิวหลัวแล้ว เขาก็กลับมายังตรอกเส้นเดิมซึ่งก่อนหน้านี้ถูกราชาซิวหลัวระดับห้าขวางเอาไว้ เขากระโดดเข้าไปยังเรือนโกโรโกโสหลังหนึ่ง เปิดประตูตู้ แล้วช่วยเยี่ยนจิ่วเฉาซึ่งซ่อนอยู่ด้านในออกมา
เขาจิ้มนิ้วทั้งสองข้างเข้าหากัน ไม่รู้ว่าควรไปที่ใดดี
เยี่ยนจิ่วเฉาค่อยๆ ลืมตาขึ้น แล้วพูดอย่างอ่อนแรงว่า “ไปหาอิ่งสือซัน”
ซิวหลัวฟันน้ำนมแบกเยี่ยนจิ่วเฉาขึ้นหลัง ขณะที่กำลังจะใช้วิชาตัวเบาเหาะกลับไปยังคฤหาสน์ ก็เห็นอิ่งลิ่วกำลังรีบร้อนตามมา
เดิมทีอิ่งลิ่วก็ไม่รู้ว่าคุณชายของตนกับซิวหลัวอยู่ที่ใด แต่เมื่อได้ยินเสียงระเบิดดังลั่นจึงรีบตามมา เขาไม่มั่นใจว่าเป็นคุณชาย คิดเพียงหวังพึ่งโชค ไหนเลยจะรู้ว่ากลับพบคุณชายเข้าจริงๆ
“คุณชาย!” นัยน์ตาของเขาสว่างวาบ สาวเท้าเข้าไปทันที
เยี่ยนจิ่วเฉามองเขา “อิ่งสือซันเล่า?”
อิ่งสือซันกำลังจะสิ้นใจ ทว่าจิตใจยังคงพะวงถึงแต่คุณชาย เขาไม่คิดว่าแม้คุณชายจะบาดเจ็บหนักถึงเพียงนี้ แต่คนแรกที่นึกถึงก็ยังเป็นอิ่งสือซัน ใจหนึ่งอิ่งลิ่วก็รู้สึกซาบซึ้งกับมิตรภาพของพวกเขาทั้งสอง อีกใจหนึ่งก็รู้สึกริษยา ไม่รู้ว่าทำไม
อิ่งลิ่วกล่าวว่า “ตอนนี้คฤหาสน์ปลอดภัยขอรับ ข้าปล่อยเขาไว้ที่นั่น เพียงแต่ว่า…อาการของเขาไม่สู้ดีนัก…”
เยี่ยนจิ่วเฉาฝืนทนความเจ็บปวดของร่างกายและจุดตันเถียน จากนั้นก็หยิบยาออกมาจากอกเสื้อ “นำไปป้อนให้เขา”
“นี่คืออะไรหรือขอรับ?” อิ่งลิ่วรับขวดยามา แล้วเปิดดู ข้างในเป็นยาเม็ดสีดำ
“ยาบำรุงของสกุลซือคง” สภาพของเยี่ยนจิ่วเฉาเองก็ร่อแร่เหลือทน แม้แต่เปล่งคำพูดยังต้องใช้แรง จึงไม่ได้อธิบายให้มากความ
แต่ต่อให้เขาไม่พูด อิ่งลิ่วก็เดาได้ ด้วยนิสัยของคุณชายแล้ว ยาบำรุงอะไรเทือกนี้ไม่อยู่ในสายตาของเขาแม้แต่น้อย แต่เมื่อคุณชายพกติดตัวไว้เช่นนี้ ย่อมต้องเป็นยาดี
เห็นได้ชัดว่าคุณชายสูญเสียความทรงจำ คิดว่าตนเองเป็นอ๋องแห่งเผ่าปีศาจ ด้วยความจำเป็นต้องทำตามแผน เขาจึงตกลงว่าจะปลอมตัวเป็นคุณชายของพวกเขาก็เท่านั้น แต่ในยามคับขัน คุณชายกลับมอบยาเม็ดสุดท้ายให้กับอิ่งสือซัน
อิ่งลิ่วซาบซึ้งจนแทบร้องไห้ออกมา…
ประเสริฐเหลือเกิน ช่างเป็นคุณชายที่ประเสริฐเหลือเกิน…
พวกเขาต้อง…
อิ่งลิ่วยังไม่ทันพูดจบ เยี่ยนจิ่วเฉาหยิบขวดยาออกมาจากแขนเสื้ออีกเจ็ดแปดขวด
“…” อิ่งลิ่วนิ่งไปทันใด!
ราชาซิวหลัวระดับห้าตายในหมิงตูติดต่อกันถึงสองคน เรื่องใหญ่เช่นนี้ย่อมไม่อาจปิดบังจากบรรดายอดฝีมือในหมิงตูได้ อีกทั้งสกุลซือคงตั้งอยู่ที่เชิงเขาหมิงซาน เมื่อเกิดเสียงดังกัมปนาทเช่นนั้น มีหรือประมุขสกุลซือคงจะไม่รู้?
ปรมาจารย์ฝึกวิชาอยู่บนเขาหมิงซานมานานหลายปี ใช่ว่าจะไม่เคยประสบกับเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน แต่กลิ่นอายนี้คล้ายกับว่าจะไม่ได้มาจากปรมาจารย์
มีคนบุกรุกเข้ามาในเขาหมิงซานอย่างนั้นหรือ?
แม้ว่าประมุขสกุลซือคงจะเชื่อมั่นในวรยุทธ์ของปรมาจารย์ของพวกตน ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบเหตุการณ์ เขายังสัมผัสถึงพลังและกลิ่นอายของปรมาจารย์ไม่ได้เลย เป็นเพราะอะไรกัน หรือว่าท่านปรมาจารย์จะกำลังประสบกับสถานการณ์ที่เลวร้าย?
สีหน้าของประมุขสกุลซือคงแลดูเคร่งเครียดขึ้นมา
“ท่านพ่อ” ซือคงฉางเฟิงเดินเข้ามาคำนับด้วยท่าทางห่างเหิน
ประมุขสกุลซือคงกังวลกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น จึงไม่ได้สังเกตเห็นท่าทางของบุตรชาย “เจ้าคงได้ยินการเคลื่อนไหวที่เขาหมิงซานใช่ไหม?”
ไม่เพียงได้ยิน ทว่าเขาเห็นกับตา ราชันหมื่นสัตว์พิษระเบิดขวดหยก และพาเสี่ยวฮวาไปยังเขาหมิงซาน สัญชาตญาณบอกกับเขาว่าเกิดเรื่องกับปรมาจารย์แล้ว ขณะที่เขากำลังจะออกไปดูเหตุการณ์ที่เขาหมิงซาน ก็ถูกท่านพ่อเรียกเข้ามาในห้องเสียก่อน
“ได้ยินแล้วขอรับ ท่านพ่อ” เขาตอบ
ประมุขสกุลซือคงกล่าวว่า “เจ้าคงรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น มีคนบุกเข้ามาในเขาหมิงซานหรือเปล่า? ท่านปรมาจารย์เขา…”
แม้ว่าซือคงฉางเฟิงจะสามารถเข้าออกหมิงซานได้อย่างอิสระ ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยบอกเรื่องเกี่ยวกับเขาหมิงซานให้คนนอกรู้ เพราะฉะนั้นต่อให้บิดาบังเกิดเกล้าของเขาถาม เขาก็ทำได้เพียงตอบว่า “ลูกไม่รู้”
ประมุขสกุลซือคงกระจ่างดีว่าบุตรชายปิดปากเงียบ ไม่มีทางบอกมาแม้แต่ประโยคเดียว จึงบอกไปอย่างไม่จนปัญญาว่า “เจ้าไปดูสักหน่อย” จากนั้นจึงให้เขาออกไป
เมื่อซือคงฉางเฟิงรุดไปยังสุสานบนเขาหมิงซาน ราชาซิวหลัวระดับห้าขั้นสูงก็ตายด้วยน้ำมือของสัตว์พิษตัวน้อยเสียแล้ว มันคิดจะกัดซิวหลัวซ้ำ แต่อวี๋หวั่นเข้ามาห้ามได้ทันเวลา
อวี๋หวั่นบอกว่า “เขาเป็นซิวหลัว วรยุทธ์ที่ใช้ต้องเทียบเท่าของซิวหลัว”
เมื่อรู้เช่นนั้น สัตว์พิษตัวน้อยจึงปัดมือเล็กๆ ของตน แล้วกระโดดขึ้นไปบนหลังของราชันหมื่นสัตว์พิษ
ราชันหมื่นสัตว์พิษอยู่ในสภาวะเข้าฌานเป็นที่เรียบร้อย มันนอนอยู่บนพื้นเย็นยะเยือก คอยอารักขาซือคงเย่ซึ่งกำลังหายใจรวยริน
พลังภายในของซือคงเย่หมดสิ้นไปตั้งแต่หลังจากที่ถูกราชาซิวหลัวระดับห้าทำร้าย ชีวิตของเขาใกล้จุดจบเต็มที ลมหายใจของเขาแผ่วเบา
“ท่านตาทวดเจ้าคะ!” อวี๋หวั่นกระวีกระวาดเข้ามา เธอพยุงซือคงเย่ขึ้นมา เพื่อให้เขานั่งพิงกำแพงห้องลับ
อวี๋หวั่นจำได้ว่าตนเองระวังมากแล้ว หลังจากออกมาจากสุสาน ก็ไม่ได้ปริปากบอกใครเรื่องจุดอ่อนของท่านตาทวดแม้แต่น้อย ไหนเลยจะรู้ว่ากลับถูกคนฉวยโอกาสเสียอย่างนั้น!
ซือคงเย่อาการไม่สู้ดีนัก ใบหน้าของเขาแลดูซีดเซียว อวี๋หวั่นจับชีพจรของเขา และพบว่าชีพจรของเขายุ่งเหยิงไปหมด มุมปากของเขามีเลือดไหลออกมาเรื่อยๆ
“ท่านตาทวดอดทนไว้ก่อนนะเจ้าคะ…ข้ามียา…เป็นยาของเยี่ยนจิ่วเฉา…เป็นยาบำรุงที่ดีที่สุดของสกุลซือคง…
สามารถฟื้นคืนชีพได้…” ยาชนิดนี้ดีกว่ายาที่ท่านยายทวดทำไว้ครั้นอาศัยอยู่ด้านล่างหน้าผาเสียอีก ดังนั้นเยี่ยนจิ่วเฉาจึงไม่เพียงเก็บไว้กับตนเองจำนวนมาก แต่ยังให้อวี๋หวั่นพกติดตัวไว้อีก
อวี๋หวั่นหยิบยาออกมาทั้งขวด “ท่านตาทวดดูสิเจ้าคะ! ยามากมายถึงเพียงนี้! ท่านจะต้องไม่เป็นไร!”
อวี๋หวั่นหยิบขวดยา ดึงจุกยาออกมา แล้วเทยาเม็ดออกมา
ซือคงเย่ยิ้มน้อยๆ พลางส่ายหน้า แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงว่า “ไม่มีประโยชน์หรอก…ยาพวกนี้…รักษาข้าไม่ได้หรอก…”
อวี๋หวั่นกระวนกระวายใจ “ไม่สิเจ้าคะ ลองก่อนเจ้าค่ะ!”
ซือคงเย่ยกมือขึ้นมาแตะมืออวี๋หวั่นที่กำลังจะป้อนยาเขา แล้วบอกว่า “พลังระดับข้า ยาเหล่านี้…ไม่มีประโยชน์แล้ว…”
เขาไม่ได้กล่าวเช่นนี้เพียงเพราะเกรงใจ นี่คือความจริง ด้วยฐานะและอำนาจของสกุลซือคง พวกเขาไม่มีความจำเป็นต้องใช้ยาอย่างกระเบียดกระเสียร เพียงแต่ว่าหลังจากที่ฝึกวิชาอายุวัฒนะไปจนถึงระดับแปดแล้ว ก็ไม่มียาชนิดใดในหมิงตูที่รักษาเขาได้แล้ว
“แต่ว่า…” อวี๋หวั่นยังไม่อยากละทิ้งความหวังสุดท้าย
ซือคงเย่มองเธอ “เจ้าฟังข้าพูดให้จบ”
อวี๋หวั่นรู้สึกจุกที่ลำคอ ขอบตาของเธอแดงก่ำ
เขายกมือขึ้นมาลูบศีรษะของอวี๋หวั่น “ทำให้เจ้าต้องลำบากใจแล้ว”
เรื่องดำเนินมาจนถึงตอนนี้ ยังมีสิ่งใดที่เขาไม่กระจ่างอีก? เด็กคนนี้พยายามต่อต้านสตรีศักดิ์สิทธิ์ แท้จริงแล้วก็เพื่อปกป้องเขา เขานั้นเบาปัญญาเหลือเกิน มองไม่ออกว่านางเป็นเหลนแท้ๆ เพียงคนเดียวของเขา
“ชีวิตนี้ข้าไม่เคยเสียใจกับสิ่งที่ทำ…ตอนนี้…ข้าเสียใจเหลือเกินที่ไม่ได้หนีไปพร้อมกับหลานอี…”
ถ้าหากเขาทำเช่นนั้น ย่อมต้องรู้ว่าหลานอีตั้งครรภ์
เขาอยากอยู่กับหลานอีในยามที่นางให้กำเนิดลูก อยากเลี้ยงลูกด้วยตนเอง
เขาอยากมองดูลูกแต่งงาน อยากสรรหาบุรุษที่ดีที่สุดในใต้หล้าให้นาง ถ้าหากบุรุษคนนั้นรังแกนาง เขาก็จะไปจัดการเอง!
แล้วก็ยังมีลูกของนาง ลูกของลูกของนาง…ที่เขาอยากจะปกป้อง…
“ตาทวดอยู่กับเจ้าไม่ได้แล้ว…” ซือคงเย่กระอักเลือดออกมา เขาหยิบตำราเล่มหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ “นี่คือตำราวิชาอายุวัฒนะฉบับสมบูรณ์…ด้านในเป็นสิ่งที่ข้ารวบรวมมาทั้งชีวิต…เจ้ารับไป…”
“ข้าไม่ได้อยากได้วิชาอายุวัฒนะ!” อวี๋หวั่นสะอึกสะอื้น
ซือคงเย่ยิ้มพลางยกมือขึ้นปาดน้ำตาของเธอ “อันที่จริงหลายวันมานี้…ข้าสัมผัสได้ว่าวันเวลาของข้ากำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว…แต่ข้าไม่อาจทำใจยอมรับได้…ข้าคิดว่า…ข้าอยากจะรอพบกับเจ้าเสียก่อน…ในตอนนี้…ข้าไม่มีสิ่งใดให้เสียใจอีกต่อไป…ข้าจะได้ไปอย่างสงบ…”
อวี๋หวั่นรู้สึกปวดร้าวในอก “ท่านตาทวด!”
ซือคงเย่นอนอยู่บนพื้นอย่างสงบ
น้ำตาของอวี๋หวั่นหยุดลงบนพื้นไม่หยุด “ท่านตาทวด…ท่านตาทวดเจ้าคะ! ท่านตา…”
ปัก!
เธอพูดยังไม่ทันจบ ร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งอุ้มของสีดำๆ สามชิ้นเข้ามาจากด้านนอกของสุสาน
แท้จริงแล้วเป็นอาเว่ยที่พาลูกศิษย์ไม่ได้ความทั้งสามหนีออกมาจากคฤหาสน์ หนีไปหนีมากลับหลงทาง และเข้ามาในเขาหมิงซาน จากนั้นก็จับพลัดจับผลูเข้ามาในสุสาน
อาเว่ยใช้ตนเองเป็นเบาะกันกระแทก
เด็กทั้งสามกระแทกลงบนตัวเขา จากนั้นก็กลิ้งกลุกๆ ลงบนพื้น
ซือคงเย่ลืมตาขึ้น นั่นอาจเป็นสิ่งที่เขาได้เป็นครั้งสุดท้าย
แต่ว่า…เขาเห็นอะไรนั่น?
เด็กสามคน ตัวอ้วนกลมจ้ำม่ำ?!
“เด็กๆ!” อวี๋หวั่นร้องเรียก
ดะ…เด็ก…เด็กเจ้าเนื้อน่ารักเหล่านี้คือ…ลูกๆ ของเหลนของเขาหรือ?
นัยน์ตาของซือคงเย่เบิกกว้าง…
เขาคว้ามือของอวี๋หวั่น แล้วพูดออกมาด้วยแรงเฮือกสุดท้ายว่า “ข้าคิดว่า…เจ้ายังช่วยข้าได้!”
……………….