ภาษิตโบราณกล่าวไว้ได้ถูกต้อง หากปราศจากเรื่องร้อนใจก็คงไม่ไปถึงวัด แม้ว่าสกุลซางและสกุลซือคงจะเกี่ยวดองกันผ่านการแต่งงาน แต่ก็มิใช่ว่าจะสามารถพาคนกลุ่มใหญ่เฮละโลกันไปถึงสกุลซางกันตามใจชอบ ดังนั้นเมื่อคืนวาน ประมุขสกุลซือคงจึงส่งจดหมายไปในนามของซือคงอวิ๋น ว่าคิดถึงท่านตากับท่านยาย และต้องการพาภรรยาที่เพิ่งแต่งเข้ามา ไปอวยพรผู้เฒ่าทั้งสอง
ประมุขสกุลซางรักและเอ็นดูหลานชายคนนี้เป็นทุนเดิม และตามใจเขาเสมอมา เมื่อได้ยินว่าเขาอยากมาหา จึงตอบรับในทันที
แต่ว่า…
ประมุขสกุลซือคงตามหาซือคงอวิ๋นและสตรีศักดิ์สิทธิ์ทั้งคืน แต่ก็ไม่พบแม้แต่เงาของทั้งสอง
เขามิได้กังวลว่าซือคงอวิ๋นจะได้รับอันตรายแต่อย่างใด เหตุผลประการแรกก็เพราะซือคงอวิ๋นเป็นถึงคุณชายรองของสกุลซือคง เป็นนายน้อยของสกุลซาง และเป็นบุตรเขยของสกุลหลาน ด้วยสถานะของเขาแล้ว เห็นทีคงไม่มีผู้ใดในหมิงตูกล้าลงมือกับเขา ส่วนเหตุผลประการที่สองน่ะหรือ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาหายไปเช่นนี้ บุตรชายคนเล็กไม่รู้ประสา ไม่เหมือนกับบุตรชายคนโต เขามักจะทำตัวเสเพลอยู่เป็นนิจ ออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกไม่กลับบ้านเป็นเรื่องปกติ เพียงแต่แต่งงานได้ไม่กี่วันก็ทำเช่นนี้แล้ว ออกจะมากไปหน่อยกระมัง
โชคดีที่สตรีศักดิ์สิทธิ์ก็หายไปด้วย ทั้งสองคงจะออกไปด้วยกัน
เมื่อมีสตรีศักดิ์สิทธิ์คอยควบคุม เขาก็ไม่กังวลว่าซือคงอวิ๋นจะออกไปทำสิ่งใดนอกลู่นอกทาง
เพียงแต่ว่า…
ส่งจดหมายไปบอกแล้วว่าทั้งสองจะไปเยี่ยม แต่เจ้าตัวกลับไม่อยู่ แล้วพวกเขาจะพาใครไปเล่า?
ขณะที่ประมุขสกุลซือคงกำลังปวดเศียรเวียนเกล้าอยู่นั้น เยี่ยนจิ่วเฉาและอวี๋หวั่นก็ปรากฏตัว
อวี๋หวั่นมือหนึ่งจูงมือเยี่ยนจิ่วเฉา อีกมือหนึ่งถือขนมกุ้ยฮวา กำลังกินอย่างเอร็ดอร่อย
วิชาปลอมตัวของสกุลหลานยังคงอยู่ เยี่ยนจิ่วเฉายังคงสวมใบหน้าของซือคงอวิ๋น และอวี๋หวั่นสวมหน้ากากหนังมนุษย์ชิ้นที่สอง และนั่นก็เป็นใบหน้าของเธอเอง
ประมุขสกุลซือคงมองไปยังบุตรชายซึ่งปรากฏตัวจนได้ แล้วลอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ทว่ายังถอนหายใจไม่ทันเสร็จ เขาก็พบว่าผู้ที่บุตรชายของเขาจูงมืออยู่นั้นไม่ใช่สตรีศักดิ์สิทธิ์
“จะ…เจ้า…” ประมุขสกุลซือคงมองไปยังบุตรชายคนเล็ก แล้วจึงมองไปยังอวี๋หวั่นซึ่งอยู่ด้านข้าง เขาตกใจจนพูดไม่ออก
ไม่น่าแปลกใจที่เขาจะตกใจถึงเพียงนี้ ครั้นอยู่ในวิหารเจาหยางเมื่อคืน เขาเห็นเพียงอวี๋หวั่น ทว่าไม่เห็นเยี่ยนจิ่วเฉา
“พวกเจ้า…”
ประมุขสกุลซือคงไม่เข้าใจว่าลูกชายของเขาจะมาปรากฏตัวที่วิหารเจาหยางได้อย่างไร และเหตุใดจึงมาพร้อมกับเหลนของท่านปรมาจารย์? ทั้งยังดูสนิทสนมกันเช่นนี้
เดี๋ยวก่อน
ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าสตรีตรงหน้านั้นคุ้นตาเหลือเกิน?
โดยเฉพาะท่าทางการกิน แก้มของนางป่องออกมาราวกับกระรอกอ้วนตัวหนึ่ง
เขานึกออกแล้ว!
นางก็คือสตรีศักดิ์สิทธิ์ ลูกสะใภ้ของเขาที่กินจนอ้วนท้วนคนนั้นนั่นเอง!!!
ในช่วงเวลาเพียงเสี้ยววินาที ในสมองของเขาก็ค้นพบคำตอบของเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้น ลูกชายและลูกสะใภ้ของเขาที่อยู่ที่นี่หลายวันมานี้เป็นตัวปลอม ส่วนชาวบ้านที่ก่อเรื่องในสกุลซือคงถึงจะเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์กับซือคงอวิ๋นตัวจริง
ที่เขาบอกว่าใบหน้าของอาหวั่นนั้นคุ้นตาเหลือเกิน ราวกับเคยพบที่ไหนมาก่อน เขาคิดว่านางเหมือนกับหลานอี ทว่าบัดนี้มาคิดดูแล้ว ผู้ที่มายังสกุลซือคง และบอกว่าตนเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่ใช่เด็กคนนี้หรอกหรือ?
ที่แท้ทั้งสองก็ปลอมตัวเป็นอีกฝ่าย
เขาจำลูกชายและลูกสะใภ้ตัวจริงไม่ได้ แต่กลับปล่อยให้ลูกชายและลูกสะใภ้ตัวปลอมอยู่ที่นี่ ผู้ที่ทำได้เช่นนี้มิใช่ใครอื่น นอกจากตัวเขาเอง
ประมุขสกุลซือคงกัดฟัน สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วบอกตนเองว่า เด็กคนนี้ก็เป็นญาติของตน เป็นเหลนของท่านปรมาจารย์ ในร่างของนางมีสายเลือดสกุลซือคง หากนับตามศักดิ์แล้วนางจะต้องเรียกเขาว่าท่านลุง…
นางเป็นหลาน ห้ามทำร้ายนาง ห้ามทำร้ายนาง…
ประมุขสกุลซือคงสะกดจิตตนเองจนแทบกระอักเลือด
เขากวาดสายตามองไปยังเยี่ยนจิ่วเฉา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นหลานเขยของตน ประมุขสกุลซือคงจึงเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “พวกเจ้านำตัวอวิ๋นเอ๋อร์กับสตรีศักดิ์สิทธิ์ไปไว้ที่ไหน”
อวี๋หวั่นตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “สตรีศักดิ์สิทธิ์ถูกพวกเราขังเอาไว้ ครั้งนี้นางเป็นคนลอบทำร้ายท่านปรมาจารย์ ส่วนลูกชายของท่าน พวกข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาอยู่ที่ไหน”
ประมุขสกุลซือคงขมวดคิ้ว
เขามิได้สงสัยว่าคำพูดของอวี๋หวั่นนั้นจริงหรือเท็จ เขาเพียงแต่ไม่คาดคิดว่าคนร้ายในการลอบสังหารท่านปรมาจารย์นั้นจะเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ นางทำเช่นนี้ทำไมกัน? นางเป็นคนสกุลซือคง นางสังหารท่านปรมาจารย์ไปจะมีประโยชน์อันใด? อีกอย่าง นางไปหามือสังหารมาจากไหน? ถ้าหากเขาเดาไม่ผิด กลิ่นอายที่เขาสัมผัสได้เมื่อคืนนั้นมาจากราชาซิวหลัวระดับห้าขั้นสูงคนหนึ่ง แต่เขาไม่ยักจะรู้ว่าสกุลหลานหรือวิหารสตรีศักดิ์สิทธิ์มียอดฝีมือที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้
อวี๋หวั่นพูดว่า “ท่านประมุขซือคง ให้พวกข้าไปสกุลซางก่อนเถิด เรื่องที่เกี่ยวข้องกับสตรีศักดิ์สิทธิ์และท่านตาทวด ไว้กลับมาแล้วข้าจะอธิบายให้ท่านฟัง ส่วนเรื่องของซือคงอวิ๋นนั้นคงต้องรอให้สตรีศักดิ์สิทธิ์ฟื้น แล้วค่อยถามนาง”
ประมุขซือคงพยักหน้าตอบรับ
“แต่ว่า” เขามองไปยังกลุ่มคนท่าทางขึงขังประหนึ่งเตรียมพร้อมออกศึกด้านหลังทั้งคู่ จากนั้นก็บอกว่า “พวกเจ้าเป็นตัวปลอมก็เสี่ยงมากพอแล้ว ไม่ควรพาคนไปมากถึงเพียงนี้ ไม่เช่นนั้นตัวตนอาจถูกเปิดเผยได้ง่าย”
อวี๋หวั่นก็คำนึงถึงเหตุผลข้อนี้เช่นกัน จึงมองไปยังเยี่ยนจิ่วเฉาเพื่อบอกว่าตนก็เห็นด้วย สุดท้ายแล้วเยี่ยนจิ่วเฉาพาเพียงอาเว่ยและซิวหลัวไป ซิวหลัวสามารถปะปนเข้าไปอยู่กับเหล่ายอดฝีมือในสกุลซือคง เขาไม่มีเวลามากพอที่จะปิดพลังของตน ทำให้พลังยังคงเป็นพลังของราชาซิวหลัวระดับหนึ่ง ในสกุลซือคงไม่นับว่าโดดเด่นเท่าไร
ส่วนอาเว่ยก็ได้รับบทเป็นบ่าวคนสนิทของ ‘ซือคงอวิ๋น’
“แต่เจ้า…” ประมุขสกุลซือคงมองอวี๋หวั่นด้วยความเคลือบแคลงใจ ใบหน้านี้ไม่ใช่ใบหน้าของสตรีศักดิ์สิทธิ์ จะปลอมว่าเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร?
“ข้ามีแผน!” อวี๋หวั่นหยิบผ้าคลุมหน้าสีขาวออกมาจากแขนเสื้อ แล้วนำมาคลุมทับใบหน้า หลังจากนั้นก็ยกมือขึ้นคล้องแขนเยี่ยนจิ่วเฉา “เช่นนี้ได้หรือไม่?”
เขารู้จักนาง ‘ซือคงอวิ๋น’ ก็รู้จักนาง มาคิดดูแล้วสกุลซางคงจะไม่สงสัยอะไร เมื่อคิดได้เช่นนี้ ประมุขสกุลซือคงจึงวางใจ และพาพวกเขาเดินทางไปยังสกุลซาง
เพื่อที่จะทำให้เรื่องนี้แยบยลกว่าเดิม ระหว่างทาง ประมุขสกุลซือคงจึงเล่าเรื่องราวของสกุลซางให้พวกเขาฟังไม่น้อย สกุลซางเป็นตระกูลที่ถือกำเนิดขึ้นในช่วงเวลาร้อยปีมานี้ มิได้เก่าแก่เท่าสกุลหลานและสกุลซือคง สกุลซางเชี่ยวชาญการทำอาวุธ สำหรับยอดฝีมือในหมิงตู การได้ใช้อาวุธซึ่งสกุลซางทำขึ้นนั้นนับว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่ง มีดสั้นที่สตรีศักดิ์สิทธิ์ได้มาจากซือคงอวิ๋นนั้น ประมุขสกุลซางก็เป็นคนมอบให้ด้วยตนเอง
หลายปีมานี้ สกุลซางได้ผงาดขึ้นมาจนยิ่งใหญ่ เป็นรองเพียงสกุลซือคง ไม่เหมือนกับสกุลซางที่มีเพียงสตรีศักดิ์สิทธิ์คอยอุปถัมภ์ค้ำชู ลูกศิษย์สกุลซือคงทุกคนล้วนปราดเปรื่อง ไม่ว่าจะสุ่มเลือกใครออกมา ทุกคนก็ล้วนแต่เป็นยอดฝีมือของหมิงตูทั้งสิ้น
“หากเทียบกับคุณชายใหญ่ละเจ้าคะ?” อวี๋หวั่นถาม
ประมุขสกุลซือคงตอบด้วยท่าทางภาคภูมิใจว่า “ย่อมไม่อาจเทียบชั้นกับฉางเฟิง ฉางเฟิงนับเป็นอันดับต้นๆ ของเหล่ายอดฝีมือรุ่นเยาว์”
“เหอะ” เยี่ยนจิ่วเฉาแค่นเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่สบอารมณ์
อวี๋หวั่นจับมือของเขาไว้ พร้อมกับกระซิบว่า “แน่นอนว่าสู้ท่านไม่ได้ ท่านเก่งที่สุด”
เมื่อได้ฟังเช่นนั้น อ๋องแห่งเผ่าปีศาจในร่างคุณชายจึงหันกลับไปด้วยสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องในที่สุด
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม รถม้าก็มาถึงสกุลซาง
เนื่องจากส่งจดหมายมาล่วงหน้า ซางฉงหวาประมุขสกุลซางจึงมารอหน้าประตูล่วงหน้าแล้ว เมื่อเห็นรถม้าของประมุขสกุลซือคง เขาก็สาวเท้าเข้ามา ยกมือขึ้นคำนับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ท่านเจ้าเมืองมาแล้ว!”
สกุลซือคงเป็นถึงเชื้อพระวงศ์แห่งหมิงตู ประมุขแต่ละรุ่นของหมิงตูจะควบตำแหน่งเจ้าเมืองหมิงตูด้วย แม้ว่าซางฉงหวาจะเป็นพ่อตา ทว่าก็ต้องไว้หน้าลูกเขยพอสมควร
ประมุขสกุลซือคงพยักหน้าด้วยความเกรงอกเกรงใจ “พ่อตา”
ซางฉงหวายิ้ม “จิ่งเอ๋อร์กำลังบ่นคิดถึงท่านลุงเขย นานๆ ทีเจ้าจะมาสักครั้ง เข้าทางเด็กคนนั้นพอดี!”
ซางจิ่ง นายน้อยสามแห่งสกุลซาง เป็นหลานชายสายตรงของซางฉงจิ่ง เป็นลูกพี่ลูกน้องของซือคงอวิ๋น และเป็นผู้สืบทอดสกุลซางคนต่อไป รักการเดินหมากเป็นชีวิตจิตใจ และมักจะเซ้าซี้อยากเดินหมากกับประมุขสกุลซือคง
รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏบนใบหน้าของประมุขสกุลซือคง “ประเดี๋ยวข้าจะเดินหมากกับจิ่งเอ๋อร์สักสองกระดาน”
“เจ้าเด็กนั่นคิดอย่างไรได้อย่างนั้นจริงๆ!” ซางฉงหวาหัวเราะร่า เมื่อนึกถึงเรื่องหนึ่งได้ จึงรีบมองไปด้านหลังประมุขสกุลซือคงว่า “ไฉนจึงไม่เห็นอวิ๋นเอ๋อร์กับสตรีศักดิ์สิทธิ์เลยเล่า?”
“มาแล้วเจ้าค่ะท่านตา!” อวี๋หวั่นเปิดม่านออก แล้วลงมาจากรถม้าพร้อมกับเยี่ยนจิ่วเฉา
เมื่อประมุขสกุลซางถูกเรียกว่าท่านตาก็ถึงกับตื่นตะลึง
ประมุขสกุลซางและสตรีศักดิ์สิทธิ์ไปมาหาสู่กันน้อยครั้งนัก แต่ในความทรงจำของเขา สตรีศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้…อ้วนขนาดนี้นี่นา
ประมุขสกุลซือคงจึงรีบบอกว่า “อวิ๋นเอ๋อร์ สตรีศักดิ์สิทธิ์ รีบมาหาท่านตาของพวกเจ้าเร็ว”
เยี่ยนจิ่วเฉาและอวี๋หวั่นเดินมายังเบื้องหน้าของประมุขสกุลซาง แล้วคำนับเขาครั้งหนึ่ง
สายตาของประมุขสกุลซางกวาดไปยังผ้าคลุมหน้าของอวี๋หวั่น สตรีศักดิ์สิทธิ์นั้นสูงส่งและไม่อาจล่วงเกิน สวมผ้าคลุมหน้าย่อมมิใช่เรื่องแปลก จากนั้นเขาจึงมองไปยังเยี่ยนจิ่วเฉาซึ่งยืนอยู่ด้านข้าง แล้วยกมือขึ้นตบบ่าของเขาเบาๆ “ไม่พบกันไม่เท่าไร อวิ๋นเอ๋อร์โตขึ้นมาก”
“นั่นสิ หลังจากที่รู้ว่าจะแต่งงาน ก็ประพฤติตัวดีขึ้นมาก ทุกวันนี้อยู่ในกฎระเบียบและหนักแน่นขึ้นกว่าแต่ก่อน” ประมุขสกุลซือคงสรรหาคำอธิบายลักษณะนิสัยของเยี่ยนจิ่วเฉาซึ่งแตกต่างจากนิสัยของซือคงอวิ๋นได้อย่างแนบเนียน
ประมุขสกุลซือคงฟังแล้วก็หัวเราะด้วยความเข้าอกเข้าใจ “มิน่าเล่า ตาแทบจำไม่ได้ นี่สิจึงจะสมกับเป็นบุรุษของสกุลซือคง พร้อมแบกรับภารกิจอันใหญ่หลวงของสกุลซือคง!”
คำพูดนี้…ล้อเล่นหรือเปล่าเนี่ย? ทำไมต้องแบกรับภารกิจอันใหญ่หลวงของสกุลซือคงด้วย? พูดอย่างกับว่าซือคงอวิ๋นจะเป็นผู้สืบทอดสกุลซือคงอย่างไรอย่างนั้น ถ้าอวี๋หวั่นจำไม่ผิด ประมุขสกุลซือคงยังไม่ได้ประกาศผู้สืบทอดสักหน่อย ประมุขสกุลซางพูดออกมาตรงๆ เช่นนี้ เป็นเพราะรู้ว่าประมุขสกุลซือคงเลือกซือคงอวิ๋นไว้แล้ว หรือว่าต้องการหยั่งเชิงท่าทีของประมุขสกุลซือคงกันแน่?
ประมุขสกุลซือคงเหลือบมองเยี่ยนจิ่วเฉาด้วยสายตาชื่นชม “ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น เจ้าเป็นลูกที่ข้ารักที่สุด อย่าทำให้ข้าผิดหวัง”
อวี๋หวั่นร้อง ‘ว้าว’ ออกมาในใจ ว่ากันว่าขิงยิ่งแก่ยิ่งเผ็ด คนยิ่งอายุมากประสบการณ์ก็มาก ประมุขสกุลซือคงสามารถพูดสิ่งที่ฟังดูจริงใจเช่นนี้กับลูกตัวปลอมได้ ฝีมือการแสดงระดับปรมาจารย์จริงๆ
“เข้าไปคุยกันในเรือนเถิด” ประมุขสกุลซางบอก
คนอื่นๆ ที่ติดตามประมุขสกุลซือคงและอวี๋หวั่นกับเยี่ยนจิ่วเฉามาก็พลิกตัวลงจากหลังม้า
ซิวหลัวปะปนอยู่ในบรรดายอดฝีมือซึ่งเป็นราชาซิวหลัวระดับหนึ่งถึงสาม พวกเขาเข้าไปในจวนได้อย่างง่ายดาย เมื่อถึงคราวของอาเว่ย ประมุขสกุลซางกลับหันหลังมา ฝีเท้าของเขาชะงักไป “นี่คือ…”
เยี่ยนจิ่วเฉาตอบว่า “บ่าวคนใหม่ที่ข้าเพิ่งซื้อมา”
ประมุขสกุลซางเข้าใจในทันใด “อา ที่ชื่อว่าเสี่ยวลิ่วใช่ไหม? ได้ยินแม่เจ้าพูดถึง”
อวี๋หวั่นเหลือบมองเยี่ยนจิ่วเฉา ปรมาจารย์คนนี้รู้เรื่องของสกุลซือคงเยอะจริงๆ!
หลังจากเข้ามาในโถงบุปผา ลูกศิษย์สกุลซางก็ทยอยเข้ามาคำนับประมุขสกุลซือคงและสตรีศักดิ์สิทธิ์ ประมุขสกุลซือคงถูกเด็กหนุ่มรั้งไว้ให้เดินหมากเป็นเพื่อน ส่วนเยี่ยนจิ่วเฉากับอวี๋หวั่นถูกสาวใช้พาไปยังเรือนด้านหลัง เพื่อไปพบกับฮูหยินผู้เฒ่าซางซึ่งเป็นท่านยายของซือคงอวิ๋น
อาเว่ยยกสัมภาระน้อยใหญ่ตามหลังทั้งสองไป
อวี๋หวั่นลอบส่งสายตาให้อาเว่ย
อาเว่ยเข้าใจทันที จึงบอกกับเยี่ยนจิ่วเฉาว่า “คุณชายรองขอรับ! ข้าลืมโสมพันปีที่ท่านซื้อมาให้ฮูหยินไว้บนรถม้าขอรับ!”
เยี่ยนจิ่วเฉาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “เจ้าโง่ ยังไม่รีบไปอีก!”
“ขอรับ!” อาเว่ยรีบส่งของในมือให้บ่าวสกุลซาง แล้วกุลีกลีกุจอไปยังรถม้าของทั้งสองที่อยู่นอกประตู
ขณะที่เลี้ยวบริเวณหัวมุมที่ลับตาคน เขาก็เปลี่ยนทิศ และเข้าไปด้านในเรือนสกุลซาง
อวี๋หวั่นและเยี่ยนจิ่วเฉาเดินเข้าไปในห้องของฮูหยินผู้เฒ่าซาง ฮูหยินผู้เฒ่าซางรักและเอ็นดูซือคงอวิ๋นเป็นอย่างมาก นางไม่ระแคะระคายแม้แต่น้อยว่าซือคงอวิ๋นตรงหน้าจะเป็นตัวปลอม นางจับมือของเยี่ยนจิ่วเฉาและพูดคุยกับเขาไม่หยุด
อวี๋หวั่นขอตัวไปห้องน้ำ เธอออกมาจากห้องของฮูหยินผู้เฒ่าซาง จากนั้นก็เดินหลบสายตาคนออกมานอกเรือนของฮูหยินผู้เฒ่าซาง
“อาหวั่น!”
อาเว่ยเรียกอวี๋หวั่นจากด้านหลังภูเขาจำลอง
อวี๋หวั่นมองไปรอบๆ เมื่อมั่นใจแล้วว่าไม่มีผู้ใดตามมา จึงรีบรุดไปยังภูเขาจำลอง แล้วกระซิบถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง? หาตำแหน่งของราชันสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของสกุลซางเจอหรือยัง?”
อาเว่ยตอบว่า “ที่ที่ข้าหาพบนั้นไม่มี สกุลซางมีเขตหวงห้าม ข้าเข้าไปไม่ได้ ไม่รู้ว่าพวกเขาเลี้ยงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ไว้ที่นั่นหรือเปล่า”
อาเว่ยเป็นปรมาจารย์พิษที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเผ่าปีศาจ เขาสามารถสัมผัสถึงกลิ่นอายของราชันสัตว์พิษได้เป็นอย่างดี แต่ก็มีสองกรณีที่เขาไม่สามารถสัมผัสได้ หนึ่งคือราชันสัตว์ศักดิ์สิทธิ์จงใจเก็บกลิ่นอายของตนเอง สองก็คือมีบางอย่างกลบกลิ่นอายของมันไว้
“พวกเขาใช้ยอดฝีมือประเภทไหนเฝ้าเขตหวงห้าม?” อวี๋หวั่นถาม
อาเว่ยหยุดคิด “เป็นยอดฝีมือที่เก่งกาจกว่าราชาซิวหลัวระดับห้าที่เข้ามาลอบฆ่าพวกเราเมื่อคืน ส่วนรายละเอียดข้าไม่มั่นใจ”
อวี๋หวั่นพึมพำว่า “เช่นนั้นก็หมายความว่า อาจเป็นราชาซิวหลัวระดับห้าขั้นสูงเหมือนกัน หรืออาจเป็น…ราชาซิวหลัวระดับหก?”
อาเว่ยพยักหน้า
อวี๋หวั่นเดินไปมาอย่างช้าๆ “ราชาซิวหลัวที่เก่งกาจเช่นนี้ ข้าไม่เคยเคยเห็นในสกุลซือคงมาก่อน เมื่อคืนกลับเจอถึงสองคน วันนี้เจ้ามาเจอที่สกุลซางอีก…ข้าเข้าใจแล้ว ราชาซิวหลัวที่มาเมื่อคืนก็เป็นคนของสกุลซาง! สกุลซางคิดจะทำอะไรกันแน่?”
อวี๋หวั่นยังคิดไม่ออก จึงเลิกคิดดีกว่า “เอาเถอะ ยังไม่ต้องคิดเรื่องนี้ พวกเรามีเวลาเพียงวันเดียว ต้องรีบหาตำแหน่งของราชันสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ให้ได้ก่อน!”
อาเว่ยตอบว่า “น่าเสียดายที่ตอนนี้พวกเราเข้าไปในเขตหวงห้ามไม่ได้”
“พวกเราเข้าไปไม่ได้ แต่มันทำได้!” อวี๋หวั่นพูดไป แล้วจับสัตว์พิษตัวน้อยซึ่งกำลังมึนงงออกมา
อวี๋หวั่นกัดปลายนิ้ว แล้วหยดเลือดพลังหยินลงบนตัวของมัน เธอมีเลือดพลังหยินบริสุทธิ์ กอปรกับร่างราชันสัตว์พิษของเจ้าสัตว์พิษตัวน้อย นับเป็นเหยื่อที่ดีทีเดียว
……………………