หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] – บทที่ 431 หนอนพิษพลังหยิน

บทที่ 431 หนอนพิษพลังหยิน

บ่าวของอวิ๋นเอ๋อร์?

ความซับซ้อนปรากฏในสายตาของประมุขสกุลซาง

ประมุขสกุลซือคงวางหมากสีดำ แล้วแสร้งทำเป็นเหลือบมองสกุลซาง “พ่อตา สีหน้าของท่านดูเคร่งเครียด มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือ”

ประมุขสกุลซางมองประมุขสกุลซือคง แล้วบอกกับหลานชายว่า “จิ่งเอ๋อร์ เจ้าออกไปก่อน ไว้วันหลังค่อยเดินหมากกับท่านลุงเขย”

“เออ…ขอรับ” แม้ว่านายน้อยสามแห่งสกุลซางจะไม่ยินดีนัก แต่ก็มองออกว่าท่านปู่กับลุงเขยมีเรื่องต้องปรึกษาหารือ เขาจึงรีบวางหมากลงแล้วเดินไป

“พ่อตา เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นหรือ?” ประมุขสกุลซือคงเอ่ยถามด้วยสีหน้าร้อนใจ

ประมุขสกุลซางมองลูกเขย สายตาของเขาก็ปรากฏความเคลือบแคลงใจเล็กน้อย “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด เพียงแต่ในคฤหาสน์มีหัวขโมยเข้ามาขโมยของสำคัญไป”

ประมุขสกุลซือคงมีสีหน้าตื่นตะลึง “หัวขโมยที่ไหนกัน ใจกล้าบ้าบิ่นถึงเพียงนี้ กลางวันแสกๆ กลับกล้าอุกอาจบุกเข้ามาถึงบ้านสกุลซาง ไม่เกรงกลัวบ้างเลยหรือ? ไม่เพียงเท่านี้ ก่อนหน้านี้หรือหลังจากนี้ไม่มา กลับมาตอนที่อวิ๋นเอ๋อร์ของข้ามาเยี่ยมเยือน ข้าว่าเขาคงจะอยากสร้างความเดือดร้อนให้สกุลซือคงของพวกเรา? มีอย่างที่ไหนกัน! อย่าให้ข้าจับได้นะ! ข้าจะ…”

ประโยคหลัง แม้เขาไม่ได้พูด แต่ความอาฆาตแค้นกลับปรากฏในสายตาของเขา

เมื่อประมุขสกุลซางเห็นท่าทางเดือดดาลของประมุขสกุลซือคง เขาจึงคิดว่าตนเองอาจคิดมากไป อย่างไรเสียลูกเขยของเขาไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าสกุลซางเลี้ยงหนอนพิษพลังหยินเอาไว้ จะมาขโมยหนอนพิษได้อย่างไร?

อีกทั้ง ได้ยินว่าหนอนพิษพลังหยินหายไปพร้อมกับยาในห้องปรุงยา สกุลซือคงมิได้แร้นแค้นถึงขั้นที่จะต้องมาขโมยของพวกนี้จากพวกเขากระมัง?

ไม่ว่ามองอย่างไร…ก็ไม่ยักเหมือนสิ่งที่ประมุขซือคงจะทำ

แต่ทว่า…เรื่องศิลาสตรีศักดิ์สิทธิ์จะอธิบายว่าอย่างไร?

ศิลาสตรีศักดิ์สิทธิ์มิได้นับว่าหายากในหมิงตู แม้แต่สตรีในสกุลซางก็ใช้เครื่องประดับที่ทำจากศิลาสตรีศักดิ์สิทธิ์ แต่พวกนางเข้าไปในเขตหวงห้ามไม่ได้ จึงไม่มีทางขโมยของของสกุลซาง

ประมุขสกุลซางลูบศิลาสตรีศักดิ์สิทธิ์ในมือ สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความหนักใจ

สายตาของประมุขสกุลซือคงไปหยุดอยู่ที่มือของเขา แล้วเอ่ยถามว่า “พ่อตา นั่นคืออะไรหรือ”

ประมุขสกุลซางชะงักไป แล้วส่งศิลาสตรีศักดิ์สิทธิ์ให้เขา “ของที่หัวขโมยวางทิ้งไว้”

ประมุขสกุลซือคงรับศิลาสตรีศักดิ์สิทธิ์มา แล้วพลิกไปพลิกมาเพื่อพิจารณาดู “ดูจากรูปร่างแล้วน่าจะเป็นศิลาที่ใช้ประดับเครื่องประดับศีรษะของสตรี หรือว่าหัวขโมยจะเป็นสตรี?”

เดิมทีประมุขสกุลซางก็คิดเช่นนั้น แต่เมื่อเขาพูดขึ้นมา จึงเริ่มไม่แน่ใจเสียแล้ว “บางทีอาจเป็นบุรุษ จงใจทิ้งเครื่องประดับของสตรีไว้ เพื่อทำให้พวกเราสับสน”

“ใคร่ขอถามพ่อตาสักนิด ว่าของที่หายไปคือสิ่งใดหรือ?” ประมุขสกุลซือคงถาม

“ยาบำรุงและอาวุธ” ประมุขสกุลซางพูดพลางสังเกตสีหน้าของลูกเขย ราวกับตั้งใจจับสังเกตความผิดปกติจากสีหน้าของเขา แต่กระนั้นประมุขสกุลซางก็ต้องผิดหวัง

หลังจากที่ประมุขสกุลซือคงได้ยินเรื่องของที่หายไป ก็ถอนหายใจออกมายาวๆ “อาวุธของสกุลซางเป็นสิ่งที่เหล่ายอดฝีมือล้วนปรารถนา”

เขาไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับยาบำรุง เขาไม่รู้ว่าสกุลซางเลี้ยงราชาซิวหลัวที่เก่งกาจไว้เช่นนี้ ย่อมไม่คิดว่ายาบำรุงของสกุลซางจะเลิศล้ำกระไรปานนั้น แต่ว่าถ้าหากเด็กคนนั้นมีเจตนาก่อกวน ขโมยยาบำรุงของบ้านอื่นก็มิได้นับว่าเหนือความคาดหมาย

ประมุขสกุลซางกระจ่างเรื่องยาบำรุงของตนดี จึงไม่ได้อธิบายแต่อย่างใด เพียงแต่บอกว่า “วันนี้ในจวนเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ทำให้ไม่อาจต้อนรับได้ดีเท่าที่ควร ท่านเจ้าเมืองกลับไปก่อน วันหลังข้าจะไปเยี่ยมเยียนด้วยตนเอง”

ประมุขสกุลซือคงตอบอย่างหนักแน่นว่า “ได้อย่างไรกัน? เรื่องของสกุลซาง ก็คือเรื่องของข้า! ในเมื่อวันนี้ข้ามาแล้ว ข้าจะไม่ยอมยืนดูอยู่เฉยๆ เป็นอันขาด พ่อตาได้โปรดให้ข้าตามไปจับโจรด้วย!”

“ไม่ต้องหรอก เรื่องเล็กน้อย…”

“พ่อตาอย่าได้เกรงใจข้า!”

เมื่อพูดเช่นนี้แล้ว ประมุขสกุลซางจึงไม่อาจปฏิเสธได้ เขาทำได้เพียงตอบตกลงให้ประมุขสกุลซือคงออกตามจับคนร้ายด้วย แต่ว่าประมุขสกุลซางยังคงสงสัยบ่าวที่ขอกลับเรือนไปก่อน เขาจึงแสร้งทำเป็นส่งองครักษ์ออกตามหา ทว่าแท้จริงแล้วกลับลอบส่งราชาซิวหลัวที่เก่งกาจหลายคนให้ตามสะกดรอยบ่าวต้องสงสัยคนนั้น

“ท่านประมุข พวกเขาไล่ตามบ่าวของคุณชายรองไปขอรับ” ในสวนดอกไม้ของสกุลซาง ยอดฝีมือของสกุลซือคง

คนหนึ่งเข้ามารายงานต่อประมุขของตน

สีหน้าของประมุขสกุลซือคงมิได้ผิดปกติแต่อย่างใด เขารู้แต่แรกแล้วว่าพ่อตาของเขามิใช่คนเลอะเลือนหลอกง่าย จึงมิได้คิดจะพยายามลบข้อสงสัยของเขา อย่างไรก็ดี ขอเพียงทำให้เขาไม่สามารถหาหลักฐานเชิงประจักษ์ได้ เขาก็จะไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าการหายไปของหนอนพิษพลังหยินนั้นเกี่ยวข้องกับสกุลซือคง

ประมุขสกุลซือคงมีสีหน้าจริงจัง “จัดการตามแผน”

ยอดฝีมือครุ่นคิด แล้วถามว่า “แต่…พวกเขาจะสงสัยว่าท่านประมุขอยู่เบื้องหลังแผนการหรือไม่ขอรับ?”

ประมุขสกุลซือคงกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “เขาเองก็บอกแล้วว่าบ่าวคนนั้นเพิ่งซื้อมาใหม่ ในเมื่อเป็นบ่าวที่มาใหม่ ก็อาจเป็นไปได้ว่ามีคนอื่นแทรกซึมมาในสกุลซือคง เกี่ยวอะไรกับสกุลซือคงด้วยเล่า?”

“ข้าน้อยเข้าใจแล้ว” ยอดฝีมือพูดจบ ก็ยกมือขึ้นประสานเพื่อคำนับประมุขสกุลซือคง แล้วพาพรรคพวกออกไป ‘จับหัวขโมย’

ขณะที่ทุกคนกำลังระดมกำลังกันอยู่นั้น ซิวหลัวฟันน้ำนมก็อยู่ระหว่างทางเช่นกัน

อาเว่ยนำขวดหยกมุ่งตรงไปยังสกุลซือคง อาการของซือคงเย่อยู่ในขั้นวิกฤต ถ้าหากหนอนพิษพลังหยินไปไม่ถึงมือก่อนตะวันตกดิน เมื่อนั้นราชันหมื่นสัตว์พิษคงต้องสังเวยชีวิตตนเอง เพื่อรักษาชีวิตของซือคงเย่อย่างไม่ต้องสงสัย

นี่ก็ย่างเข้าช่วงเที่ยงวันแล้ว อาเว่ยเร่งความเร็วสุดฝีเท้า น่าเสียดายที่ยังไปไม่ได้ไกล ก็ถูกยอดฝีมือตามติดมา

ครั้งนี้ สกุลซางไม่ได้ส่งซิวหลัวระดับสูงสุดไป แต่ส่งราชันย์ซิวหลัวระดับสามไปล้อมจับอาเว่ย

ขณะที่พวกเขากำลังจะจับอาเว่ย ซิวหลัวฟันน้ำนมก็กระโดดลงมาจากฟ้า แล้วจับอาเว่ยขึ้นหลัง หันหน้ามาแลบลิ้นปลิ้นตาแล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย!

ราชาซิวหลัวของสกุลซางโมโหจัด พวกเขาใช้วิชาตัวเบาสุดกำลัง เพื่อไล่ตามเจ้าราชาซิวหลัวระดับหนึ่งจอมโอหังนั่นให้ทัน

ทว่าสิ่งที่ทำให้พวกเขาประสาทเสียก็คือ ไม่ว่าจะเร่งฝีเท้าอย่างไรก็ตามไม่ทัน!

ในใจของพวกเขาบังเกิดคำถามเช่นเดียวกับราชาซิวหลัวระดับห้า ‘นี่มันวิชาตัวเบาของสำนักไหนกัน?!’

แต่ว่า ต่อให้พวกเขาตามไม่ทัน แต่เจ้าราชาซิวหลัวระดับหนึ่งก็หนีพวกเขาไม่พ้น

ครึ่งชั่วยามผ่านไป

หนึ่งชั่วยามผ่านไป

สองชั่วยามผ่านไป…

ฟ้าเริ่มมืดลงเรื่อยๆ ดวงอาทิตย์ค่อยๆ ลาลับขอบฟ้า

ในวิหารเจาหยาง กลิ่นอายของซือคงเย่อ่อนลงเรื่อยๆ

ราชันหมื่นสัตว์พิษคอยเฝ้าอยู่ไม่ห่าง

ซือคงฉางเฟิงเดินไปเดินมาอย่างร้อนใจ บางครั้งก็มองไปยังแสงอาทิตย์อัสดงซึ่งเป็นสีแดงฉานดังโลหิต “ไฉนยังไม่กลับมาอีก? ไม่ได้ของมาหรืออย่างไร? ท่านปรมาจารย์…กำลังจะไม่ไหวแล้ว…”

ในที่สุดซิวหลัวฟันน้ำนมและอาเว่ยก็เข้ามายังเขาหมิงซาน ซิวหลัวฟันน้ำนมใช้พลังภายในทั้งหมดเพื่อโยนอาเว่ยเข้าไปในเขาหมิงซาน

ขอเพียงเข้าไปในเขาหมิงซานได้ ก็จะถึงอาณาเขตของสกุลซือคง แต่ว่าขณะที่อาเว่ยกำลังจะถูกโยนเข้าไปในเขาหมิงซานนั้นเอง กลิ่นอายทรงพลังก็พุ่งเข้ามา แล้วใช้พลังมหาศาล ดูดอาเว่ยออกมา!

ลำคอของอาเว่ยถูกฝ่ามือใหญ่เย็นยะเยือกคว้าเอาไว้

ถ้าหากฝ่ามือนั้นบีบแน่นกว่าเดิมอีกสักนิด ศีรษะของอาเว่ยก็คงหลุดออกจากบ่า

รถม้าคันหนึ่งเคลื่อนมาจอดด้านข้าง อวี๋หวั่นเปิดม่านออก แล้วตะโกนว่า “ปล่อยมือเดี๋ยวนี้นะ!”

อาชานัยหลายตัวควบเข้ามา ผู้ที่นำหน้ามาคือประมุขสกุลซางซางฉงหวา ประมุขสกุลซือคงและองครักษ์คนอื่นๆ ตามหลังมา

ประมุขสกุลซางกระตุกเชือกให้ม้าหยุด

อวี๋หวั่นเดินลงมาจากรถม้าของตน แล้วมองไปยังอาเว่ยซึ่งถูกบีบคอจนใบหน้าสีอมม่วง พร้อมกับเอ่ยถามประมุขสกุลซางว่า “ท่านตาเจ้าคะ ท่านจับคนผิดหรือเปล่าเจ้าคะ? เขาเป็นบ่าวที่ติดตามซือคงอวิ๋น ท่านจับเขาทำไมเจ้าคะ”

ประมุขสกุลซางตอบอวี๋หวั่น แล้วมองไปยังราชาซิวหลัวซึ่งไล่จับหัวขโมยมาตลอด “พวกเจ้าจับผิดคนหรือเปล่า?”

ราชาซิวหลัวหนึ่งในนั้นตอบว่า “เรียนท่านประมุข พวกข้าไม่ได้จับผิดคนขอรับ เจ้านี่กับซิวหลัวคนนั้นทำตัวลับๆ ล่อๆ เมื่อเห็นพวกข้าก็รีบหนี? พวกข้าจึงตามจับมาตลอดช่วงบ่ายขอรับ”

อวี๋หวั่นจึงแก้ต่างว่า “พวกเขาไม่รู้จักพวกเจ้า อยู่ๆ พวกเจ้าก็ไล่ตามพวกเขา พวกเขาก็ต้องหนีอยู่แล้ว!”

“อย่างนั้นหรือ?” ประมุขสกุลซางหรี่ตามองอวี๋หวั่นด้วยความเคลือบแคลงใจ

อวี๋หวั่นมองไปยังหุบเขา ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปครึ่งหนึ่งแล้ว ท่านตาทวดเหลือเวลาไม่มาก

อวี๋หวั่นสูดหายใจเข้าลึก ตั้งสติแล้วบอกว่า “ท่านตาเจ้าคะ เขาได้รับคำสั่งของข้ากับสามีข้าให้กลับจวนไปนำโสมมาให้ท่านยาย เขาไม่ใช่ขโมย เรื่องนี้หลานจีสาบานในฐานะสตรีศักดิ์สิทธิ์! ถ้าหากหลานจีโป้ปดแม้แต่คำเดียว ขอให้หลานจีไม่ตายดี!”

ประมุขสกุลซางมองไปยังอวี๋หวั่นด้วยสีหน้าซับซ้อน “สตรีศักดิ์สิทธิ์เอ๋ย เจ้ากับอวิ๋นเอ๋อร์ยังเยาว์วัยนัก คนบางคนหลอกใช้เจ้าแต่เจ้าไม่รู้ เจ้านี่เพิ่งมาอยู่กับอวิ๋นเอ๋อร์ได้ไม่นาน เกรงว่าเจ้ากับอวิ๋นเอ๋อร์คงไม่กระจ่างในที่มาที่ไปของเขา เจ้าวางใจเถิด ต่อให้เขาเป็นคนขโมย ข้าก็จะไม่เอาผิดเจ้ากับอวิ๋นเอ๋อร์!”

เมื่อเขากล่าวเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไร อวี๋หวั่นก็ควรถอยออกไปได้แล้ว

แต่อวี๋หวั่นไม่ได้ทำเช่นนั้น นัยน์ตาของเธอกระตุกวูบหนึ่งแล้ว เธอก้าวมายืนด้านหน้าม้าศึก “ท่านตาเจ้าคะ ที่นี่เป็นประตูใหญ่ของสกุลซือคง ท่านสงสัยคนของสกุลซือคงต่อหน้าประมุขสกุลซือคง ต่อหน้าสตรีศักดิ์สิทธิ์ ท่านเห็นสกุลซือคงเป็นอะไรเจ้าคะ?”

ประมุขสกุลซางตอบว่า “บ่าวเพียงคนเดียว แต่สตรีศักดิ์สิทธิ์กลับปกป้องถึงเพียงนี้ จะไม่ให้สงสัยได้อย่างไร?”

ดวงตะวันโผล่พ้นหุบเขามาเพียงเสี้ยวหนึ่ง เม็ดเหงื่อใสผุดขึ้นบนหน้าผากของอวี๋หวั่น เธอตั้งสติ แล้วบอกว่า “ที่แท้ประมุขซางก็รู้ว่าข้าเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ เช่นนั้นประมุขซางก็ควรจะรู้ว่านี่ไม่ใช่ท่าทีที่ท่านควรปฏิบัติต่อสตรีศักดิ์สิทธิ์!”

ประมุขสกุลซางหรี่ตา “เด็กคนนี้…”

อวี๋หวั่นเชิดหน้าขึ้น “ข้าแต่งงานกับซือคงอวิ๋น เรียกท่านด้วยความเคารพว่าท่านตา ก็ไม่ได้หมายความว่าท่านจะไม่ไว้หน้าข้าเช่นนี้ได้! เขาเป็นคนของสามีข้า นับว่าเป็นคนของข้า ท่านสงสัยเขา ก็เท่ากับสงสัยข้า! ทางที่ดีที่ควรคิดว่าท่านทำเช่นนั้นได้หรือไม่ และการสาดมลทินใส่สตรีศักดิ์สิทธิ์จะนำมาซึ่งผลลัพธ์อย่างไร!”

“อวิ๋นเอ๋อร์เล่า? เจ้าเรียกเขาออกมา!” ประมุขสกุลซางมองไปยังรถม้าที่เงียบปราศจากความเคลื่อนไหว

“เขาหลับ” อวี๋หวั่นบอก

ประมุขสกุลซางโบกมือทำให้เกิดลม ม่านของหน้าต่างเปิดออก เผยให้เห็นเยี่ยนจิ่วเฉาซึ่งกำลังเอียงคอหลับ

ประมุขสกุลซางสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ “เขาหลับจริงๆ หรือว่าเจ้าวางยาเขากันแน่?”

อวี๋หวั่นนัยน์ตากระตุกวูบ “ประมุขซาง ระวังคำพูดด้วย!”

“เหอะ!” ประมุขซางคร้านจะเถียงด้วย ก็แค่สตรีศักดิ์สิทธิ์ คิดว่าตนเองเป็นเทพแห่งหมิงตูอะไร

พรรค์นั้นจริงหรือ?

ประมุขสกุลซางเหยียบขึ้นไปบนโกลน ใช้แรงส่งเพียงเล็กน้อย เขาก็ลอยขึ้นไปกลางอากาศ ใช่มือข้างเดียวคว้าเสื้อของอาเว่ยไว้ แล้วฉีกออกอย่างไม่เกรงใจ!

แควก!

เสื้อของอาเว่ยขาดออก ขวดหยกในอกเสื้อก็ร่วงลงมา!

“อ๊าา” อวี๋หวั่นร้องออกมา

ซิวหลัวฟันน้ำนมพุ่งออกไป เร็วกว่าประมุขสกุลซางหนึ่งก้าว คว้าขวดหยกเอาไว้

แม้ว่าจะแย่งไม่ทัน แต่ประมุขสกุลซางก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของสัตว์พิษพลังหยินจากขวดหยก

ใช่แล้ว หนอนพิษพลังหยินที่เขาเลี้ยงมานานหลายปี อยู่ที่เจ้านี่จริงด้วย!

สตรีศักดิ์สิทธิ์คอยให้ท้ายเขา เห็นทีคงจะเป็นพวกเดียวกัน!

ประมุขสกุลซางเดือดดาลจนง้างมือขึ้นหมายจะตบอวี๋หวั่น!

ประมุขสกุลซางวาดมือในอากาศ ขณะที่ฝ่ามือนั้นกำลังจะพาดใส่อวี๋หวั่น ก็มีมือหนึ่งยื่นออกมาขวางไว้ “พ่อตา!”

ประมุขสกุลซางเหลือบมองทั้งสองฝ่าย แล้วเก็บพลังภายใน จากนั้นจึงถอยหลังกลับไปสามก้าว “ส่งของนั่นออกมา”

อวี๋หวั่นเดินออกมาจากด้านหลังของประมุขสกุลซือคง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ส่งอะไร? ข้าไม่เข้าใจว่าประมุขซางหมายความว่าอย่างไร”

สายตาของประมุขสกุลซางไปหยุดที่ขวดหยกในมือของซิวหลัวฟันน้ำนม “ของนั่น!”

อวี๋หวั่นยิ้มน้อยๆ “สิ่งที่ถูกขโมยไปจากสกุลซางไม่ใช่ยาบำรุงและอาวุธหรอกหรือ? นี่เป็นเพียงขวดสำหรับใส่หนอนพิษ ประมุขซางต้องการมันไปทำไมหรือ? หรือว่าแท้จริงแล้วสิ่งที่ถูกขโมยก็คือหนอนพิษ? ประมุขซางอยากได้หนอนพิษก็บอกกันตามตรงก็ได้นี่ ไฉนต้องบีบบังคับกันเช่นนี้? สตรีศักดิ์สิทธิ์อย่างข้าไม่มีสมบัติอันใด แต่มีหนอนพิษจำนวนมาก หากประมุขซางต้องการราชันร้อยสัตว์พิษ หรือว่าราชันพันสัตว์พิษ ข้าก็สามารถมอบให้ท่านได้!”

เจ้าเด็กคนนี้ คิดว่าเขาไม่กล้าเปิดเผยเรื่องหนอนพิษพลังหยิน แล้วเขาจะไม่กล้าแย่งมันคืนมาอย่างนั้นรึ? น่าเสียดายที่นางประเมินความสำคัญของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ต่อสกุลซางต่ำไป สกุลซางของพวกเขาต้องนำหนอนพิษพลังหยินตัวนี้คืนมาให้ได้ แม้ว่าจะทำให้ถูกเปิดเผยขุมกำลังและปณิธานที่แท้จริงก็ตาม!

“เพิ่มพลัง!” ประมุขสกุลซางออกคำสั่ง กลิ่นอายของซิวหลัวซึ่งจับกุมอาเว่ยไว้เพิ่มขึ้นทันใด ระดับสามขั้นสูงสุด ระดับสามเต็มขั้น ระดับสี่…ระดับห้า…ระดับหก…ระดับหกขั้นสูงสุด…ระดับหกเต็มขั้น…ระดับเจ็ด!!!

ราชาซิวหลัวระดับเจ็ด! ไม่มีผู้ใดต่อกรได้!

เขาแย่งขวดหยกมาได้อย่างง่ายดาย

ขวดนี้…ว่างเปล่า!

หนอนพิษพลังหยินของเขาเล่า? ไปไหนแล้ว!!!

เขาหมิงซาน วิหารเจาหยาง

สัตว์พิษตัวน้อยนั่งอยู่บนหลังของหนอนพิษพลังหยิน พลางตวัดแส้เล็กอย่างเกรี้ยวกราด

ไปเร็ว…ไปเร็วๆ!!!

…………….

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2]

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2]

Status: Ongoing

เธอคือหมอ(รักษาสัตว์)เทวดาคนแรกของอาณาจักร

เริ่มจากข้ามมิติมาอยู่ในร่างของเด็กสาวชาวบ้านผู้แสนยากจน

ทางซ้ายมีท่านแม่ที่ป่วยกระเสาะกระแสะ ทางขวาก็มีน้องชายตัวน้อยคอยให้ป้อนข้าว

ที่แย่ไปกว่านั้นคือ เธอถูกผู้ชายเฮงซวยยกเลิกการแต่งงาน…

ให้ตายเถอะ! เสือไม่โอ้อวดพลังก็จริง แต่เห็นเธอเป็น HelloKitty หรืออย่างไร ถึงมารังแกกันแบบนี้?!

สั่งสอนผู้ชายเฮงซวย รักษาอาการป่วยของท่านแม่ เลี้ยงดูน้องชายที่ผอมแห้งแรงน้อย

บุกเบิกที่นารกร้าง ปลููกพืชบนที่ดินว่างเปล่า นั่งดูความอุดมสมบูรณ์ แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข

วันเวลาอันแสนสุขค่อยๆ ผ่านไป…

วันหนึ่งก็ได้ยินว่าเทพแห่งความตายผู้น่าสะพรึงกลัวจะมาเยือนถึงหน้าบ้าน บังคับขู่เข็ญให้เธอแต่งงานด้วย?

ถึงเธอจะชอบผู้ชายหน้าตาดีก็เถอะ แต่ได้ยินว่าท่านอ๋องผู้นี้…

“ท่านอ๋อง พวกเราไม่ได้สนิทกันเสียหน่อย!” หญิงสาวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง

“เหอะๆ” ท่านอ๋องยกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย แล้วคว้าเด็กน้อยตัวอ้วนจ้ำม่ำสามคนออกมาจากด้านหลัง

“เรียกแม่สิ”

เธอล่ะอยากจะเป็นลม…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท