“ท่านประมุข พวกเราหาคุณชายรองจนทั่วหมิงตูแล้ว ไม่พบร่องรอยของคุณชายรองเลยขอรับ!”
ในห้องหนังสือสกุลซือคง องครักษ์คนสนิทของปรมาจารย์ซือคงเข้ามารายงาน
ประมุขซือคงมีสีหน้าเคร่งขรึม ในห้องหนังสือยังมีซือคงฉางเฟิงบุตรชายคนโตอยู่ด้วย
การมีอยู่ของซือคงฉางเฟิงในสกุลซือคงก็เหมือนกับธาตุอากาศ ไม่มีผู้ใดใส่ใจว่าเขาจะเป็นหรือตาย เขาไม่แทรกแซงกิจการภายในของสกุลซือคง ทว่าครั้งนี้ศัตรูปรากฏตัวต่อหน้า เขาจำต้องเพิกเฉยต่อเรื่องเหล่านี้
ประมุขสกุลซือคงเหลือบมองบุตรชายคนโต แล้วเอ่ยถามองครักษ์ว่า “แล้วสถานเริงรมย์เหล่านั้นเล่า เจ้าดูแล้วหรือยัง?”
องครักษ์ยกมือขึ้นประสาน “เรียนท่านประมุข หาแล้วขอรับ สถานที่ที่คุณชายรองไปบ่อย หรืออาจไป พวกข้าตรวจดูแล้วขอรับ”
“บ้านสกุลซางเล่า?” ซือคงฉางเฟิงเอ่ยปากถาม
ประมุขซือคงขมวดคิ้ว แล้วมองไปยังองครักษ์ด้วยสายตาเย็นเยียบ เพื่อรอคำตอบของเขา
องครักษ์ตอบว่า “หากไม่มีคำสั่งของท่านประมุข ข้าน้อยไม่กล้าไปตรวจสอบที่บ้านสกุลซางหรอกขอรับ”
“เช่นนั้นก็คงจะอยู่ที่สกุลซาง” ซือคงฉางเฟิงบอก
สีหน้าของประมุขซือคงเคร่งเครียดยิ่งกว่าเดิม
ซือคงฉางเฟิงสังเกตเห็นสีหน้าของบิดา เขาจึงเอ่ยขึ้นว่า “น้องรองเป็นหลานชายของสกุลซาง อีกทั้งมีฮูหยินผู้เฒ่าคอยปกป้อง เมื่อมาคิดดูแล้วในตอนนี้คงไม่มีใครทำอะไรเขา”
ส่วนหากหลังจากนี้ทั้งสองสกุลแตกหักกัน ก็ค่อยว่ากันอีกที ไม่แน่ว่าซือคงอวิ๋นอาจถูกใช้เป็นหมากสำคัญในการต่อรองกับสกุลซือคง แต่จะเกิดขึ้นในกรณีที่สกุลซางสู้สกุลซือคงไม่ได้
หากดูจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว ความเป็นไปได้นั้นมีน้อย ก่อนหน้านี้สกุลซางมีหนอนพิษพลังหยิน จากนั้นก็มีราชาซิวหลัวระดับเจ็ด พลังของพวกเขามิได้เป็นรองสกุลซือคง คนเดียวในสกุลซือคงที่จะเอาชนะพวกเขาได้ก็คือท่านปรมาจารย์ น่าเสียดายที่ท่านปรมาจารย์ต้องเก็บตัว เขาจะสามารถบรรลุระดับเก้าได้หรือไม่นั้นยังไม่อาจรู้ได้
“ถ้าหากข้าเป็นสกุลซาง ข้าจะไม่ปล่อยให้ท่านปรมาจารย์มีโอกาสบรรลุระดับ” ซือคงฉางเฟิงพึมพำ
ประมุขซือคงไม่ได้ตอบ เพราะเขาเองก็เห็นด้วยกับสิ่งที่ซือคงฉางเฟิงพูด เขาอยู่ในตำแหน่งนี้มานานหลายปี เขาล้วนแต่กระจ่างในเรื่องของโอกาสมากกว่าผู้ใด ดังคำกล่าวที่ว่าโอกาสไม่เคยหวนกลับมา บัดนี้นับเป็นโอกาสที่สำคัญที่สุดของสกุลซาง ความทะเยอทะยานของสกุลซางได้ถูกเปิดเผยแล้ว หากจะให้ทำลับหลังอีกก็คงจะไร้ประโยชน์ มิสู้ใช้โอกาสตอนที่ท่านปรมาจารย์เก็บตัว ช่วงชิงความเป็นใหญ่ไว้กับตนดีกว่าหรือ
ขอเพียงไม่มีปรมาจารย์ซือคง ต่อให้สกุลซือคงคิดอยากลุกขึ้นสู้ก็คงทำไม่ได้แล้ว
“ข้ารู้ว่าสกุลซางไม่ใช่ว่าจะต่อกรด้วยง่าย แต่ก็ไม่คิดว่าจะยากถึงเพียงนี้ เดิมทีข้าคิดว่าพวกเขาเป็นเหมือนกับสกุลหลาน อยากเป็นเพียงชนชั้นสูง…” ประมุขซือคงเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวแดกดันตนเองว่า “เลี้ยงหนอนพิษพลังหยิน ราชาซิวหลัว…เมื่อเป็นเช่นนี้ เกรงว่าพวกเขาคงต้องการเข้ามาแทนที่สกุลซือคง เพื่อเป็นราชวงศ์ใหม่ของหมิงตู”
ซือคงฉางเฟิงมิได้แสดงความเห็นเรื่องความทะเยอทะยานของสกุลซาง แต่บอกว่า “ท่านพ่อ ข่าวเรื่องที่ท่านปรมาจารย์เก็บตัวคงปิดไว้ได้ไม่นาน หลังจากนี้พวกเราต้องคิดว่าจะรับมืออย่างไรขอรับ”
ประมุขซือคงพยักหน้า “เจ้านำยอดฝีมือสกุลซือคงทั้งหมด ไปยังวิหารเจาหยางเขาหมิงซาน ให้อารักขาท่านปรมาจารย์”
ซือคงฉางเฟิงคำนับด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ จากนั้นจึงหันหลังเดินออกไป
ประมุขซือคงมองตามหลังบุตรชายคนโตไป เขาก็ถอนหายใจออกมายาวๆ
ไม่นานก็มียอดฝีมือจำนวนไม่น้อยแห่แหนกันมายังเขาหมิงซาน บรรยากาศในวิหารเจาหยางก็อึดอัดขึ้นมาทันใด
ลูกศิษย์ซึ่งถูกส่งไปค้นหาโดยรอบเขาหมิงซานกลับมาแล้ว หลังจากที่พวกเขารู้เรื่อง ต่างก็วางกำลังเตรียมพร้อมอารักขาเขาหมิงซาน
อวี๋หวั่นมองไปยังองครักษ์ที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นไม่รู้กี่เท่า แล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ เธอปิดหน้าต่าง แล้วบอกกับเยี่ยนจิ่วเฉาซึ่งกำลังทำมีดไม้ให้เด็กๆ ว่า “วรยุทธ์ของท่านยังไม่ฟื้นฟู ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ท่านอย่าออกไป”
เยี่ยนจิ่วเฉาแค่นเสียง ‘หึ’ เบาๆ
อวี๋หวั่นครุ่นคิด แล้วหันไปหาเยี่ยนจิ่วเฉา “ท่านว่า…คืนนี้คนสกุลซางจะตามมาไหม?”
“ตามมา!”
เสียงเล็กๆ ของเสี่ยวเป่าดังขึ้น เขาร้องเรียกพี่ชายทั้งสอง
อวี๋หวั่นมุมปากกระตุก แล้วพูดว่า “พวกเรามียอดฝีมืออยู่ไม่น้อย คงจะ…สู้ได้กระมัง?”
“สู้ไม่ได้!”
เสียงใสของเสี่ยวเป่าดังขึ้นอีกครั้ง เอ้อร์เป่ากำลังแข่งหนอนพิษกับต้าเป่า และถามเสี่ยวเป่าว่าหนอนพิษของตนสู้ได้หรือไม่ และคำตอบของเสี่ยวเป่าก็ทำให้เอ้อร์เป่าต้องผิดหวัง
อวี๋หวั่นหายใจเข้าลึกๆ และถามเยี่ยนจิ่วเฉาว่า “ถ้าหากมีสิ่งใดผิดพลาดขึ้นมา พวกเรารีบหนีกัน”
“หนีไม่พ้นหรอก!” เสี่ยวเป่าพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
อวี๋หวั่นทนไม่ไหว เปิดหน้าต่างออกไปถามว่า “เยี่ยนเสี่ยวเป่า! ใครหนีไม่พ้น?!”
เสี่ยวเป่าหันมามองท่านแม่ด้วยสีหน้ามึนงง แล้วชี้ไปยังหนอนพิษของเอ้อร์เป่าซึ่งกำลังจะปราชัย “นะ…หนอนพิษขอรับ…”
……
เด็กทั้งสามเล่นกันจนเหนื่อย อาบน้ำยังไม่ทันเสร็จก็สัปหงกผล็อยหลับไป เยี่ยนจิ่วเฉาเช็ดตัวและสวมเสื้อผ้าให้พวกเขา จากนั้นก็อุ้มพวกเขาไปยังเตียงนุ่ม อวี๋หวั่นล้มตัวลงนอน และห่มผ้าแล้ว จึงตบเตียงเบาๆ “ท่านก็นอนเถอะ”
เยี่ยนจิ่วเฉาตอบ ‘อืม’ เบาๆ เขาจับแขนเสื้อหมายโบกมือดับตะเกียงบนโต๊ะ แต่เมื่อโบกมือไป ก็นึกได้ว่าตนเองสูญสิ้นวรยุทธ์ไป จึงเดินไปดับตะเกียงที่โต๊ะด้วยสีหน้าถมึงทึง
ทุกคนเข้าสู่นิทรา
นอกวิหารเจาหยาง ซือคงฉางเฟิงวางกระบี่ แล้วนั่งขัดสมาธิ
เขาค่อยๆ หลับตาลง สายลมยามราตรีพัดมาเอื่อยๆ อาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ของเขาไหวเล็กน้อย เกิดเป็นเสียงเบาๆ ท่ามกลางเขาหมิงซานอันเงียบสงัด
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ใบหูของเขาขยับเล็กน้อย เขาลืมตาขึ้นทันใด นัยน์ตาของเขาเย็นเยียบ จากนั้นก็คว้ากระบี่ข้างกาย ดึงออกมาฟันใส่อาวุธลับที่พุ่งมาจากฟ้า!
กระนั้น เขาก็ทำได้เพียงฟันใส่มัน
ต้องเข้าใจว่า กระบี่เล่มนี้เป็นกระบี่ที่ท่านปู่มอบให้เขาครั้นยังมีชีวิตอยู่ จะเรียกว่าเป็นกระบี่ที่ตกทอดมาในสกุลซือคงก็คงได้ ทว่าเมื่อต้องสู้กับอาวุธของสกุลซางกลับไม่สามารถตัดมันได้ อาวุธของสกุลซางนั้นแข็งแกร่งเหลือเกิน แค่มองเพียงปราดเดียวก็รู้แล้ว
เสียงกระทบกันของอาวุธจากทั้งสองตระกูล ได้กลายเป็นปฐมบทของศึกในครั้งนี้
ซือคงฉางเฟิงทะยานขึ้นฟ้า แทงกระบี่ไปยังมือสังหารซึ่งปรากฏกายในความมืดอย่างฉับไว มือสังหารยกหอกติดพู่แดงขึ้นมาสกัดไว้ทันใด
หอกประดับพู่แดงนั้นถูกออกแบบมาเพื่อใช้ต่อกรกับกระบี่ยาวโดยเฉพาะ สกุลซางเตรียมการมาเป็นอย่างดี แต่ทว่า ตำแหน่งยอดฝีมือวัยเยาว์อันดับหนึ่งแห่งหมิงตูก็มิได้ไร้ที่มา แม้ว่ามือสังหารจะได้เปรียบด้านอาวุธ แต่กลับสูญเสียพลังภายในในทุกกระบวนท่า หลังจากผ่านไปสิบกว่ากระบวนท่า เขาก็ต้องปราชัยใต้คมกระบี่ของซือคงฉางเฟิง
แต่ทุกอย่างก็มิได้จบลงเพียงเท่านี้ มือสังหารนั้นเป็นเพียงหินที่ถูกโยนมาถามทาง การบุกสังหารที่แท้จริง เริ่มต้น ณ บัดนี้
กลิ่นอายของมือสังหารเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลท่ามกลางความมืดมิด นัยน์ตาของซือคงฉางเฟิงกระตุกวูบ และเรียกยอดฝีมือของสกุลซือคงออกไป
ราชาซิวหลัวยี่สิบคน และซิวหลัวอีกสิบห้าคนกรูกันออกมาล้อมกลิ่นอายกลุ่มนั้นไว้
ต่อให้ระดับยังไม่อาจเทียบเท่ายอดฝีมือสกุลซาง แต่พวกเขาได้เปรียบด้านจำนวน เมื่อมองดูแล้วไม่ยักคล้ายกับว่าจะมีโอกาสแพ้ แต่สิ่งที่ไม่มีผู้ใดคาดคิดก็คือ กลิ่นอายเหล่านั้นแข็งแกร่งเหลือเกิน ไม่ทันไรก็สังหารคนเพื่อเปิดทาง จิตสังหารพุ่งตรงไปยังวิหารเจาหยาง!
ซือคงฉางเฟิงพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “หยุดพวกเขาไว้!”
ลูกศิษย์ต่างชักกระบี่ และกรูไปยังวิหารเจาหยาง
ลูกศิษย์ที่เป็นหัวหน้ากล่าวว่า “จัดการ! ปกป้องท่านปรมาจารย์!”
วรยุทธ์ของลูกศิษย์ในวิหารนั้นไม่สูงนัก แต่ในที่สุดก็สามารถหยุดราชาซิวหลัวระดับหกได้ถึงสองคน!
เพียงแต่พวกเขาไม่อาจหยุดราชาซิวหลัวเหล่านั้นไว้ได้นานนัก ราชาซิวหลัวระดับเจ็ดก็ปรากฏกายขึ้น พลังของเขาสามารถทำลายล้างค่ายกลกระบี่ของเหล่าลูกศิษย์ได้อย่างราบคาบ
ลูกศิษย์วิหารเจาหยางกระอักเลือดสดออกมา
ราชาซิวหลัวระดับเจ็ดทะยานไปยังห้องลับ
ทันใดนั้นเอง แรงกดของราชันหมื่นสัตว์พิษก็กดลงมาและแผ่ขยายออกไป
ราชาซิวหลัวระดับเจ็ดคำรามลั่น พร้อมกับปล่อยพลังภายในมหาศาลออกมาเพื่อปะทะกับราชันหมื่นสัตว์พิษ
ราชาซิวหลัวระดับหกอาศัยจังหวะชุลมุนเหาะไปยังเรือนของซือคงเย่ ซือคงฉางเฟิงและยอดฝีมือของสกุลซือคงอีกหลายคนจึงไล่ตามไป หมายจะสังหารพวกเขาเสีย ทว่าน่าเสียดายที่ระดับพลังของพวกเขาสูงเกินไป แม้ว่าจะสามารถจัดการราชาซิวหลัวได้คนหนึ่ง แต่อีกคนหนึ่งกลับหนีไปตามค้นทีละห้องๆ
เดิมทีเขาต้องการสังหารปรมาจารย์ กระนั้นทันทีที่ผ่านห้องห้องหนึ่ง เขาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายซึ่งไม่ธรรมดา
ไม่เพียงเขาที่สัมผัสได้ แม้แต่ราชาซิวหลัวระดับเจ็ดซึ่งกำลังต่อสู้อยู่กับราชันหมื่นสัตว์พิษก็สัมผัสได้เช่นกัน
นั่นคือกลิ่นอายของราชาศักดิ์สิทธิ์
ที่นี่มีราชาศักดิ์สิทธิ์!
บรรดาราชาซิวหลัวล้วนแต่เลือดร้อน ราชาศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นเครื่องสังเวยที่ดีกว่าหนอนพิษพลังหยินเสียอีก ขอเพียงได้ราชาศักดิ์สิทธิ์มา แม้แต่บรรลุระดับจนแข็งแกร่งที่สุดในหมิงตูก็มิใช่เรื่องยาก และเมื่อถึงตอนนั้น ต่อให้เป็นปรมาจารย์ซือคง ก็จะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสกุลซางอีกต่อไป
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ราชาซิวหลัวต่างก็เปลี่ยนแผน พวกเขาไม่มุ่งหน้าไปสังหารซือคงเย่ หากแต่จะไปจับราชาศักดิ์สิทธิ์!
เขาย่างกรายเข้าไปยังห้องของเยี่ยนจิ่วเฉาและอวี๋หวั่น
ในห้องมีบุรุษหนึ่งคน สตรีหนึ่งคน และเด็กอีกสามคน เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของราชาศักดิ์สิทธิ์จากร่างของสตรีผู้นั้น
ราชาซิวหลัวระดับหกไม่พูดพร่ำทำเพลง เข้าไปคว้าตัวอวี๋หวั่นทันที!
……………………..