เสี่ยวเป่ายังไม่รู้ว่าเขาไม่ได้จับมือเอ้อร์เป่า ในใจเขาคิดเพียงว่าจะหนีเอ้อร์เป่า ห้ามให้เอ้อร์เป่าตามเขากับต้าเป่ามาเด็ดขาด!
เขาวิ่งเตาะแตะไปข้างหน้า จับมือเล็กด้านหลังไว้แน่น
แต่ว่า ในที่สุดเขาก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ
“ต้าเป่า ทำไมมือของเจ้าถึงเปียกเช่นนี้” เขาเอ่ยถาม แต่ด้วยความรีบร้อน จึงไม่ได้หันหลังกลับไปมอง
ร่างเล็กไม่ตอบ
เสี่ยวเป่าร้อง ‘โอ้’ ลืมไปเสียสนิทว่าต้าเป่ายังพูดไม่ได้!
“เสี่ยวเป่า~เสี่ยวเป่า~”
เสียงใสของเอ้อร์เป่ายังคงดังมาจากด้านหลัง เสี่ยวเป่ายังคงตั้งหน้าตั้งตาวิ่งต่อไป เมื่อมาถึงทางแยก เขาก็ตัด
สินใจเลือกเส้นทางอย่างแน่วแน่ และปีนขึ้นไปบนเนินเขาเตี้ยลูกหนึ่ง “ตรงนี้ๆ!”
เนินเขานี้มีถ้ำเล็กๆ แห่งหนึ่ง เดิมทีต้าเป่าค้นพบถ้ำนี้ ต้าเป่าจึงพาเสี่ยวเป่าไปครั้งหนึ่ง แต่ยังไม่ได้พาเอ้อร์เป่าไป เพราะฉะนั้นเสี่ยวเป่าจึงมั่นใจว่าเอ้อร์เป่าจะไม่มีทางค้นพบความลับของตนและต้าเป่าได้โดยเร็ว
ในถ้ำนั้นมืดสนิท ยื่นมือออกไปแล้วมองไม่เห็นนิ้วทั้งห้า ด้านหลังปากทางเข้าถ้ำหันเข้าพุ่มไม้ทึบ ทว่าฝั่งตรงข้าม
เป็นช่องลมขนาดเท่าศีรษะ สูงจากพื้นดินประมาณครึ่งฉื่อ
เสี่ยวเป่าปล่อยมือ ‘ต้าเป่า’ คุกเข่าลงก้นโก่งกับพื้น แล้วมองผ่านช่องลมนั้น
เขากำลังมองเอ้อร์เป่า มองไปหัวเราะไป เขาไม่รู้เลยว่าผู้ที่อยู่ด้านหลังกำลังหิวกระหาย
ร่างเล็กเข้ามาอยู่ด้านหลัง อ้าปากกว้างน่าสยดสยอง
ขณะที่เขากำลังจะงับลงไปนั้นเอง ร่างของเสี่ยวเป่าก็แข็งทื่อ ใบหน้าของเขาเบี้ยวบูด แลดูเจ็บปวดเหลือเกิน
จากนั้นก็มีเสียงดัง ‘ปู้ด’
ผายลมกลิ่นเหม็นหึ่งได้ระบายออกไป เสี่ยวเป่ารู้สึกสบายท้องเป็นที่สุด
ร่างด้านหลังกลับไม่ได้คาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ทันทีที่เสียงผายลมดังขึ้น เขาก็หยุดชะงัก ผายลมของเสี่ยวเป่าทั้งเสียงดังและกินเวลายาวนาน ลมทั้งหมดถูกอัดเข้าที่ใบหน้าของร่างเล็กด้านหลัง จนนัยน์ตาแดงฉานของเขานั้นเบิกกว้าง และผงะถอยไปหลายก้าว จากนั้นดวงตาของเขาก็กลอกวน ลิ้นจุกปาก ร่างกายอ่อนเปลี้ยกลิ้งหล่นลงจากเนินเขา…
เสี่ยวเป่ายังคงอยู่ในโลกส่วนตัว ไม่รู้ว่าต้าเป่าถูกตน ‘รมควัน’ จนกลิ้งลงไปจากเนินเขาแล้ว
เอ้อร์เป่าเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ แต่เสี่ยวเป่าไม่กลัวหรอก!
“ประเดี๋ยวเอ้อร์เป่ามา ข้าจะให้เขาดูท่าเตะ! ไร้! เงา! เขา! หมิง! ซาน!” ขาเล็กของเสี่ยวเป่ากระโดดเตะ!
ร่างเล็กซึ่งถูกรมควันด้วยผายลมจนวิงเวียนและกลิ้งตกเขาไปนั้นปีนขึ้นมาถึงถ้ำ แต่กลับถูกลูกเตะของเสี่ยวเป่าถีบจนกลิ้งตกเขาไปอีกครั้ง
“เอ๋? รู้สึกเหมือนเมื่อกี้เตะถูกอะไรเข้าสักอย่าง” เสี่ยวเป่าดึงขาน้อยๆ กลับมา เกาศีรษะ แล้วมองไปรอบๆ “ต้าเป่าละ?”
เสี่ยวเป่าวิ่งเตาะแตะลงจากเนินเขา และไปตามหาต้าเป่าที่ต้นไม้ใหญ่
เมื่อร่างเล็กพยุงร่างอันโงนเงนของตนเองขึ้นมา ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของเสี่ยวเป่า กลับมีเพียงเอ้อร์เป่าที่เข้ามาใกล้
“เสี่ยวเป่า~ เจ้าอยู่ที่ไหน” เอ้อร์เป่ามองไปรอบๆ
ร่างเล็กปราดเข้าไปด้านหลังเอ้อร์เป่า แล้วเดินตามเขาไป นัยน์ตาแลดูกระหายเลือด
เขาเข้าใกล้เอ้อร์เป่ามากขึ้นเรื่อยๆ ห้าก้าว สี่ก้าว สามก้าว สองก้าว…
ครั้นเดินเข้ามาจนอยู่ห่างเอ้อร์เป่าออกไปเพียงสองก้าว ร่างเล็กก็อ้าปากอีกครั้ง เผยให้เห็นฟันซี่แหลม
ปั้ก!
ต้าเป่าเดินไปเหยียบไม้ท่อนหนึ่ง เขาเหยียบปลายของไม้ด้านหนึ่ง ปลายไม้อีกด้านหนึ่งจึงกระเด้งขึ้นมาฟาดเป้ากางเกงของร่างเล็กเต็มๆ!
เขาเจ็บปวดรวดร้าวไปจนถึงจิตวิญญาณ!
เขาหนีบขาแน่น กุมเป้ากางเกงเอาไว้ ยืนนิ่งอยู่กับที่ จากนั้นก็ล้มลงกับพื้น…
……
เป้าหมายสุดท้ายของเจ้านี่คือต้าเป่าซึ่งนั่งขุดหนอนพิษอยู่ที่พื้น
ในครั้งนี้ เขาไม่คิดจะเข้าไปใกล้อีกฝ่ายอีก เขาแบมือออกมา หมายจะใช้พลังของหลัวช่า ทว่าทันใดนั้นเอง ร่างอรชรร่างหนึ่งก็เดินมาด้านหลังของเขา
“เอ๊ะ? ลูกใครกัน?”
อวี๋หวั่นเดินเข้ามาทางร่างเล็ก หลัวช่าโลหิตเข้ามาในเขาหมิงซานแล้ว เธอจึงพาคนออกมาสำรวจ และได้ยินเสียง
ของเอ้อร์เป่าแถวนี้ จึงรู้ว่าเด็กทั้งสามออกไปจากวิหารเจาหยาง เธอรีบเข้ามาพาพวกเขากลับไป ไหนเลยจะรู้ว่าเธอพบเด็กน้อยทั้งสาม แต่กลับพบเด็กน่าสงสารคนหนึ่ง
เด็กที่น่าสงสารคนนี้สวมเสื้อผ้าขาดรุุ่ย ดูจากขนาดและรูปแบบแล้ว ไม่เหมือนกับเสื้อผ้าเด็กสักเท่าไร แต่เหมือนกับอาภรณ์ของสตรีวัยผู้ใหญ่เสียมากกว่า ยากจนถึงกับไม่มีเสื้อผ้าใส่เชียวหรือ?
อวี๋หวั่นคิดว่าเขายากจนมาก เขาไม่เพียงสวมเสื้อผ้ามอซอขาดวิ่นไม่พอดีตัว แต่ยังผอมจนเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก ทั้งที่ส่วนสูงใกล้เคียงกับเด็กน้อยทั้งสาม เพราะฉะนั้นเขาไม่ได้ขาดแคลนแค่เสื้อผ้า แต่ยังขาดแคลนอาหารอีกด้วย
“เสื้อผ้าเปียกหมดแล้ว เจ้าตกน้ำมาหรือ?” อวี๋หวั่นคุกเข่าลง ปัดผมยุ่งเหยิงซึ่งปรกหน้าของเขาออก “ไอ้หยา หน้าผากแตกด้วย เจ้าบาดเจ็บนี่”
อวี๋หวั่นพูดไปพลางก้มหน้าปลดผ้าคาดเอว
ร่างเล็กเลียปาก ค่อยๆ อ้าปากกว้าง
สวบ!
อวี๋หวั่นปลดเสื้อคลุมออก แล้วนำมาคลุมร่างชื้นๆ ของเขา จากนั้นก็เปิดกระเป๋าออก หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดแผลของเขา จากนั้นก็เช็ดใบหน้าและมือเล็กๆ ของเขา “เจ้าอยู่ที่ไหนหรือ มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
แม้ว่ารูปร่างของเขาจะแปลกประหลาดไปสักหน่อย แต่ไม่ว่าอย่างไรอวี๋หวั่นก็ไม่มีทางเดาได้ว่าหลัวช่าในตำนานจะเป็นเพียงเด็กอายุสามขวบ
หลัวช่าน้อยไม่ได้พูด เพียงแต่จับจ้องไปยังเส้นเลือดบนคอของอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นเช็ดตัวให้เขาเสร็จ ก็ลุกขึ้นยืน จับมือเล็กของเขาขึ้นมา “เดินได้ไหม? ข้าจะพาเจ้ากลับไป”
หลัวช่าน้อยถูกคนจับมือเป็นครั้งที่สอง ทว่ารู้สึกไม่เหมือนกับถูกเจ้าผายลมเหม็นนั่นจูงมือ เขาชะงักไป ดวงตาเบิกโพลง จับจ้องไปยังมือของอวี๋หวั่น น้ำลายหยดแปะๆ
อวี๋หวั่นมีเลือดพลังหยินเข้มข้น มีกลิ่นอายของราชาศักดิ์สิทธิ์จากร่าง นับว่ายั่วยวนหลัวช่าโลหิตเป็นที่สุด
อวี๋หวั่นไม่รู้ว่าเจ้านี่กำลังน้ำลายสอเพราะเลือดของตน เมื่อเห็นว่าเขาน้ำลายไหล จึงคิดว่าเขาหิวข้าว เธอไม่ได้ พกอะไรติดตัวมาด้วย นอกจากนมของเสี่ยวเป่าเพียงหนึ่งขวด
เธอส่งขวดนมให้หลัวช่าโลหิต “ให้เจ้า”
นมแพะต้มมาแล้ว ปราศจากกลิ่นคาวและกลิ่นสาบ มีรสหวานเล็กน้อย เป็นที่ชื่นชอบของเด็กๆ
หลัวช่าน้อยไม่เคยดื่มนมจากขวดมาก่อน ไม่รู้ว่าต้องคาบจุกนมเข้ามาก มือหยาบของเขาดึงมันออก กลิ่นของนมแพะลอยขึ้นมาแตะจมูกของเขา
เขาไม่ชอบกลิ่นของนม ขมวดคิ้วด้วยความรังเกียจ แล้วโยนขวดนมทิ้งไปทันที!
อวี๋หวั่นกำลังหายาจินชวงในกระเป๋า เมื่อเห็นว่าเขาโยนขวดนมทิ้งไป เธอก็ร้อง ‘โอ้’ ออกมา “เจ้าไม่ชอบหรือ? ”
เธอค้อมตัวลงไปเก็บขวดนมขึ้นมา หลัวช่ามองด้านหลังของเธอ เลียปากด้วยความหิวกระหาย แล้วพุ่งเข้าไปหาเธอทันที
ทว่า หลัวช่าน้อยยังไม่ทันได้ออกตัว มันก็ถูกพลังภายในโจมตีอย่างรุนแรง
มันตวัดสายตามองบุรุษร่างสูงใหญ่ที่ทำเสียเรื่อง มันกัดฟันกรอด แล้วพุ่งเข้าหาเขาทันที
เยี่ยนจิ่วเฉากลัวว่าอวี๋หวั่นจะเป็นอันตราย จึงทะยานขึ้นฟ้า แล้วหลอกล่อมันไปบนเขาลูกหนึ่ง
ในตอนนั้นอวี๋หวั่นหายาจินชวงเจอพอดี แต่กลับพบว่าเด็กคนนั้นไม่อยู่แล้ว “แปลกจัง หายไปไหนแล้ว?”
หลัวช่าน้อยและเยี่ยนจิ่วเฉาเปิดฉากประมือกัน
ชิงเหยียน ลูกศิษย์วิหารเจาหยาง รวมไปถึงอาม่าได้ยินเรื่องนี้ก็พากันมา ทั้งสองนั้นเคลื่อนไหวว่องไวเสียจนตาไม่สามารถมองได้ทัน จะมองเห็นก็เพียงเงาเลือนรางเคลื่อนไปมา กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปในอากาศ แต่ทันใดนั้นก็ถูกแรงเย็นยะเยือกกดลงทันใด
หลัวช่าเดือดดาล มันคำรามลั่น พุ่งเข้าชนกับอกของเยี่ยนจิ่วเฉา!
ภาพเหตุการณ์นี้ ทำให้หัวใจของชิงเหยียนแทบหล่นลงไปถึงตาตุ่ม “นั่น…นั่นมันหลัวช่าโลหิตไม่ใช่หรือ? ทำไม…ตัวเล็กเหลือเกิน…”
อาม่ามีสีหน้าขึงขัง “นั่นคือหลัวช่าน้อย”
“หลัวช่าน้อย?” ชิงเหยียนตื่นตะลึง
ในดวงตาของอาม่าก็เปี่ยมไปด้วยความตกใจ “หลัวช่าที่ตัวเล็กเช่นนี้ ใต้หล้าหายากยิ่งนัก…”
ชิงเหยียนแทบไม่อยากเชื่อว่าสิ่งที่ไล่ตามเขามาก่อนหน้านี้ ก็คือเจ้าเปี๊ยกนี่!
อาม่าคล้ายกับจะเดาได้ว่าชิงเหยียนไม่เชื่อ จึงกล่าวว่า “อย่าเห็นว่ามันตัวเล็กแล้วไม่น่ากลัว ยอดฝีมือทั้งสกุลซือคงมารวมกัน ยังสู้เขาไม่ได้”
“กะ…เก่งกาจขนาดนั้นเชียวหรือ? ” ชิงเหยียนกลัวจนหัวหด เมื่อนึกถึงเรื่องหนึ่งได้ จึงพูดขึ้นว่า “หลัวช่าที่พวกเรา
เจอครั้งแรกใช่เจ้านี่ไหม?”
อาม่าส่ายหน้า “ไม่ ไม่ใช่มัน”
ชิงเหยียน “สกุลซางไม่ได้มีหลัวช่าแค่คนเดียวหรอกรึ?!”
อาม่ายังไม่ทันได้ตอบคำถาม หลัวช่าน้อยก็ถูกเยี่ยนจิ่วเฉาใช้พลังภายในมัดเอาไว้เสียแล้ว ใช้วิชาอายุวัฒนะ
สร้างแส้กระชากวิญญาณ ฟาดลงไปที่หลัวช่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หลัวช่าน้อยร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
เยี่ยนจิ่วเฉายื่นมือออกมา ขณะที่กำลังจะจัดการมันให้ตายด้วยฝ่ามือเดียว ในช่วงเวลาระหว่างความเป็นและความตาย อวี๋หวั่นก็เดินถือยาจินชวงและขวดนมมา
เยี่ยนจิ่วเฉาชะงักไป
เมื่อเห็นว่าเยี่ยนจิ่วเฉาไม่อยากทำร้ายอวี๋หวั่น หลัวช่าน้อยก็กระโดดเข้าไปในอ้อมแขนของอวี๋หวั่น คว้าขวดนมด้วยความรังเกียจ แล้วดื่มนมไม่หยุด!
อวี๋หวั่นซึ่งกำลังงุนงง “…”
เยี่ยนจิ่วเฉาซึ่งงุนงงกว่าอวี๋หวั่นเสียอีก “…”
……………………..