ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ทำให้ทุกคนต่างตะลึงงัน เมื่อครู่ราชาซิวหลัวบอกว่าหลัวช่าโลหิตไม่อยู่ไม่ใช่หรือ? พวกเขาฟังผิดไป…หรือว่าราชาซิวหลัวสกุลซางเข้าใจผิดกันแน่?
ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าในตอนนี้เจ้าสัตว์ประหลาดนั่นจะอยู่ในบ่อเลือด เพราะฉะนั้นวินาทีที่อิ่งสือซันถูกลากลงไปนั้น พวกเขาจึงยังไม่ทันได้ตอบสนอง แม้แต่อิ่งสือซันเองก็คงยังไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้น กว่าเขาจะตั้งสติได้ ก็ถูกลากลงไปถึงก้นบ่อเสียแล้ว
อิ่งลิ่วกระโดดลงไปในบ่อโดยมิได้ยั้งคิด เขากระโดดลงไปเร็วกว่าอิ่งสือซันที่ถูกลากลงไปเสียอีก ชิงเหยียนห้ามเขาไว้ไม่ทัน ทำได้เพียงบ่นออกมาด้วยความร้อนรนว่า “เจ้านี่นะ ทำอย่างกับเป็นภรรยาของเขาไปได้! เขาลงไปเจ้าก็ลงไปรึ!”
จบกันละทีนี้ ยังไม่ทันได้ช่วยคนหนึ่ง อีกคนหนึ่งก็จะตายตามไปอีก ไม่มีคนนำทาง แล้วเขาจะกลับไปเขาหมิงซานได้อย่างไรเล่า?!
ชิงเหยียนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ!
หลังจากที่อิ่งสือซันถูกลากลงไปในบ่อเลือด เขาก็พยายามดิ้นรนต่อสู้ น่าเสียดายที่บ่อเลือดนี้ไม่เหมือนกับ
บ่อน้ำทั่วไป ของเหลวในบ่อนั้นเข้มข้นเสียจนเขาขยับร่างกายแทบไม่ได้ พลังของเขาเหลือเพียงครึ่งเดียว ไม่อาจใช้วรยุทธ์ได้
เมื่อเทียบกันแล้ว เจ้าสัตว์ประหลาดที่ลากเขาลงมานั้นกลับเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ
มือข้างนั้นแลดูไม่ว่าใหญ่เท่าไรนัก เป็นเพราะในตอนนั้นมันอาบไปด้วยเลือด อีกทั้งยังรวดเร็วและรุนแรง อิ่งสือซันมองเห็นไม่ชัด แต่ครานี้เขาถูกลากลงไปในบ่อ สัญชาตญาณบอกเขาว่านี่ไม่ใช่มือขนาดปกติ แต่แน่นอนว่าพลังของมันย่อมไม่ธรรมดา
อิ่งสือซันถูกดึงลงมายังก้นบ่อ โดยที่เขาปราศจากแรงต่อสู้
เลือดเข้มข้นนั้นทำให้เขาลืมตาไม่ขึ้นและมองอะไรไม่เห็น เขาทำได้เพียงพึ่งพาสัญชาตญาณของหน่วยกล้าตาย เพื่อสัมผัสถึงอันตรายซึ่งกำลังเข้ามาประชิดตัว เจ้านั่นแหวกว่ายน้ำเลือดเข้ามาทางเขา เกาะเขาและกัดเข้าที่ลำคอของเขา!
บุ๋ง! บุ๋ง! บุ๋ง!
มีฟองลอยขึ้นมาในบ่อเลือด
อิ่งสือซันคิดว่าเจ้านั่นกำลังอาเจียนออกมา อาเจียนออกมาในบ่อเลือด…
เขานึกออกแล้ว ก่อนที่จะเข้ามาในเขตหวงห้าม พวกเขาทาฉี่ม้าบนร่างกาย ที่แท้เจ้านี่ก็เกลียดกลิ่นฉี่ม้านั่นเอง
ระหว่างที่กำลังใช้ความคิดอยู่นั้น อิ่งลิ่วก็ว่ายเข้ามา
เจ้านั่นไม่สนใจอิ่งสือซันอีกต่อไป และหันไปหาอิ่งลิ่วแทน
แม้ว่าอิ่งสือซันจะมองไม่เห็น แต่กลับสัมผัสถึงกลิ่นอายของอิ่งลิ่ว เขายอมตาย แต่จะไม่มีทางยอมให้อิ่งลิ่วเป็น
อะไรเด็ดขาด เขาพยายามรวบรวมพลังทั้งหมดที่มี แล้วพุ่งเข้าหาเจ้านั่น ขณะที่มันกำลังจะอ้าปากกัดอิ่งลิ่ว อิ่งสือซันก็คว้าขาของมันไว้
นะ…นี่มันขาคนหรือ? ทำไมผอมและเล็กขนาดนี้?
อิ่งสือซันไม่สนใจความสงสัยของตนอีกต่อไป เขาพุ่งเข้าชนมันทันที!
อิ่งสือซันคิดจะใช้ร่างของตนกดมันไว้
บุ๋งๆๆ
อิ่งลิ่วพ่นฟองอากาศออกมา แล้วคว้ามือของอิ่งสือซันไว้ เขาส่ายหน้า จากนั้นก็ลากอิ่งสือซันแหวกว่ายเลือดขึ้น
ไปบนฝั่ง
ชิงเหยียนหยิบยาโลหิตทั้งหมดออกมา แล้วสาดลงไปในบ่อเลือดอย่างไม่ยั้งมือ “กินยาโลหิตไปซะ ห้ามกินพวกเขา…”
เจ้าสัตว์ประหลาดที่อยู่ก้นบ่อได้กลิ่นของยาโลหิต มันไม่คิดจะไล่ตามอิ่งลิ่วและอิ่งสือซันอีก ทั้งสองว่ายขึ้นฝั่ง ชิงเหยียนถอนหายใจอย่างโล่งอก เขานั่งลงค้อมกายลงบนสะพานไม้ “แล้ว…แล้วเจ้านั่นละ?”
นัยน์ตาของอิ่งลิ่วเต็มไปด้วยความตื่นกลัว
ชิงเหยียนมองไปยังอิ่งลิ่ว จากนั้นก็มองไปยังตำแหน่งที่เขาสาดยาโลหิตลงไป เขาเห็นเพียงน้ำเลือดกระเพื่อมน้อยๆ ไปซ้าย ไปขวา กินยาที่เขาสาดลงไปจดหมด
เจ้านั่นอยู่ใกล้พวกเขาเสียจนชิงเหยียนขนลุกขนพองไปหมด
ร่างของเขาสั่นเทิ้ม สองมือหยิบยาอีกส่วนหนึ่งในกระเป๋าออกมาเทลงไปทีละเม็ดๆ สิ่งที่อยู่ในน้ำเลือดเคลื่อนไหวเร็วขึ้นเรื่อยๆ ราวกับกำลังหมดความอดทนกับชิงเหยียนที่ให้อาหารช้าเหลือเกิน แต่ทว่า…ยาโลหิตกำลังจะหมดลงแล้ว…
ชิงเหยียนโยนยาลงไป พลางค่อยๆ เดินออกมา เมื่อเขาหยิบยาสามสี่เม็ดสุดท้ายออกมา ลำไผ่ท่อนหนึ่งก็พุ่งขึ้นจากน้ำ ชิงเหยียนตกใจจนโยนยาที่เหลือทั้งหมดลงไป!
อิ่งสือซันคว้าชิงเหยียนด้วยมือข้างหนึ่ง คว้าอิ่งลิ่วด้วยมืออีกข้างหนึ่ง แล้วหนีออกไปจากถ้ำในทันใด!
ทั้งสามคนหนีไปได้สักพัก จนคิดว่าปลอดภัยแล้ว ไหนเลยจะรู้ว่าอยู่ๆ ในถ้ำก็มีลมเย็นสายหนึ่งพัดวูบมา สายลมนั้นหอบเอากลิ่นคาวเลือดมาด้วย ทุกคนถึงกับชะงักไป!
“แย่แล้ว! มันตามมาแล้ว!” ชิงเหยียนขมวดคิ้ว
“พวกเจ้าหนีไปก่อน!” อิ่งสือซันผลักอิ่งลิ่วและชิงเหยียนไปด้านหน้า ส่วนเขายังคงรั้งอยู่ด้านหลัง
อิ่งลิ่ว “แต่ว่า…”
“แต่ว่าอะไรเล่า? อย่าไปเกะกะเขาสิ!” ชิงเหยียนดึงอิ่งลิ่วไว้ แล้วลากเขาออกไปจากถ้ำ
อิ่งสือซันไม่คิดจะเผชิญหน้ากับมันโดยตรง ทั้งยาโลหิตและยาทำให้เลือดแข็งตัวล้วนแต่เทลงไปในบ่อหมดแล้ว แต่ว่าเขายังมีน้ำมนต์ที่ปิดฝาไว้อย่างดีอีกหลายขวด เขาหยิบน้ำมนต์ออกมา สาดลงไปตลอดทาง
ปัสสาวะม้านั้นกลิ่นฉุนจนเขาเองยังแสบจมูกจนทนดมไม่ไหว เขาเก็บขวดแล้วไล่ตามอิ่งลิ่วและชิงเหยียนไป
เดิมทีคิดว่าเจ้านั่นเกลียดกลิ่นของน้ำมนต์นี้ และจะถอยกลับลงบ่อไปอย่างว่าง่าย ไม่คิดเลยว่ามันจะยังคงดั้นด้นตามมา
ในตอนนั้นทั้งสามหนีออกมาจากถ้ำแล้ว และกำลังวิ่งเข้าไปในป่าอันเงียบสงัด
เมื่อสัมผัสได้ว่าเจ้าสัตว์ประหลาดนี้กำลังเข้ามาใกล้แล้ว ทุกคนล้วนแต่ขนพองสยองเกล้า
ชิงเหยียนตื่นตระหนกจนร้องออกมา “อะไรกันเนี่ย? ทำไมมันตามพวกเรามาละ”
“ยังอยากกินยาโลหิตอยู่อีกรึ?” อิ่งลิ่วถาม
ชิงเหยียนพูดด้วยความร้อนรน “แต่เราไม่มียาโลหิตเหลือแล้ว!”
“เหมือนว่าข้าจะยังมีเหลืออยู่!” อิ่งลิ่วใช้วิชาตัวเบาไปพลางหยิบขวดกระเบื้องซึ่งในขวดยังเหลือยาอยู่ออกมา เขาใช้พลังภายในโยนยาโลหิตไปอีกทิศทางหนึ่ง
เจ้านั่นเปลี่ยนเส้นทางไปหาตามหายาโลหิตจริงๆ
ทั้งสามไม่กล้าผ่อนกำลัง จึงยังคงใช้วิชาตัวเบาเต็มขั้นต่อไป
ชิงเหยียนถามว่า “โยนไปกี่เม็ด?”
อิ่งลิ่วตอบว่า “น่าจะ…แปดเม็ด”
ชิงเหยียนตบหน้าอก “เช่นนั้นเจ้านั่นน่าจะใช้เวลาหาสักพัก”
ทันทีที่พูดจบ ก็มีเสียงคำรามดังลั่น กลิ่นคาวเลือดรุนแรงพัดมาตามลม
ชิงเหยียนอ้าปากค้าง “วะ…ว่องไวขนาดนี้เชียวรึ!!!”
นัยน์ตาของอิ่งสือซันกระตุกวูบ “แยกกันไป!”
ทั้งสามคนแยกกันไปคนละทิศในทันที!
ชิงเหยียนเลือกทิศใต้ เขาอยากรู้ว่าอิ่งลิ่วและอิ่งสือซันไปทางใด จึงหันหลังไปดู ทว่าเมื่อหันไป เขาถึงกับตะลึงงัน!
ไหนบอกว่าจะแยกกันไป? ไฉนพวกเจ้าทั้งสองคนจึงไปทางเดียวกันละ? ตั้งใจจะกันข้าออกมาใช่ไหม?!
ทันทีที่ทั้งสามแยกกันไป เจ้านั่นก็หยุดชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง มันนั่งยองลงบนพื้น พลางมองไปยังทิศทางที่แต่ละคนมุ่งหน้าไป ราวกับกำลังใคร่ครวญว่าจะไล่ตามใครดี
‘อย่าตามข้ามาๆๆๆ…’ ชิงเหยียนภาวนาอยู่ในใจ ทันใดนั้นเขาก็หันหลังไปมอง “อ๊ากกก! บอกแล้วไงเล่าว่าอย่าตามข้ามา!!! ทางโน้นมีตั้งสองคน! เจ้าตาบอดหรืออย่างไร!”
ชิงเหยียนหนีอย่างไม่คิดชีวิต เขาไม่เคยหาทางได้ถูกต้องเช่นนี้มาก่อน ภายใต้ความกดดันของเจ้าสัตว์ประหลาด เขาหาทางกลับไปยังเขาหมิงซานได้อย่างแม่นยำ!
กระนั้นเจ้านั่นก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ชิงเหยียนรู้สึกว่าเลือดในตัวของเขาพลุ่งพล่านจนไม่อาจควบคุมได้ เจ็ดทวารของเขามีเลือดไหล ผิวหนังของเขาไม่ได้บาดเจ็บ แต่กลับมีเลือดซึมออกมา
เขาไม่เคยพบเคยเห็นวิชามารเช่นนี้มาก่อน หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เขาคงจะกลายเป็นซากศพแห้งก่อนที่จะถูกมันจับได้
อันที่จริงไม่ใช่ชิงเหยียนเพียงคนเดียว แต่ลูกศิษย์วิหารเจาหยางคนอื่นๆ ก็เป็นเช่นนี้
“ศิษย์พี่ใหญ่! ดวงตาของท่าน!”
ลูกศิษย์คนโตของวิหารเจาหยางยกมือขึ้นลูบดวงตา “เลือด?!”
“ศิษย์พี่รอง! ท่าน…”
อันที่จริงเจ้าสัตว์ประหลาดนั่นอยู่ไกลจากวิหารเจาหยางมาก กระนั้นลูกศิษย์วิหารเจาหยางก็ยังมีเลือดออกจากทวารทั้งเจ็ดทีละคนๆ
ทุกคนล้วนแต่ตื่นตระหนก
ทันใดนั้น ชิงเหยียนก็นึกได้ว่าตนเองมีโซ่เหล็กนิลที่ใช้สำหรับจับหลัวช่าโลหิต เขาลูบเลือดบนใบหน้า แล้วใช้มือซึ่งอาบไปด้วยเลือดหยิบโซ่เหล็กที่เอวออกมา เขาร้องลั่น แล้วเหวี่ยงโซ่ไปด้านหลัง
เจ้าสัตว์ประหลาดคิดว่าเป็นยาโลหิต จึงมิได้หลบ และไม่ได้ใช้พลังป้องกัน จึงถูกโซ่เหล็กนิลพัน มันล้มลงไปดัง ‘ตึง’ แล้วกลิ้งลงไปในแม่น้ำด้านข้าง
ชิงเหยียนได้ยินเสียงน้ำ จึงชะงักไป ทันทีที่หันหลังกลับไป เมื่อเห็นว่าเจ้านั่นตกลงไปในน้ำ เขาจึงชักมีดออกมา และเมื่อมั่นใจแล้วว่าเจ้านั่นถูกโซ่เหล็กนิลมัดแน่นแล้ว จึงคิดว่านี่คือโอกาสทองที่จะจัดการมัน!
ถ้าหากสังหารมันได้ละก็…
ชิงเหยียนกำด้ามมีดแน่น สูดหายใจเข้าลึก เขาพุ่งไปริมแม่น้ำ เขามองผิวน้ำที่ค่อยๆ กระเพื่อม ถ้าหากให้เขาลงไปในน้ำเขาก็ไม่กล้า อย่างไรเสียเจ้านี่ก็ว่ายน้ำได้ เกรงว่าเขาจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ในน้ำของมัน แน่นอนว่าบนบกเขาก็สู้มันไม่ได้ แต่อย่างน้อยประสาทสัมผัสบนบกของมันย่อมดีกว่าใต้น้ำ
เขาทำได้เพียงรอให้มันลอยขึ้นมา แล้วจึงค่อยปักมีดลงไป
ไหนเลยจะรู้ว่าเขารอแล้วรอเล่า รอจนน้ำนิ่ง ก็ยังไม่เห็นวี่แววของมัน แม้แต่การเคลื่อนไหวใต้น้ำก็ไม่มี
“หรือว่ามันจะถูกโซ่เหล็กนิลมัดจนว่ายน้ำไม่ได้…จมน้ำไปแล้วหรือ?”
นอกจากคำอธิบายนี้แล้ว ชิงเหยียนก็ไม่อาจสรรหาคำอธิบายอื่นอีก
นอกจากนั้นเลือดของเขาก็หยุดไหลแล้ว ถ้าหากไม่ใช่เพราะมันตายไปแล้ว จะเป็นเพราะอะไร?
เพื่อความปลอดภัย ชิงเหยียนรออยู่ริมแม่น้ำอีกสักพัก เมื่อมั่นใจว่าไม่มีกลิ่นอายของหลัวช่าแล้ว จึงเก็บมีดกลับเข้าฝัก แล้วเดินยืดอกกลับไปยังวิหารเจาหยาง
หลังจากที่ชิงเหยียนจากไปไม่นาน ผิวน้ำที่ราบเรียบก็มีฟองอากาศผุดขึ้นมา จากนั้นเงาเส้นเล็กๆ ก็ลอยขึ้นมาบนผิวน้ำ มือซูบผอมคว้าใบหญ้าริมฝั่ง แล้วขึ้นมาจากน้ำ…
ชิงเหยียนมาถึงวิหารเจาหยางเป็นคนแรก อิ่งลิ่วและอิ่งสือซันยังคงอยู่ระหว่างทาง
อวี๋หวั่นรู้เรื่องที่พวกเขาไปยังเขตหวงห้ามของสกุลซางในภายหลัง เมื่อเห็นว่าชิงเหยียนกลับมาเพียงคนเดียว จึงรีบถามว่า “อิ่งลิ่วกับอิ่งสือซันละ?”
ชิงเหยียนตบอก แล้วพูดอย่างไม่รีบร้อนว่า “พวกเขาไม่เป็นไร วางใจเถิด ข้าสังหารหลัวช่าไปแล้ว!”
“อะไรนะ? หลัวช่าโลหิตตายแล้ว?” อวี๋หวั่นมองเขาอย่างเหลือเชื่อ
ชิงเหยียนเลิกคิ้ว “แน่นอนอยู่แล้ว ข้าฆ่ามันเองกับมือ! โชคดีที่มีโซ่เหล็กนิลที่อาม่าให้มา ไม่เช่นนั้นข้าคงตายไปแล้ว!”
อวี๋หวั่นลูบคาง “หลัวช่าโลหิตฆ่าตายได้ง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ?”
ชิงเหยียนหัวเราะ “ที่จริงก็นับว่าบังเอิญ มันคิดว่าข้าโยนยาโลหิตให้ จึงไม่ได้หลบ และถูกโซ่เหล็กนิลมัดเข้าให้เต็มๆ”
อวี๋หวั่นแบมือออกมา “ศพเล่า?”
คนเป็นย่อมเห็นคน คนตายย่อมเห็นศพ
ไม่เช่นนั้นจะให้เธอเชื่อได้อย่างไรว่าหลัวช่าที่เก่งกาจจะตายง่ายถึงเพียงนี้
ชิงเหยียนพูดว่า “อยู่ที่แม่น้ำด้านล่างเขาหมิงซานนี่เอง หากเจ้าไม่เชื่อก็ส่งคนไปงมขึ้นมา! มันถูกโซ่เหล็กนิลมัดไว้ ลอยไปได้ไม่ไกลหรอก!”
อวี๋หวั่นส่งคนไปจริงๆ ลูกศิษย์วิหารเจาหยางช่วยกันงมอยู่นาน แต่กลับพบเพียงโซ่เหล็กนิล และไม่พบแม้แต่เงาของหลัวช่าโลหิต!
ชิงเหยียนตื่นตะลึงจนพูดไม่ออก “ปะ…เป็นไปได้อย่างไร เห็นชัดๆ ว่ามัน…”
นัยน์ตาของอวี๋หวั่นแข็งกร้าว “โซ่เหล็กนิลขาดขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่าทำอะไรเขาไม่ได้ หลัวช่าคนนี้แข็งแกร่งกว่าที่เราคิดไว้”
ชิงเหยียนยกมือขึ้นกุมขมับ เขาเข้าใจแล้วว่ามันแกล้งตาย เจ้านั่นเป็นหลัวช่าที่มีสมอง!
ชิงเหยียนเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจเสียแล้ว “แย่แล้ว มันต้องลอบเข้ามาในเขาหมิงซานแล้วเป็นแน่!”
“ต้าเป่า~เสี่ยวเป่า~ พวกเจ้าอยู่ที่ไหน?” เอ้อร์เป่าถือขวดนมของตนเองไว้ในมือ เขายืนอยู่หน้าประตูวิหารเจาหยาง ดวงตาบ้องแบ๊วของเขามองไปรอบๆ
เสี่ยวเป่าแลบลิ้นให้เอ้อร์เป่าอย่างได้ใจ แบร่ๆๆ! หาไม่เจอหรอกๆ!
เอ้อร์เป่าหูผึ่ง “ข้าได้ยินเสียงเสี่ยวเป่า!”
เสี่ยวเป่ารีบปิดปาก เขามองไปยังเอ้อร์เป่าซึ่งกำลังเดินเข้ามา จากนั้นก็ส่งสายตาให้ต้าเป่า ชี้มือชี้ไม้ไปยังต้นไม้ใหญ่ บอกเป็นนัยว่าให้ต้าเป่าไปหลบตรงนั้นกับตน
ต้าเป่าพยักหน้า
เสี่ยวเป่านำหน้าไปก่อน เขาเข้าไปหลบด้านหลังต้นไม้ใหญ่ จากนั้นจึงกวักมือเรียกต้าเป่า มาเร็ว! มานี่เร็ว!
เอ้อร์เป่าเดินเข้ามาใกล้แล้ว
ต้นไม้ต้นนี้ไม่ปลอดภัยอีกต่อไป
เสี่ยวเป่าวิ่งเตาะแตะไปยังต้นไม้ใหญ่อีกต้นหนึ่ง แล้วหลบอยู่ด้านหลังพลางหัวเราะสะใจ
ร่างซึ่งสูงกว่าเสี่ยวเป่าไม่เท่าไรก็เคลื่อนเข้ามาใกล้ น้ำหยดเปาะแปะลงมา
เสี่ยวเป่าคว้ามือของเขาไว้ แล้วพากันวิ่งออกไปโดยไม่แม้แต่จะหันหลังมามอง “เร็ว! เอ้อร์เป่ามาแล้ว! รีบไปเร็ว!”
ร่างเล็กด้านหลังจูงมืออวบของเสี่ยวเป่า จากนั้นก็แลบลิ้นเลียปาก
………………..