มารดาของอวิ๋นเฟยด่วนจากไป บิดาก็มิได้รักใคร่เอ็นดูนางมากนัก มิใช่นางไม่เคยสงสัย ว่าตนอาจไม่ใช่บุตรแท้ๆ นายท่านเฉินมีหน้าตาอัปลักษณ์เช่นนั้น มองอย่างไรก็ไม่เหมือนผู้ที่สามารถให้กำเนิดบุตรสาวผู้งดงามดั่งดอกไม้เช่นตนได้
แต่นั่นก็เป็นเพียงความคิดไร้สาระ ไม่นึกว่าจะเป็นจริง
ยามที่บุรุษผู้อ้างว่ามาจากหมิงตูปรากฏตัวต่อหน้านาง นางตกตะลึงนิ่งค้าง
นางก็คิดอยู่ว่า นางงดงามเช่นนี้ต้องมีเหตุผล
รูปร่างหน้าตาของนางไม่นับว่าเหมือนมารดานัก ทว่ากลับเหมือนบิดายิ่งนัก!
แม้ซือคงเย่มีอายุปูนนี้ ก็ยังดูราวกับเทพเซียน ยามหนุ่มยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง เขาเป็นบุรุษงดงามอันดับหนึ่งแห่งหมิงตู สตรีที่อยากแต่งงานกับเขาเกือบทำให้ธรณีประตูจวนซือคงแทบพัง
ทว่าในใจของเขาก็มีเพียงสตรีศักดิ์สิทธิ์หลานอี สตรีอื่นไม่เคยอยู่ในสายตาเขาแม้แต่น้อย
แต่แม้ว่าเขากับสตรีศักดิ์สิทธิ์หลานอีต่างรู้อยู่แก่ใจ พวกเขาทั้งสองถูกกำหนดให้รักแต่ไม่อาจอยู่ด้วยกันได้ นางมีสกุลหลานที่ต้องปกป้อง เขาก็มีสกุลซือคงที่ต้องปกป้อง คำสอนบรรพชนของตระกูลราวกับช่องว่างที่ไม่มีทางข้ามไป กระทั่งนางถูกคนคิดร้าย เขายอมเสี่ยงที่จะทรยศต่อตระกูลเพื่อปล่อยนางไป
นางบอกว่าเจ็บสั้นดีกว่าเจ็บยาว นับจากนี้ไป ให้ลืมเลือนกันและกัน
ไหนเลยเขาจะรู้ว่า นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้พบหน้าหลานอี
แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าในท้องของหลานอีมีเนื้อเลือดของตนแล้ว?
ในตำหนักอันแวววาวพราวระยับ ซือคงเย่จ้องมองบุตรสาวเนิ่นนาน จริงอยู่ที่รูปลักษณ์ของอาซูน้อยกับอวี๋หวั่นคล้ายกับหลานอีมากกว่า แต่ไม่รู้จะอธิบายเช่นไร เขามองเห็นเงาของหลานอีบนตัวของอวิ๋นเอ๋อร์
เรื่องเกี่ยวกับอวิ๋นเอ๋อร์และอาซูน้อย พวกอวี๋หวั่นและฉิวปิ่งเล่าให้เขาฟังไม่ขาด เขาไม่เคยรู้เลยว่าพวกนางสองมารดาบุตรสาวจะชีวิตที่ลำบากเช่นนี้ ชีวิตของอวิ๋นเอ๋อร์ในสกุลเฉินยังไม่นับว่าทุกข์ทรมานนัก เพราะนางเป็นบุตรีอนุภรรยา นอกจากหน้าตาที่งดงามแล้ว สถานะของนางก็มิได้เลวร้าย ทว่าตั้งแต่พบกับองค์ประมุขที่ยังเป็นรัชทายาท ก็เป็นจุดเริ่มต้นความโชคร้ายในชีวิตของนาง
ถูกคนปองร้ายตั้งแต่เล็ก ไร้ที่พึ่งพิงในวังหลวงกินคน ทนทุกข์ทรมานจากความเย็นชาขององค์ประมุข และแผนร้ายของฮองเฮา แต่นี่ยังไม่ใช่สิ่งที่น่าเศร้าที่สุด การสูญเสียบุตรของตนคือความเจ็บปวดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในใจของผู้เป็นมารดา
เมื่อคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับบุตรสาวของเขากับหลานอี หัวใจของเขาก็เจ็บปวดอย่างยิ่ง
อวิ๋นเฟยปลงได้แล้ว แม้ในปีแรกๆ นางจะทุกข์ทรมาน ทว่าบัดนี้นางสบายดีทุกอย่าง บุตรสาวของนางก็ดี ได้พบบุรุษที่รักจริง อาหวั่นก็แต่งงานกับสามีที่รับผิดชอบดูแล กระทั่งมีบุตรชายที่ดี ยิ่งเป็นเรื่องที่น่าพึงพอใจที่สุด
หากกล่าวว่ายังมีเรื่องวุ่นวายใจใดอีก ก็คงเป็นองค์ประมุขที่สลัดอย่างไรก็ไม่ออกผู้นี้!
แต่ทว่า บิดาที่ลงมาจากฟ้า ดูเหมือนจะทรงพลังมากยิ่งนัก—
อวิ๋นเฟยเบิกตากว้างกะพริบมองดูบิดา
ไม่ว่าอวิ๋นเฟยจะอายุเท่าใดก็ยังเป็นเด็กในสายตาของซือคงเย่ บุตรสาวเพียงคนเดียวของเขากับหลานอี ซือคงเย่รู้สึกว่าอวิ๋นเฟยช่างน่ารักน่าชัง เขามองดูนางด้วยสายตาหลงใหลเอ็นดู
บิดาและบุตรสาวต่างสบสายตา องค์ประมุขที่อยู่ด้านข้างถูกละเลยสิ้นเชิง เขาหยุดอยู่ตรงนี้มาเนิ่นนานจนเอวชราเริ่มเจ็บปวด
องค์ประมุขรู้สึกว่าถึงเวลาที่ต้องแสดงถึงการมีอยู่ของเขาแล้ว จึงกระแอมและกล่าวว่า “เอ่อ…”
“หุบปาก!”
“หุบปาก!”
ทันทีที่เขาเอ่ยปาก สองบิดาบุตรสาวก็เอ่ยพร้อมกันโดยไม่แม้แต่หันกลับมามอง และมองหน้ากันอย่างผูกพันรักใคร่ต่อไป
องค์…องค์ประมุขหุบปากลงอย่างคับแค้น
เขาคิดจะบันดาลโทสะอาละวาดคน ทว่าน่าเสียดายที่องครักษ์วังหลวงทั้งหมดถูกบุรุษที่อ้างว่าเป็นบิดาของอวิ๋นเฟยกดควบคุมไว้
องค์ประมุขระทมขมขื่นแต่ไม่อาจพูดออกมา
จ๊อก~
ท้องของอวิ๋นเฟยร้อง
“อวิ๋นเอ๋อร์หิวแล้วสินะ อยากกินอะไรละ?” ซือคงเย่ถามอย่างเอ็นดู
“หมูตุ๋น” อวิ๋นเฟยกล่าว
“แม่ของเจ้ายามนั้นก็ชอบกินหมูตุ๋น ดูเหมือนว่าเจ้ากับอาซูจะชอบตามนางเสียแล้ว” ซือคงเย่กล่าวด้วยรอยยิ้ม หันมาสั่งนางข้าหลวงที่อยู่ด้านข้างอย่างเฉยเมย “ยังไม่รีบไปทำหมูตุ๋นอีก? แล้วก็เอาขาหมูหมัก เป็ดทอดกรอบ ไก่หลิงหลง ปลากระพงนึ่ง และเนื้อแพะตุ๋นแดงมาด้วย”
“เจ้าค่ะ!” นางข้าหลวงรีบร้อนผลุนผลันออกไป นางเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเหตุใดต้องฟังคนแปลกหน้าผู้นี้ด้วย!
องค์ประมุข “……”
เจ้าบุกเข้าวังมาโดยไม่ได้รับอนุญาตยังพอว่า ยังตะคอกบงการบริวารข้า! ตกลงผู้ใดเป็นเจ้าแห่งวังหลวงกันแน่?!
“เมื่อครู่ เจ้าตะโกนใส่อวิ๋นเอ๋อร์ของข้าจากนอกห้องหรือ?” ในที่สุดซือคงเย่ก็หันมาให้ความสนใจกับองค์ประมุขผู้ถูกทอดทิ้งมานานกว่าครึ่งชั่วยาม
แม้ว่าองค์ประมุขจะเป็นถึงผู้ปกครองแห่งหนานจ้าว แต่สำหรับทายาทผู้ยิ่งใหญ่แห่งชนเผ่าพ่อมด ก็เป็นเพียงองค์ประมุขพื้นเมืองคนหนึ่ง ซือคงเย่ไม่เห็น ‘บุตรเขย’ ผู้นี้อยู่ในสายตา
องค์ประมุขถูกจับจ้องด้วยสายตาเย็นชาของพ่อตาจนเหงื่อเย็นผุดพราย เขาอยากสำแดงเดชศักดิ์ศรีองค์ประมุขของตน แต่ก่อนที่ความคิดนั้นจะแล่นผ่านไป ก็รู้สึกว่าเข่าของตนอ่อนแรงลงเล็กน้อย
เขาคือคนที่ใช้พลังกดดันเพียงครั้งเดียว ก็สามารถควบคุมคนได้ทั้งวังหลวง หากเขาขยับนิ้ว เกรงว่าจะสามารถกวาดล้างได้ทั้งเมืองหลวง
เพื่อความปลอดภัยของผู้คนในเมืองหลวง องค์ประมุขจึงตัดสินใจกลืนความโกรธของตนลงไปจนหมดสิ้น ยืนกรานไม่ยอมรับว่าเป็นความหวาดกลัวของตน!
“ไม่รู้ว่าท่านพ่อตาจะมาเมืองหลวง ขออภัยที่ไม่ได้ไปต้อนรับ” เขากระแอมกล่าว
“ผู้ใดเป็นพ่อตาของเจ้า? ข้ายอมรับเจ้าเป็นลูกเขยแล้วรึ?” ซือคงเย่ตอบกลับเขาอย่างไม่สบอารมณ์ จิ่วเฉากับเป่ยอวี้ยังน่ารักเสียกว่า ไม่ว่ามองอย่างไรก็น่าเชื่อถือกว่าบุรุษผู้นี้นัก
องค์ประมุขผุดเหงื่อเย็นและกล่าวว่า “เสิ่นอวิ๋นเป็นฮองเฮาของข้า…”
“ข้าไม่ได้ตกลงที่จะเป็นฮองเฮาของเจ้า!” อวิ๋นเฟยกลอกตา ยามไม่มีบิดาหนุนหลังนางยังสร้างปัญหาไม่เว้นวัน บัดนี้มีบิดาที่แข็งแกร่งคอยให้ท้าย ยิ่งลำพองตนกว่าเดิม!
“ข้าบอกแล้วว่า ข้าจะแยกห่างกับเจ้า!” นางกล่าวด้วยสองมือกอดอก
ซือคงเย่ฮึดฮัด “ได้ยินหรือไม่? บุตรสาวของข้าจะหย่ากับเจ้า!”
มุมปากขององค์ประมุขกระตุก เห็นๆ ว่านางขอห่าง เหตุใดถึงกลายเป็นขอหย่าในปากชราของท่านไปได้? เขาเป็นถึงองค์ประมุข จะถูกคนขอหย่าได้อย่างไร? ขอห่างก็ไม่ได้ เข้าใจรึไม่!
นี่คือพ่อตา (ยอดฝีมือ) ตัวจริง ไม่อาจแสดงความโกรธ!
องค์ประมุขสูดหายใจเข้าและกล่าวอย่างจริงจังว่า “ท่านพ่อตา ข้ารู้ว่าในอดีต ข้าทำผิดหลายสิ่ง ข้าไม่ควรเข้าใจผิดเสิ่นอวิ๋น ไม่ควรหลงเชื่อคนใจคด เป็นข้าที่ทำให้พวกนางสองแม่ลูกต้องลำบาก ข้าเสียใจกับเรื่องนี้ ข้าจะชดเชยให้เสิ่นอวิ๋นกับอาซูอย่างดี”
“เจ้าบอกว่าจะชดเชยก็ชดเชยได้หรือ? เจ้าเคยถามบุตรสาวข้า ว่านางยินดีรับมันหรือไม่บ้างไหม?” ทำให้บุตรสาวของเขาต้องเสียใจมาทั้งชีวิต ยังทำให้อาซูบุตรแท้ๆ ต้องระเห็จไปอยู่ในเผ่าปีศาจ สุดท้ายมากล่าวว่าชดเชยประโยคเดียวก็จบหรือ? เขาอยากถามนัก ว่าจะเอาสิ่งใดมาชดเชย?
ตำแหน่งฮองเฮารึ?
เป็นถึงลูกหลานของชนเผ่าพ่อมด บุตรีแห่งหมิงตู มีหรือต้องเสียดายตำแหน่งฮองเฮาของหนานจ้าว?!
อวิ๋นเอ๋อร์ของเขาต้องการโลกทั้งใบ เขาก็จะเอามาให้นาง! ต้องให้บุรุษไม่จริงใจผู้หนึ่งมาให้ทานวังหลังเล็กๆ นี่น่ะรึ?!
คราวนี้นับว่าองค์ประมุขถูกสั่งสอนจริงๆ หลังจากรู้ว่าตนถูกฮองเฮากับอวี่เหวินจ้าวรวมหัวกันวางแผน เขาก็ตื่นรู้ ตระหนักว่าหลายปีที่ผ่านมาตนทำผิด ตั้งแต่ต้นจนจบอวิ๋นเฟยเป็นผู้บริสุทธิ์ เขามองเห็นความดีของอวิ๋นเฟย และยินดีที่จะใช้ทั้งชีวิตที่เหลือ ปฏิบัติต่ออวิ๋นเฟยเช่นสมบัติล้ำค่า
แต่มีประโยคหนึ่งที่ซือคงเย่กล่าวถูกต้อง เขาไม่เคยถามอวิ๋นเฟยจริงๆ มีความดีประเภทหนึ่ง ที่เรียกว่า ‘องค์ประมุขคิดว่าดีสำหรับเจ้า’ หรืออาจเพราะเหตุผลที่อวิ๋นเฟยไม่มีฝั่งมารดาหนุนหลัง เขาคิดว่าขอเพียงให้อวิ๋นเฟยอาละวาดจนพอใจ สุดท้ายก็คงยอมอ่อนให้ตนสักวัน
ไหนเลยจะรู้ว่าวันนั้นยังไม่มาถึง พ่อตาก็มาหาเสียก่อน
พ่อตาผู้นี้ไม่ธรรมดา ทันทีที่พบหน้าก็ทำให้เขาต้องคุกเข่าลง
ซือคงเย่ทำสัญญาณมือ จิงหงยกสิ่งของเข้ามากองใหญ่
ซือคงเย่กล่าวอย่างเฉยเมย “เห็นแก่ต้าเป่า เอ้อร์เป่าและเสี่ยวเป่า ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า ถึงละเว้นโทษตาย แต่ความผิดยากหลีกหนี กระดานซักผ้า ไม้นวดแป้ง ไม้เรียว เจ้าเลือกเองเถอะ คุกเข่าจนกว่าบุตรสาวของข้าจะหายโกรธเจ้า!”
องค์ประมุขคิ้วกระตุก เขาเป็นถึงองค์ประมุขของประเทศ! เขาไม่คุกเข่า!
หนึ่งชั่วยามต่อมา อวิ๋นเฟยและซือคงเย่กินอาหารเย็นที่ห้องโถง อวิ๋นเฟยกวาดหมูตุ๋นไปสามจาน ในขณะที่ซือคงเย่จดจ่อกับการแกะก้างปลาและกระดูกไก่ให้นาง
องค์ประมุขคุกเข่ากับกระดานซักผ้าอยู่นอกประตู ถูกลมหนาวพัดโชยจนร่างกายสั่นสะท้าน “ขอถามท่านพ่อตา ลูกเขยผู้นี้ลุกได้หรือยัง?”
ซือคงเย่มองอวิ๋นเฟย “หากเจ้าคิดว่าเขาน่าสงสาร ก็ให้เขาลุกขึ้น”
แม้ว่าเขาอยากจะฆ่ามากเพียงใด แต่ความต้องการของบุตรสาวสำคัญที่สุด เขาจะไม่ยัดเยียดความคิดของตนให้บุตรสาว
“ผู้ใดสงสารเขา?” อวิ๋นเฟยไม่สงสารเขาหรอก! ยามนั้นนางคุกเข่าท่ามกลางหิมะ ขอร้องให้เขาอย่าเนรเทศอาซูไปในวันที่หิมะตก เขาก็ไม่สงสารนางกับอาซู! นึกถึงตนที่ถูกฮองเฮาอันเป็นที่รักของเขารังแกมานานหลายปี และนึกถึงอาซูในวัยสี่ขวบที่ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ที่เผ่าปีศาจ อวิ๋นเฟยก็ยิ่งอยากให้บุรุษผู้นี้คุกเข่าอีกสามวันสามคืน!
อวิ๋นเฟยดูดหมูตุ๋นคำหนึ่ง แล้วทำเสียงฮึดฮัด “ให้เขาคุกเข่าไป!!!”
…………………………