แผนที่เผ่าพ่อมดถูกอิ่งลิ่ววาดออกมาบนกระดาษ ไม่มีผู้ใดรู้ว่าลูกปัดนี้มีอายุมานานเพียงใด จึงไม่มีผู้ใดสามารถค้นหาได้ว่า แผนที่นี้จะยังนำทางไปยังเผ่าพ่อมดได้หรือไม่
หรือรอให้พวกเขาไปค้นหาจริงๆ จะยังมีสิ่งที่เรียกว่าเผ่าพ่อมดอยู่หรือ?
แต่ไม่ว่าอย่างไร ตราบใดที่มีโอกาสเพียงน้อยนิด พวกเขาก็จะไม่ยอมแพ้
การจากไปของเสี่ยวเจาทำให้อวี๋หวั่นรู้สึกเศร้าอยู่ช่วงหนึ่ง ยามนึกถึงเด็กน้อยผอมแห้งผู้นั้น เด็กน้อยที่รู้จักทำตัวออดอ้อนแอ๊บแบ๊วในอ้อมแขน หัวใจของอวี๋หวั่นก็อาลัยอาวรณ์หนักหนา
“แล้วพบกันใหม่นะ…” อวี๋หวั่นพึมพำพลางเก็บเสื้อผ้าตัวเล็กที่เป็นของเสี่ยวเจา
ไข่ดำน้อยทั้งสามก็โศกเศร้าอยู่ไม่น้อย เมื่อตื่นมาน้องชายก็ไม่อยู่แล้ว ผู้ใดจะเข้าใจความเจ็บปวดของพวกเขา?
“อีกหน่อยพวกเจ้าโตขึ้น ก็ไปหาน้องเสี่ยวเจาได้แล้ว” อวี๋หวั่นกล่าวพลางลูบหัวทั้งสาม
ทั้งสามพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “อื้ม!”
…
อิ่งลิ่วใช้เวลาทั้งคืน ในที่สุดก็วาดแผนที่ของเผ่าพ่อมดออกมาได้สำเร็จ หมิงตูก็อยู่ในแผนที่เช่นกัน แต่ไม่ได้มีเครื่องหมายใดๆ กลับทำสัญลักษณ์ที่เผ่าปีศาจเดิมแทน อันที่จริงก็ไม่มีสิ่งใดน่าแปลกใจ ยามที่บรรพชนของสกุลซือคงสร้างแผนที่นี้ ก็ไม่คาดคิดว่าคนรุ่นหลังจะย้ายเมืองหลวง
“แผนที่เมื่อพันปีที่แล้ว ยังใช้ได้จริงหรือ? ต้นกล้าเล็กๆ ก็เติบโตเป็นป่าใหญ่ บ่อน้ำเล็กๆ ก็รวมกันเป็นลำธารแล้ว จะหาเจอได้อย่างไรละ?” ชิงเหยียนถือแผนที่ กล่าวด้วยใบหน้าหงุดหงิด
ตรงข้ามเขาคืออวี๋หวั่นกับอิ่งลิ่ว
“เจ้านี่!” อิ่งลิ่วฉวยแผนที่มา หากไม่มีหมิงตูและเผ่าปีศาจบนแผนที่ การค้นหาเส้นทางที่ถูกต้องอาจเป็นเรื่องยากยิ่ง ทว่าในเมื่อมีทั้งสอง ก็สามารถอิงตามระยะห่างระหว่างทั้งสองเป็นอัตราส่วนบนแผนที่ ขั้นแรก ประมาณขนาดของเขาแต่ละลูกและป่าแต่ละผืนออกมา แม้ว่าภูมิประเทศจะเปลี่ยนไป ทว่าระยะทางและทิศทางไม่มีทางเปลี่ยนแปลง
แน่นอนการพูดนั้นง่ายดาย ทว่าเมื่อลงมือทำจริง กลับทดสอบความสามารถในการคิดคำนวณในใจและการสังเกตของคนอย่างยิ่งยวด
“เจ้าแน่ใจหรือ?” อวี๋หวั่นถาม
“อื้ม” อิ่งลิ่วพยักหน้า “มีคุณชายกับอิ่งสือซันคอยชี้แนะข้างกาย มิใช่ปัญหาใหญ่”
อวี๋หวั่นเอ่ยอย่างแผ่วเบา “เช่นนั้นก็ดี คืนนี้ทุกคนพักผ่อนให้เต็มที่ พรุ่งนี้เช้าเราจะออกเดินทางกัน จริงสิ สถานการณ์ของซิวหลัวกับอาเว่ยเป็นอย่างไรบ้าง?”
ทั้งสองปิดตัวจำศีลภาวนามาหลายวันแล้ว แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะออกมา
เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ ชิงเหยียนก็ทั้งสุขทั้งเศร้า สุขที่ทั้งสองปิดตัวภาวนาได้นานถึงเพียงนี้ ขอบเขตพลังคงพัฒนาจนแข็งแกร่งกว่าที่คิดไว้ และเศร้าที่พวกเขากำลังจะออกเดินทางแล้ว ทว่าทั้งสองก็ยังไม่ออกมา จะทำเช่นไรดีละ?
“อาการของคุณชายไม่อาจล่าช้า…” อิ่งลิ่วกล่าวอย่างอ้อมค้อม
“ข้ารู้น่า! ข้าถึงกังวลไง!” ชิงเหยียนแทบจะร้องไห้
“หรือไม่…” อิ่งลิ่วมองไปที่อวี๋หวั่น อวี๋หวั่นส่ายหัว จะรอก็ไม่อาจรอได้ การเดินทางไปเผ่าพ่อมด เป็นอันตรายหรือไม่ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ หมิงตูเล็กๆ ยังเป็นเสือหมอบมังกรซ่อนเช่นนี้ หากเผ่าพ่อมดดั้งเดิมยังมีชาวเผ่าพ่อมดอาศัยอยู่จริง คงไม่ง่ายที่จะจัดการมากไปกว่าหมิงตู ดังนั้น การมียอดฝีมือเพิ่มมาอีกหนึ่งคนจะเป็นประโยชน์กับพวกเขาอย่างยิ่ง
“พรุ่งนี้เช้าค่อยวางแผนกันอีกที พวกเจ้ารีบไปพักผ่อนเถอะ ข้าก็จะกลับห้องแล้ว” อวี๋หวั่นกล่าวจบ ก็ลุกขึ้นออกจากห้องของอิ่งลิ่วและอิ่งสือซัน
ยามเดินไปถึงสวนเล็ก ซือคงฉางเฟิงก็ออกมา
“อาหวั่น” ซือคงเย่ก็มาเช่นกัน
อวี๋หวั่นมองซือคงฉางเฟิงจากนั้นก็มองซือคงเย่ และกล่าวทักทาย “ท่านตาทวด คุณชายซือคง พวกท่านมาหาข้าหรือ?”
ทั้งสองส่งเสียงอืม ซือคงฉางเฟิงทำความเคารพซือคงเย่ “คารวะท่านปรมาจารย์”
ซือคงเย่พยักหน้าเบาๆ เหลือบมองเขาแล้วกล่าวว่า “อวี๋หวั่น ดึกกว่านี้อีกหน่อยมาที่ห้องของข้า”
“เจ้าค่ะ” อวี๋หวั่นตอบ
ซือคงเย่เดินกลับไปที่ห้อง
คราแรกซือคงฉางเฟิงคิดว่าจะให้ปรมาจารย์ได้คุยกับอวี๋หวั่นก่อน แล้วตนรออยู่ด้านนอก ไม่นึกว่าปรมาจารย์จะเมตตาถึงเพียงนี้ ยอมให้โอกาสเขาก่อน
ดูเหมือนว่าหลังจากพวกอวี๋หวั่นมาที่นี่ ปรมาจารย์ก็มีน้ำใจและพูดง่ายขึ้น
ซือคงฉางเฟิงชื่นชมยินดีกับความเปลี่ยนแปลงของปรมาจารย์ แต่เมื่อถึงยามต้องจาก เขาก็รู้สึกเศร้าเล็กน้อย
ดวงตาของเขาหม่นแสง ทอดถอนใจและกล่าวว่า “อาหวั่น พวกเจ้าต้องไปแล้วใช่หรือไม่?”
“อื้ม” อวี๋หวั่นกล่าว “พบแผนที่ของเผ่าพ่อมดแล้ว เราจะออกเดินทางพรุ่งนี้เช้าเจ้าค่ะ”
ซือคงฉางเฟิงเงยหน้าขึ้นมองเธอฉับพลัน “เร็วขนาดนี้เชียวหรือ? ไม่อยู่ต่ออีกสองสามวัน?”
อวี๋หวั่นส่ายหัวน้อยๆ “พิษของเยี่ยนจิ่วเฉาไม่สามารถรอช้า ต้องรักษาโดยเร็วที่สุด”
“พิษไป๋หลี่เซียง เป็นพิษที่ถอนยากที่สุดในโลก” ซือคงฉางเฟิงขมวดคิ้ว เขาหวังอย่างยิ่งให้อวี๋หวั่นอยู่ต่อ ไม่เพียงเพราะในท้องของเธอมีสายเลือดราชาสตรีศักดิ์สิทธิ์ แต่สกุลหลานและหมิงตูต่างก็ต้องการเธอ และเพราะว่า…จริงๆ แล้วเขาก็ไม่อยากแยกจากเธอ ทว่าความรู้สึกนี้ทำได้เพียงเก็บซ่อนไว้ในใจเงียบๆ เท่านั้น
“ขอบคุณที่มาบอกลาข้า” อวี๋หวั่นยิ้มเล็กน้อย
อวี๋หวั่นประทับใจในตัวซือคงฉางเฟิงไม่น้อย แม้ว่าเขาจะเกิดในตระกูลที่สูงส่ง แต่กลับไม่มีนิสัยเสียเช่นคุณชายประจำตระกูลอื่น และไม่ยอมทอดทิ้งตนเองเพราะความอยุติธรรมที่เขาได้รับตั้งแต่เด็ก เขาเติบโตมาเป็นคนซื่อตรงจิตใจงาม คู่ควรที่สตรีที่ดีที่สุดในหมิงตูจะวางใจฝากชีวิต
“ข้าหวังว่าครั้งหน้าข้ากลับมา จะได้พบพี่สะใภ้แล้ว” เธอกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ซือคงฉางเฟิงตกตะลึง อาหวั่น…ยอมรับลูกพี่ลูกน้องเช่นเขาแล้วหรือ?
เพราะตกใจมากเกินไป จึงลืมบอกว่าไม่มีสตรีคนใดทำให้เขาหวั่นไหวได้
“ท่านพี่ดูแลตัวเองด้วย” อวี๋หวั่นค้อมกาย
“ช้าก่อน!” ซือคงฉางเฟิงได้สติกลับมา ก็จำได้ว่าเขามาหาเธอด้วยเรื่องใด “มัวคุยกับเจ้า จนเกือบลืมเรื่องสำคัญไป”
“หือ?” อวี๋หวั่นมองเขาด้วยความประหลาดใจ
เขาหยิบม้วนคัมภีร์ออกมาจากแขนเสื้อแล้วยื่นให้อวี๋หวั่น “วาดไม่สวยนัก ข้าต้องขอโทษด้วย”
อวี๋หวั่นรับม้วนคัมภีร์มา แกะเชือกแล้วค่อยๆ กางออก กลิ่นน้ำหมึกเข้มข้นพุ่งปะทะจมูก
ภาพวาดของเด็กน้อยสี่คนที่สวมชุดดอกไม้ บนหัวมีดอกไม้สีแดงขนาดใหญ่ เขียนคิ้วสูง ริมฝีปากสีแดงเพลิง ไข่ดำน้อยทั้งสามและไข่หลัวช่าเอามือเท้าเอว เงยหน้าระเบิดหัวเราะ ราวกับได้ยินเสียงหัวเราะนั้นผ่านออกมาจากกระดาษ
อวี๋หวั่นหัวเราะเบาๆ ดวงตามีน้ำใสเอ่อคลอเล็กน้อย “ขอบคุณมากเจ้าค่ะ”
เธอกล่าวขอบคุณสองครั้ง ครั้งแรกเป็นเพียงมารยาท ครั้งนี้เป็นการขอบคุณที่มาจากใจจริง
…
หลังจากอำลาซือคงฉางเฟิงแล้ว อวี๋หวั่นก็ไปที่ห้องของซือคงเย่
ยามที่ราชาหลัวช่ายังอยู่ ห้องนี้มักดูมีชีวิตชีวา ทั้งสองทะเลาะกันที่ปลายเตียง ทุกๆ วันสิ่งของในห้องต้องแตกสองสามชิ้น ทำเอาบรรดาลูกศิษย์ต่างปวดหัว ยามนี้ราชาหลัวช่าจากไปแล้ว ไม่มีของชิ้นใดพังเสียหาย ทว่าทุกคนกลับยินยอมให้สิ่งของต่างๆ ยังแตกหักต่อไป
“ท่านตาทวด” อวี๋หวั่นเรียกเบาๆ
ซือคงเย่หลับไปพร้อมกับป้ายวิญญาณของสตรีศักดิ์สิทธิ์หลานอีในอ้อมแขน
พลังของเขาในยุครุ่งเรือง มีหรือจะไม่สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของคนที่เข้ามา?
อวี๋หวั่นเดินไปห่มผ้าห่มให้เขาอย่างเบามือ บัดนี้เธอได้รู้สึกว่าบุรุษผู้นี้แก่ชราแล้ว เขาปกป้องคุ้มครองหมิงซานและสกุลซือคงมาทั้งชีวิต ถึงเวลาที่เขาควรได้รับการดูแลจากคนอื่นเสียที
อวี๋หวั่นเฝ้าอยู่หน้าเตียงครู่หนึ่ง ห่มผ้าห่มให้เขาอยู่หลายครั้ง จนกระทั่งเข้าสู่ราตรีดึก เขาหลับสนิทแล้ว อวี๋หวั่นจึงลุกและเดินจากไป
วันรุ่งขึ้น พวกอวี๋หวั่นวางแผนที่จะออกเดินทาง
ซิวหลัวและอาเว่ยยังคงไม่ออกจากการจำศีล อวี๋หวั่นกับเยี่ยนจิ่วเฉาพูดคุยกันและตัดสินใจให้ชิงเหยียนกับเยว่โกวอยู่ต่อ รอซิวหลัวและอาเว่ยออกจากพิธี แล้วค่อยเดินทางไปยังเผ่าพ่อมดด้วยกัน
“เราจะทิ้งสัญญาณไว้ตลอดทาง อาเว่ยใช้หนอนกู่ตามรอยเรามาได้” อวี๋หวั่นกล่าวกับชิงเหยียนและเยว่โกว
ทั้งสองพยักหน้าอย่างอาลัยอาวรณ์
“ฝากอาม่าด้วย อาหวั่น ดูแลเขาให้ดีนะ” ชิงเหยียนกล่าวอย่างเคร่งขรึม
พวกเขาอดเป็นห่วงอวี๋หวั่นและอาม่าที่แก่ชราไม่ได้ ทว่าอาม่าจำต้องไป เพราะเขาเป็นคนเดียวที่รู้เรื่องเผ่าพ่อมดและเผ่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ดีที่สุด
“ข้าคงไม่ต้องไปแล้วกระมัง” ชุยเฒ่าลูบจมูกอย่างโกรธเคือง “หากเด็กนั่นพิษกำเริบอีก นอกเสียจากจะมียาถอนพิษ ต่อให้หว้าถัว[1]ยังมีชีวิตอยู่ก็ไม่อาจช่วยเขาได้”
อิ่งลิ่วระเบิดอารมณ์ “เช่นนั้นเจ้าก็ตามไปทำยาถอนพิษสิ!”
ชุยเฒ่าฮึดฮัด หยิบกระเป๋าเดินทางสิบเจ็ดหรือสิบแปดใบที่ตนเก็บมาครึ่งค่อนคืนออกมา ‘อย่างไม่เต็มใจ’
ทุกคน “…”
เมื่อซือคงเย่มาถึง สัมภาระของทุกคนก็ยกขึ้นเกือบครบแล้ว
“ท่านตาทวด” เมื่ออวี๋หวั่นเห็นเขาเดินมา ก็เผยยิ้มและเดินเข้าไปทักทาย “เมื่อคืนท่านหลับสบายหรือไม่? ข้ากำลังจะไปลาท่านเลย พวกเราจะไปแล้ว”
“ข้ารู้ จริงๆ ข้ามาบอกลาพวกเจ้าเหมือนกัน” ขณะกล่าว สายตาของเขาไม่เพียงกวาดมองอวี๋หวั่นและพรรคพวก ยังตกกระทบร่างประมุขซือคงและซือคงฉางเฟิงด้วย
ซือคงฉางเฟิงนึกขึ้นได้ จึงถามด้วยความสงสัย “ปรมาจารย์ ท่านจะไปที่ใด?”
“ข้าจะไปจากหมิงซาน” ซือคงเย่กล่าว
“ปรมาจารย์!” สีหน้าของประมุขซือคงเปลี่ยนไป มองไปที่ตันเถียนของเขาแล้วกล่าวว่า “อาการบาดเจ็บของท่าน…”
ซือคงเย่ยิ้มไม่ตอบเขา แต่ลูบหัวอวี๋หวั่นอย่างเอ็นดู “เดิมทีข้าคิดจะไปกับอวี๋หวั่นและเยี่ยนจิ่วเฉา แต่พลังของข้าในยามนี้ไม่อาจปกป้องพวกเขาได้ ข้าจะไปหนานจ้าว ไปหาลูกของหลานอีกับข้า”
ขณะกล่าว ก็โอบร่างเล็กของอวี๋หวั่นเข้าในอ้อมแขนอย่างแนบแน่น กดคางลงกับหน้าผากเบาๆ “ขอโทษนะ อวี๋หวั่น ตาทวดไม่สามารถปกป้องเจ้าได้อีกแล้ว”
…………………………