คนที่ยืนอยู่ข้างเธอเมื่อครู่ บัดนี้กลับอันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย เธอไม่ได้ยินเสียงผิดปกติ เขาไม่มีทางปล่อยเธอไว้โดยไม่บอกกล่าว ต่อให้เขาหายไปจริง อย่างน้อยก็ต้องได้ยินเสียงฝีเท้าบ้าง กระนั้นเขากลับหายไปอย่างไร้สุ้มเสียง ก็เหมือนกับโจวอวี่เยี่ยนและมู่ถิง ที่หายลับไปกับตา
“เยี่ยนจิ่วเฉา! เยี่ยนจิ่วเฉา!”
อวี๋หวั่นลุกขึ้นยืน ตะโกนเรียกเขา แต่กลับไร้ซึ่งเสียงตอบรับ
“โจวอวี่เยี่ยน!”
“มู่ถิง!”
ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าไม่มีเสียงตอบรับเช่นกัน
“ท่านพ่อ!”
อวี๋เซ่าชิงก็หายไปเช่นกัน
หากบอกว่าควันหนานี้บดบังทัศนวิสัยของพวกเขา เช่นนั้นอย่างน้อยพวกเขาก็จะได้ยินเสียงของเธอ และตอบเธอมาบ้าง
“หรือว่าเดินไปไกลแล้ว?” อวี๋หวั่นพึมพำ อันที่จริงเธอรู้สึกเหลือเชื่ออยู่บ้าง ภายในเวลาเพียงชั่วพริบตาเดียว ตอนนี้คนที่ยืนอยู่ข้างเธอเมื่อครู่กลับไม่ได้ยินแม้แต่เสียงของเธอ “ตกลงเกิดอะไรขึ้นกัน”
สัตว์พิษตัวน้อยคลานออกมาจากอกเสื้อ แล้วปีนขึ้นไปบนไหล่ของอวี๋หวั่น ขาน้อยๆ ตบบนไหล่ของอวี๋หวั่นเบาๆ
อวี๋หวั่นยิ้มพลางยกมือขึ้นมาตบศีรษะของมันเบาๆ “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นเด็กดี ไม่หายไปไหน ข้าไม่ได้กลัว เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง”
ต้องบอกว่าในสถานการณ์ที่ลูกผีลูกคนเช่นนี้ เมื่อมีสัตว์พิษตัวน้อยอยู่ด้วย เธอจึงรู้สึกจิตใจสงบขึ้นบ้าง
“เจ้าเข้าไปเถอะ เดี๋ยวเจ้าหายไปอีก” อวี๋หวั่นบอกสัตว์พิษตัวน้อย
สัตว์พิษตัวน้อยพยักหน้าหงึกๆ แล้วรีบกลับเข้าไปในอกเสื้อของอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นมองไปยังกลุ่มควันหนา เธอกระแอมออกมาเล็กน้อย หยิบหัวเจ๋อจื่อออกมา เป่าเบาๆ เพื่อจุดไฟ ทว่าอากาศชื้นเกินไป ไฟที่จุดขึ้นมาดับลงทันที
ถ้าหากเธอจำไม่ผิด พวกเขาลงเรือมาในตอนกลางวัน ฟ้ายังสว่าง แต่ตอนนี้ควันหนาขึ้นเรื่อยๆ จนท้องฟ้าสีหม่นลง ราวกับใกล้เข้าสู่ยามสนธยาแล้ว
“คิดว่าข้าไม่มีหั่วเจ๋อจื่อแล้วจะหมดสิ้นหนทางอย่างนั้นหรือ?” อวี๋หวั่นลูบคาง หยิบศิลาสตรีศักดิ์สิทธิ์ก้อนหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ ท้องของเธอขยับเล็กน้อย ศิลาสตรีศักดิ์สิทธิ์ก็ส่องแสงสว่าง
ระยะการมองเห็นซึ่งก่อนหน้านี้หดเข้ามาจนเหลือไม่ถึงสามฉื่อ บัดนี้กว้างขึ้นกว่าเดิมครึ่งจั้ง
“ทางไหนคือทิศตะวันออก ทางไหนคือทิศใต้?” อวี๋หวั่นมองไปรอบๆ เธอไม่อาจหาทิศทางได้ จึงทำได้เพียงเดินไปตามสัญชาตญาณ
เดินไปได้ไม่เท่าไร อวี๋หวั่นก็เห็นต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ต้นไม้ต้นนั้นคล้ายกับจะมีสิ่งผิดปกติ เธอจึงดึงมีดสั้นออกมา แล้วเดินเข้าไป เธอเดินอ้อมต้นไม้ใหญ่ แล้วใช้มีดจี้คอของอีกฝ่าย
“อ๊าา อย่าฆ่าข้านะ” อีกฝ่ายนั่งยองลงใต้ต้นไม้ สองมือปิดหน้า น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“โจวอวี่เยี่ยน?” อวี๋หวั่นตกใจ รีบดึงมีดกลับมา เธอใช้ศิลาสตรีศักดิ์สิทธิ์ส่องหานาง “ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่”
เมื่อโจวอวี่เยี่ยนมั่นใจแล้วว่าผู้ที่มาถึงนั้นคืออวี๋หวั่น จึงโผเข้าหาอย่างรวดเร็ว
อวี๋หวั่นรับนางซึ่งโผเข้ามาในอ้อมอก เธอจึงใช้มือบังหน้าท้องเอาไว้ พร้อมกับเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจว่า “เกิดอะไรขึ้น”
โจวอวี่เยี่ยนตัวสั่นเทิ้ม “ข้า…ข้ากับศิษย์พี่พลัดหลงกัน…เมื่อครู่มีคนไล่ตามข้ามา ข้าหนีเขาไม่พ้น…”
อวี๋หวั่นถอนหายใจ “ปกติเจ้าดูอาจหาญ แต่แท้จริงแล้วขี้กลัวขนาดนี้”
โจวอวี่เยี่ยนชะงักไปเพราะคำพูดนี้ นางโมโหจนปล่อยอวี๋หวั่น พร้อมทั้งถลึงตา “เจ้ากล้าหาญเหลือเกินนะ! เช่นนั้นเจ้าคงไม่ได้มาตามหาข้ากระมัง?!”
อวี๋หวั่นเก็บมีดสั้นเข้าฝักข้างเอว กล่าวว่า “ข้าไม่ได้มาตามหาเจ้า ข้าแค่บังเอิญพบเจ้าก็เท่านั้น เมื่อครู่ถ้าหากเจ้าพูดช้ากว่านี้ไปอีกนิดเดียว ข้าคงปาดคอเจ้าไปแล้ว”
“อย่างเจ้าน่ะหรือ?” โจวอวี่เยี่ยนกลอกตา วรยุทธ์เท่าแมวสามขาน่ะหรือ จะมาสังหารยอดฝีมือจากประเทศมรกตอย่างพวกเขา?
อวี๋หวั่นคร้านจะต่อปากต่อคำกับเด็กคนนี้ เธอหยิบศิลาสตรีศักดิ์สิทธิ์ออกมา แล้วเดินต่อไป ในเมื่อมาพบโจวอวี่เยี่ยนได้ ไม่แน่ว่าอีกประเดี๋ยวอาจพบท่านพ่อกับเยี่ยนจิ่วเฉาเช่นกัน
“นี่! เจ้าจะไปไหน? เจ้า…เจ้ากลับมานี่นะ! ข้างหน้าอันตราย!” โจวอวี่เยี่ยนไม่กล้าเดินไกล เงาของคนที่ตามมาเมื่อครู่เกือบทำให้นางสติแตก บัดนี้มาพบกับอวี๋หวั่น นางจึงอยากรออยู่ที่ต้นไม้ใหญ่กับอวี๋หวั่น เพื่อรอศิษย์พี่มาตามหา
อวี๋หวั่นกลับไม่คิดจะนั่งรอความตาย ยิ่งไปกว่านั้นบรรยากาศที่นี่แปลกประหลาดเหลือเกิน นั่งรออยู่ที่เดิมก็มิใช่ว่าจะไม่เป็นอันตราย เธอจึงพูดโดยไม่แม้แต่จะหันมามองว่า “ถ้าอยากมาก็ตามมา ไม่เช่นนั้นก็รออยู่ที่นั่นไปคนเดียว”
“เจ้า…” โจวอวี่เยี่ยนโมโหจนกระทืบเท้า นางไม่อยากถูกอวี๋หวั่นจูงจมูกไป แต่ก็ไม่กล้าอยู่ที่นี่โดยลำพัง จึงทำได้เพียงกัดฟันเดินตามอวี๋หวั่นไป
อวี๋หวั่นเดินไปข้างหน้าทีละก้าวๆ สีหน้ายังคงนิ่งสงบ
“เจ้าไม่กลัวหรือ?” โจวอวี่เยี่ยนกระซิบถาม
“ถ้ากลัวแล้วข้าจะก้าวขาออกหรือ?” อวี๋หวั่นถามกลับ
โจวอวี่เยี่ยนชะงักไปอีกครั้งหนึ่ง แม้ว่าคำพูดนี้จะเป็นความจริง แต่คนทั่วไปมีหรือจะไม่กลัว? ยิ่งนางเป็นสตรีคนหนึ่ง พลัดหลงกับคนในครอบครัว ไม่กังวลเลยหรือว่าตนเองจะไม่ได้พบหน้าพวกเขาอีก?
อวี๋หวั่นเอ่ยขึ้นว่า “เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น? เจ้าคุยกับข้าอยู่ดีๆ ก็หายไป”
โจวอวี่เยี่ยนตอบด้วยสีหน้าหดหู่ปนหวาดกลัว “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ข้าหันไปอีกที พวกเจ้าก็หายไปแล้ว! ข้าเรียก ก็ไม่มีใครตอบข้า!”
อวี๋หวั่นพึมพำว่า “เช่นนั้นก็น่าแปลก ทำไมถึงไม่ได้ยิน ทั้งที่อยู่ใกล้ๆ กัน” ควันนั้นหนาเกินไป มองไม่เห็นไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลก ที่แปลกก็คือพวกเขาไม่ได้ยินเสียงกันเอง
โจวอวี่เยี่ยนขยับเข้าใกล้อวี๋หวั่น แล้วเอ่ยถามด้วยท่าทางตื่นตระหนกว่า “เจ้าว่า…พวกเราถูกผีหลอกแล้วใช่ไหม?”
อวี๋หวั่นตอบอย่างไม่รีบร้อนว่า “ถ้าหากถูกผีหลอกเข้าจริงก็ดีสิ”
“หมายความว่าอย่างไร?” โจวอวี่เยี่ยนถามด้วยความแปลกใจ
อวี๋หวั่นชะงักฝีเท้า แล้วมองเข้าไปในดวงตาของนาง “สิ่งที่น่ากลัวกว่าผีก็คือคน”
โจวอวี่เยี่ยนตัวสั่นเทิ้ม!
อวี๋หวั่นเดินหน้าต่อไป
โจวอวี่เยี่ยนตั้งสติและเดินตามไป ครั้นอยู่บนเรือ นางยังรู้สึกว่าอวี๋หวั่นใจเย็น จิตใจคงอ่อนแอไม่ต่างอะไรกับสำลีนุ่ม เมื่อมาที่นี่จึงรู้ว่าอวี๋หวั่นมีจิตใจหนักแน่นยิ่งกว่านางเสียอีก
โดยรอบนั้นเงียบจนทำให้โจวอวี่เยี่ยนทำตัวไม่ถูก ในใจของนางกู่ร้องเรียกชื่อของอวี๋หวั่น นางกระแอมเบาๆ มองไปยังก้อนหินเรืองแสงในมือของอวี๋หวั่น “นั่นอะไร”
“ศิลาสตรีศักดิ์สิทธิ์” อวี๋หวั่นตอบ
“นี่คือศิลาสตรีศักดิ์สิทธิ์หรอกหรือ?” แม้ว่าโจวอวี่เยี่ยนจะไม่คุ้นเคยกับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ แต่นางก็พอจะได้ยินมาบ้าง ศิลาสตรีศักดิ์สิทธิ์เป็นหินที่ใช้สำหรับทดสอบเลือดของสตรีศักดิ์สิทธิ์ มีเพียงผู้ที่เป็นสายเลือดของสตรีศักดิ์สิทธิ์และบุรุษศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นจึงจะทำให้ศิลาสตรีศักดิ์สิทธิ์ส่องแสงได้ โจวอวี่เยี่ยนทำตาโตด้วยความตื่นตะลึง “เจ้า…เจ้าเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์! เจ้าเป็นคนเผ่าศักดิ์สิทธิ์!”
“สตรีศักดิ์สิทธิ์จำเป็นต้องเป็นคนของเผ่าศักดิ์สิทธิ์ด้วยหรือ?” บรรพบุรุษของเธอแบ่งแยกจากเผ่าศักดิ์สิทธิ์มานานแล้ว หากจะบอกว่าเธอเป็นเชื้อสายของเผ่าศักดิ์สิทธิ์ก็คงจะพอเข้าใจได้ แต่เผ่าศักดิ์สิทธิ์ที่โจวอวี่เยี่ยนพูดถึงนั้นไม่ใช่สกุลหลานแห่งหมิงตูอย่างแน่นอน
โจวอวี่เยี่ยนก้าวขึ้นไปข้างหน้า ชักกระบี่คู่กายออกมาขวางห้าอวี๋หวั่นไว้ “ข้าว่าแล้วเชียว ไฉนเจ้าถึงใจดีช่วยพวกข้าออกมาจากเกาะ ที่แท้เจ้าก็เป็นคนของเผ่าศักดิ์สิทธิ์ เจ้าจะไปเผ่าพ่อมดด้วยจุดประสงค์ร้ายเป็นแน่!”
อวี๋หวั่นยื่นนิ้วเรียวออกมาแตะลงไปบนกระบี่ซึ่งขวางที่ลำคอของตนเบาๆ ทั้นใดนั้นก็มองไปยังด้านหลังของนาง “มีผี!”
“อ๊ากกกกก!” โจวอวี่เยี่ยนตกใจจนโยนกระบี่ทิ้งไป แล้ววิ่งอ้อมไปหลบด้านหลังอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นหัวเราะจนไหล่สั่น
โจวอวี่เยี่ยนรู้ว่าตนเองถูกหลอกเสียแล้ว นางทั้งโมโหทั้งรำคาญใจ
อวี๋หวั่นหัวเราะจนหนำใจ แล้วจึงบอกว่า “เอาเถอะ เจ้าฆ่าข้าไม่ได้หรอก เก็บแรงไว้ตามหาศิษย์พี่กับศิษย์น้องของเจ้าจะดีกว่า”
โจวอวี่เยี่ยนยกมือขึ้นทาบอก เมื่อนึกออกว่าสตรีผู้นี้ปล่อยหนอนพิษใส่ตน จึงเอ่ยขึ้นอย่างเดือดดาลว่า “เก่งจริงเจ้าก็อย่าใช้หนอนพิษสิ มาสู้กันสักตั้ง!”
อวี๋หวั่นตอบอย่างขบขันว่า “ข้าใช้หนอนพิษได้ ทำไมต้องมาแกว่งดาบสู้กับเจ้าด้วย? คิดว่าข้าโง่ขนาดนั้นเชียวหรือ?”
“เจ้า…” โจวอวี่เยี่ยนคิดอยากโต้แย้ง ทันใดนั้นสายตาของนางก็เหลือบไปเห็นร้านน้ำชาอยู่ไม่ไกลออกไป “เจ้าดูสิ! ตรงนั้นมีคน!”
ร้านน้ำชาอยู่ท่ามกลางกลุ่มควันหนา แต่ก็ยังไม่หนาเท่าสถานที่ที่พวกเธอเดินผ่านมา
ผู้ที่ตั้งแผงขายของอยู่นั้นเป็นสามีภรรยาคู่หนึ่ง นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีลูกค้ากำลังนั่งดื่มชาอยู่อีกจำนวนหนึ่ง
“ที่แท้บนเกาะนี้ก็มีคน ข้าจะไปถามสักหน่อย เผื่อมีใครเห็นศิษย์พี่กับศิษย์น้องของข้า” โจวอวี่เยี่ยนมองไปด้วยความตื่นเต้น จากนั้นก็เหลือบมองอวี๋หวั่น แล้วปรี่เข้าไปยังร้านน้ำชาแห่งนั้น
พวกเขากำลังห่อเกี๊ยว
โจวอวี่เยี่ยนไปถึงตรงหน้าของพวกเขา ระหว่างพวกเขามีไม้ตัวหนึ่งกั้นอยู่ “ท่านผู้เฒ่า พวกท่านเห็นบุรุษสูงประมาณนี้ อายุประมาณยี่สิบ สวมชุดสีฟ้าอมเทาบ้างหรือไม่?”
ทั้งสองไม่ได้สนใจนาง ยังคงก้มหน้าก้มตาห่อเกี๊ยวต่อไป
โจวอวี่เยี่ยนขมวดคิ้ว “ท่านผู้เฒ่า ท่านได้ยินที่ข้าพูดไหม? ข้ามาตามหาคน”
ทั้งสองยังคงห่อเกี๊ยวต่อไป
โจวอวี่เยี่ยนนึกบางอย่างออก นางยิ้ม แล้วหยิบเงินจากอกเสื้อออกมาวางบนโต๊ะ “ข้าขอเกี๊ยวหนึ่งจาน ไม่ต้องทอน พวกท่านบอกข้ามา ว่าเห็นบุรุษที่ข้าพูดถึงเมื่อครู่บ้างไหม”
ชายชรารับเงินมา ส่วนหญิงชราต้มเกี๊ยวให้นาง กระนั้นพวกเขาก็ยังไม่ตอบคำถามนางสักที
“ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ หรือว่าหูหนวก? เป็นใบ้?” โจวอวี่เยี่ยนยังคงสับสน แต่นางก็ไม่คิดจะใช้กำลังกับคนแก่คนเฒ่า นางหันหลังไปหาบุรุษหนุ่มรูปร่างกำยำล่ำสันสองคนซึ่งกำลังดื่มชาอยู่ แล้วเอ่ยถามด้วยความเกรงใจว่า “พี่ชายทั้งสอง ข้าขอถามหน่อยได้ไหม? ศิษย์พี่ของข้าสูงประมาณนี้ อายุยี่สิบปี สวมเสื้อผ้าสีฟ้าอมเทา เห็นบ้างไหม!”
บุรุษหนุ่มทั้งสองยังคงดื่มชาต่อไปโดยไม่ได้สนใจนางแม้แต่น้อย
“โอ๊ย” โจวอวี่เยี่ยนงุนงง คนที่นี่เป็นอะไรกันไปหมด? ไม่สนใจใครเลยหรือ? นางก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ ไม่ได้แต่งตัวมอซอ ดูไม่คล้ายกับว่าจะถูกเมินได้
โจวอวี่เยี่ยนเดินไปหาสตรีวัยกลางคนซึ่งกำลังกินเกี๊ยว “ท่าน…”
นางยังพูดไม่ทันจบ อวี๋หวั่นเดินเข้ามาอย่างไม่รีบร้อน แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ไม่ต้องถามแล้ว ไม่มีประโยชน์หรอก”
“หมายความว่าอย่างไร” โจวอวี่เยี่ยนถาม
อวี๋หวั่นกวาดสายตาไปยังกลุ่มคน “เจ้าไม่รู้สึกว่าพวกเขาผิดปกติหรือ?”
เมื่ออวี๋หวั่นพูดเช่นนี้ โจวอวี่เยี่ยนก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติจริงๆ คนเหล่านี้หากไม่ก้มหน้าก้มตาทำงาน ก็ก้มหน้าก้มตากินอาหาร ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง ประหลาดเกินไปแล้ว
โจวอวี่เยี่ยนเดินกลับไปยืนข้างกายอวี๋หวั่น แล้วคว้าแขนเสื้อของอวี๋หวั่น “พวกเขาเป็นคนเลวหรือ? พวกเขาจะฆ่าพวกเราไหม?”
อวี๋หวั่นลูบศิลาสตรีศักดิ์สิทธิ์ “พวกเขาเป็นคนเลวหรือไม่ไม่อาจรู้ได้ ข้ารู้เพียงว่าพวกเขาไม่ใช่คนเป็น!”
“อา” โจวอวี่เยี่ยนยกมือขึ้นปิดปาก เพื่อไม่ให้ตนเองส่งเสียงออกมา
อวี๋หวั่นหาเก้าอี้นั่ง
สตรีวัยกลางคนยกจานเกี๊ยวและน้ำชาร้อนๆ สองถ้วยมาวาง
โจวอวี่เยี่ยนหน้าซีดเผือด เหงื่อผุดขึ้นบนใบหน้า แล้วนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับอวี๋หวั่นอย่างประหวั่นพรั่นพรึง
อวี๋หวั่นไม่ได้รีบร้อนกินเกี๊ยว แต่กลับยกถ้วยชาขึ้นมาแทน
โจวอวี่เยี่ยนกลัวจนมือเท้าเย็นเฉียบ นางยกถ้วยชาขึ้นมาด้วยมืออันสั่นเทิ้ม “ทะ…ทำไมถึงเป็นเช่นนี้”
นางยกชาขึ้นมาด้วยความงุนงง จากนั้นก็ลองชิมไปเล็กน้อยอย่างตื่นตระหนก
อวี๋หวั่นเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “น้ำชาของคนตาย เจ้ากล้ากินด้วยหรือ?”
ก็เจ้าเป็นคนยกขึ้นมาก่อนไม่ใช่รึ?!
โจวอวี่เยี่ยนยังไม่ได้กลืนน้ำชาลงไป เมื่อได้ยินสิ่งที่อวี๋หวั่นพูด นางก็รีบก้มลงไปบ้วนน้ำชาออกมา และพบว่าน้ำชาซึ่งก่อนหน้านี้เป็นเพียงชาใส เมื่อถูกบ้วนลงไปบนพื้นดินแล้วกลับกลายเป็นน้ำเลือด ในน้ำเลือดนั้นมีหนอนพิษหลายตัว กำลังดิ้นอยู่ ทำเอานางขนลุกซู่ไปทั้งตัว!!!
อวี๋หวั่นค่อยๆ ยกถ้วยชาขึ้นมาดื่ม
โจวอวี่เยี่ยนอ้าปากค้าง “เจ้า…เจ้ากล้าดื่มได้อย่างไร?”
“ข้าดื่มน้ำที่ข้านำมาเอง” อวี๋หวั่นพูด พร้อมทั้งยกกระเป๋าน้ำให้ดู
โจวอวี่เยี่ยนมุมปากกระตุก
สตรีผู้นี้…เทน้ำลงไปในชามตั้งแต่เมื่อใดกัน
อวี๋หวั่นหยิบตะเกียบ คีบเกี๊ยวขึ้นมาชิ้นหนึ่ง
อวี๋หวั่นยิ้ม จับมือของนางออก แล้วงับเกี๊ยวชิ้นนั้นเข้าปาก “อื้ม ไม่เลว ไส้เนื้อแพะนี่เอง”
โจวอวี่เยี่ยน “จะ…เจ้าไม่กลัวว่าในนั้นจะมียาพิษหรือ?”
อวี๋หวั่นเหลือบไปมองน้ำเลือด แล้วบอกว่า “นั่นไม่ใช่ยาพิษ”
“แล้วคืออะไร?” โจวอวี่เยี่ยนถาม
“อาคม” อวี๋หวั่นกล่าว
“หืม?” โจวอวี่เยี่ยนมีสีหน้าประหลาดใจ
อวี๋หวั่นมองไปรอบๆ “สามารถสร้างอาคมที่แข็งแกร่งเช่นนี้ได้ พลังพ่อมดต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่ ตอนนี้ข้าเชื่อแล้วว่าศิษย์พี่ของเจ้าพูดไว้ไม่ผิด บนเกาะนี้มีพ่อมดใหญ่อาศัยอยู่”
โจวอวี่เยี่ยนพูดว่า “เจ้าหมายความว่าพวกเขาทุกคนล้วนเกิดจากอาคมหรือ? จะเป็นไปได้อย่างไร? ท่านพ่อข้าก็เป็นพ่อมดใหญ่ อาคมที่สร้างยังไม่แข็งแกร่งถึง…”
นางยังพูดไม่ทันจบ อวี๋หวั่นก็ลุกขึ้นยื่นแล้วเดินจากไป
เธอทิ้งศิลาสตรีศักดิ์สิทธิ์ไว้ก้อนหนึ่ง
ศิลาสตรีศักดิ์สิทธิ์เปล่งแสงสีทองอร่าม
โจวอวี่เยี่ยนมองแสงนั้นจนแสบตา กว่าแสงสีทองนั้นจะหายไป เมื่อนางหันมามองอีกครั้ง ร้านน้ำชากับผู้คนหายไปไหนกันหมด? ส่วนนางกำลังนั่งอยู่บนก้อนหินก้อนหนึ่ง…
นางตะลึงงัน
ไม่รู้ว่านางควรตกใจที่อีกฝ่ายสามารถสร้างอาคมได้แข็งแกร่งเช่นนี้ หรือควรตกใจที่อวี๋หวั่นสามารถทำลายอาคมของอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดายกันแน่
“นี่! รอข้าด้วยสิ!” โจวอวี่เยี่ยนรู้เพียงว่า ความเป็นความตายของนางและศิษย์พี่ศิษย์น้องของนางล้วนแต่เกาะติดอยู่กับสตรีผู้นี้!
………………………….