“ศิษย์พี่ เมื่อครู่ท่านไปไหนมาหรือ?”
ในห้องโถงกลาง มู่ชิงหอบผ้าห่มมาวางบนโต๊ะ จัดไปพลางหันไปถามมู่ถิงซึ่งมีสีหน้าซีดเผือด
มู่ถิงจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว “ไม่ได้ไปไหน”
มู่ชิงหยุดปูที่นอน แล้วพูดกับเขาว่า “สีหน้าของท่านไม่สู้ดีนัก ท่านไม่สบายหรือเปล่า? ข้าจะไปตามท่านหมอชุยมาตรวจให้ท่าน!”
“ไม่ต้องหรอก ข้าไม่เป็นไร” มู่ถิงหันหลังไปหาเก้าอี้นั่ง
มู่ชิงเดินตามมายังด้านหน้าของเขา โดยมิได้สนใจที่ศิษย์พี่พยายามหลีกเลี่ยงบทสนทนา จากนั้นจึงจับใบหน้าของเขา “ไม่จริง ข้าว่าท่านเป็นอะไร”
“เดินทางมาไกล ข้าเหนื่อยนิดหน่อย” มู่ถิงตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เบือนสายตาหนี จับมือของมู่ชิงออก
มู่ชิงมิได้นึกสงสัย เขาเบ้บาก และบอกว่า “ข้าถึงบอกว่าให้พักค้างแรมในตำบลสักคืนก่อนอย่างไรขอรับ พรุ่งนี้เช้าค่อยออกเดินทางก็ไม่เสียหาย! ไม่ได้รีบร้อนขนาดนั้นสักหน่อย!”
“ไปเผ่าพ่อมดให้เร็วสักหน่อย จะได้ไม่ยืดเยื้อ” มู่ถิงหลุบตาลง
มู่ชิงยังคงไม่รู้สึกถึงความผิดปกติ แต่กลับฟังมู่ถิงพูดอย่างตั้งใจ เขานั่งลงข้างมู่ถิง ทำอะไรไม่ถูก “แต่ว่า พวกเราไปเผ่าพ่อมดเร็วถึงเพียงนั้น ศิษย์น้องเล็กจะไม่เป็นอะไรจริงๆ หรือ? จะไม่ถูกจับได้จริงหรือ?”
มู่ถิงพูดว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร? สัญลักษณ์ของราชาพ่อมดไม่ได้ถูกสักทับไปแล้วหรือ?”
มู่ชิงมองไปรอบๆ แล้วกระซิบว่า “แต่พลังเวทของเขายังอยู่นี่ขอรับ พ่อมดใหญ่ที่อายุน้อยเช่นนี้ จะไม่ถูกสงสัยเอาหรือ?”
มู่ถิงชะงัก แล้วพูดว่า “เช่นนั้น การที่พวกเขาปลดผนึกพลังของศิษย์น้อง นับเป็นการทำร้ายศิษย์น้อง”
“จะพูดอย่างนั้นก็ไม่ได้ พวกเขาไม่รู้ว่าศิษย์น้องมีพลังซ่อนอยู่ ยิ่งไปกว่านั้น หากพลังของศิษย์น้องไม่ฟื้นฟูกลับมา จะรู้ได้อย่างไรว่าศิษย์น้องเป็นราชาพ่อมดหรือไม่ แม้ว่าศิษย์น้องจะไม่ได้เป็นราชาพ่อมด แต่ท่านพ่อของเขาเป็น! ไม่นับว่าลงแรงเสียเปล่านะขอรับ!” มู่ชิงยิ่งพูดก็ยิ่งมีสีหน้าตื่นเต้น เห็นได้ชัดว่าลึกๆ แล้วเขาดีใจแทนอวี๋หวั่นและเยี่ยนจิ่วเฉา
มู่ชิงไม่ได้เป็นเพียงศิษย์น้องของมู่ถิง แต่ยังเป็นลูกพี่ลูกน้องฝั่งบิดาของมู่ถิงอีกด้วย มู่ถิงมองดูเขาเติบโต นิสัยของเขาเป็นอย่างไรมู่ถิงล้วนมองออก เห็นว่ามู่ชิงปฏิบัติต่อศิษย์พี่ศิษย์น้องพวกเขาเป็นอย่างดีเช่นนี้ แต่เป็นเพราะเมื่อในวัยเด็กถูกรังแกอยู่เป็นนิจ อันที่จริงเขาหวาดระแวงคนแปลกหน้าเป็นอย่างมาก กระนั้นแล้วความหวาดระแวงเช่นนี้มักจะมลายหายไปหลังจากคลุกคลีอยู่กับคนเหล่านั้นเพียงไม่กี่วัน
มู่ถิงมีสีหน้าซับซ้อน
ทันใดนั้น มู่ชิงก็พูดขึ้นว่า “นี่ก็ดึกมากแล้ว ศิษย์พี่ท่านนอนเถิด ศิษย์น้องเล็กน่าจะกินยาแล้ว ข้าจะยกน้ำร้อนขึ้นไป”
มู่ถิงตอบ ‘อืม’ หนึ่งคำ
มู่ชิงเข้าไปขอน้ำร้อนมาหนึ่งกา เขากระหืดกระหอบขึ้นไปชั้นบน และบังเอิญเจอกับโจวอวี่เยี่ยนที่ทางเลี้ยว ที่แท้โจวอวี่เยี่ยนก็จะยกน้ำร้อนมาให้โจวจิ่นกินยาเช่นกัน
“เจ้าก็ยกน้ำร้อนมาให้ศิษย์น้องเล็กเหมือนกันหรือ?” โจวอวี่เยี่ยนถาม
“ขอรับ ไม่คิดว่าศิษย์พี่จะยกมาเหมือนกัน” มู่ชิงยิ้ม
“ถ้ารู้แต่แรกว่าเจ้าจะยกมา ข้าก็ไม่ยกมาหรอก!” โจวอวี่เยี่ยนเบ้ปาก
“หา?” เขารู้สึกงุนงงไปชั่วขณะหนึ่ง
โจวอวี่เยี่ยนหัวเราะแดกดัน “ข้าล้อเล่น! เจ้าบ๊อง! ไปเถอะ! ศิษย์น้องอยู่กับคนนอก ข้าไม่ไว้ใจ พวกเราเข้าไปดูกันดีกว่า!”
“อื้ม!” มู่ชิงยิ้ม และเดินเข้าไปในห้องของเยี่ยนจิ่วเฉาพร้อมกับโจวอวี่เยี่ยน
ในห้องนั้นเงียบสงัด อวี๋เซ่าชิงกำลังนั่งขัดอาวุธอยู่บนเก้าอี้ด้านหนึ่ง ในฐานะที่เป็นยอดฝีมือที่เก่งกาจที่สุดในการเดินทางครั้งนี้ อวี๋เซ่าชิงจึงรู้สึกจำเป็นอย่างมากที่จะต้องเตรียมพร้อมรับมือการศึกสงครามตลอดเวลา
เยี่ยนจิ่วเฉาและโจวจิ่นนั่งอยู่บนผ้าปูที่นอนสะอาดที่พวกเขานำมาเอง ระหว่างทั้งสองมีโต๊ะสี่เหลี่ยมตัวเล็กตั้งอยู่ บนโต๊ะตัวนั้นมีของเล่นที่โจวอวี่เยี่ยนและมู่ชิงไม่เคยเล่นมาก่อน
“ถึงตาเจ้าแล้ว” เยี่ยนจิ่วเฉาตอบ
โจวจิ่นหยิบแม่กุญแจขงเบ้ง บนโต๊ะขึ้นมา แม่กุญแจขงเบ้งทำมาจากไม้หกแท่ง สามารถนำมาต่อกันหรือแยกกันได้ ส่วนจะทำอย่างไรนั้นล้วนขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้เล่น
แม่กุญแจขงเบ้งของเยี่ยนจิ่วเฉานั้นเป็นแบบประกอบกัน ส่วนของโจวจิ่นต้องทำให้แยกออกจากกัน
โจวจิ่นพยายามแยกมันอย่างจริงจัง
‘หนึ่ง สอง สาม…’ มู่ชิงนับอยู่ในใจ เมื่อนับถึงสาม ศิษย์น้องของเขาก็ยังแยกแม่กุญแจขงเบ้งไม่ออก เขาอดรู้สึก
ตกใจไม่ได้ เมื่อก่อนเขาเคยเห็นศิษย์น้องเล่นกุญแจขงเบ้ง ไม่ว่าจะใครนำมันมาประกอบให้เขา นับยังไม่ถึงสาม เขาก็สามารถแยกมันออกได้แล้ว ทว่าในครั้งนี้ ศิษย์น้องกลับได้พบกับคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อเสียแล้ว?
ในตอนที่มู่ชิงนับในใจถึงสิบห้า โจวอวี่เยี่ยนก็ร้อง ‘ว้าว’ ออกมา
ไม่ใช่กระมัง? ศิษย์น้องเล็กแย่แล้วสิ?
เขาเป็นเด็กอัจฉริยะเชียวนะ!
“แยกเสร็จแล้ว!” โจวจิ่นวางไม้สองชิ้นสุดท้ายบนโต๊ะ ใบหน้าเล็กแดงระเรื่อ เห็นได้ชัดว่าใช้พลังสมองเป็นอย่างมาก
เยี่ยนจิ่วเฉาพูดว่า “ชิ ข้าก็แค่ประกอบแบบง่ายๆ เจ้าใช้เวลาเสียนานโข โง่งมเสียจริง!”
โจวจิ่นหยิบแม่กุญแจขงเบ้งขึ้นมา หันหลังไปประกอบอีกครั้ง จากนั้นก็ส่งให้เยี่ยนจิ่วเฉา “ถึงตาท่านแล้ว ข้าก็แค่ประกอบง่ายๆ เหมือนกัน!”
มู่ชิงและโจวอวี่เยี่ยนถึงกับตะลึงงัน พวกเขาไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหม ศิษย์น้องซึ่งเป็นคนสงบเสงี่ยมมาตลอด ไฉนจึงต่อปากต่อคำเช่นนี้เล่า? แม่กุญแจขงเบ้งที่เขาประกอบเมื่อครู่ ทั้งสองล้วนแต่เห็นเต็มสองตา นั่นเรียกว่าง่ายๆ หรือ? น่าจะเรียกว่าประกอบขึ้นจากความแค้นน่าจะเหมาะกว่า
เยี่ยนจิ่วเฉามิได้สะทกสะท้าน เขารับแม่กุญแจขงเบ้งมาด้วยสีหน้าเย่อหยิ่ง
เมื่อลองแยกดู
แย่แล้ว
แยกไม่ออก!
เยี่ยนจิ่วเฉาใช้พลังภายในเพียงเล็กน้อย แล้วเอ่ยขึ้นอย่างไร้เดียงสาว่า “อ้าว? พังแล้ว!”
โจวจิ่นปีนขึ้นไปบนโต๊ะเตี้ย เขาหยิบแม่กุญแจขงเบ้งขึ้นมา แล้วเตะเท้าด้วยความโมโห “ทำไมถึงพังได้ละ ท่านซื้ออะไรมาเนี่ย ท่านเห็นแก่ของถูกหรือเปล่า! กว่าข้าจะคิดออกมาได้แทบแย่! ข้าลืมไปแล้วเนี่ยว่าประกอบอย่างไร!”
มู่ชิงและโจวอวี่เยี่ยนมองหน้ากัน พวกเขาตาฝาดไปหรือเปล่า? เจ้าเปี๊ยกที่โมโหเป็นลูกแมวขนพองเมื่อครู่คือศิษย์น้องผู้สุขุมเยือกเย็นของพวกเขาจริงหรือ?
……
หลังจากที่โจวจิ่นกินยา เขาก็นอนพลิกไปพลิกมาบนเตียง ทำอย่างไรก็นอนไม่หลับ ทันใดนั้นเองเขาก็นึกได้ว่าในห้องโถงกลางมีตะเกียบ ใช้สำหรับทำแม่กุญแจขงเบ้งได้
เขาลุกขึ้น เดินออกจากห้องไป
เขาพักอยู่ห้องตรงกลาง และจำไม่ได้ว่าฝั่งใดเป็นบันไดลงไปห้องโถงชั้นล่าง เขาเลี้ยวไปทางซ้าย แล้วเดินลงบันไดมายังลานด้านหลังโรงเตี๊ยม
อีกด้านหนึ่งของโรงเตี๊ยมนั้นคือห้องครัว อวี๋หวั่นกำลังสับกระดูก เสียงดังลั่น เด็กทั้งสามนอนลง แอบมองผ่านรอยแยกบนประตู
ท่านแม่ ท่านแม่ ท่านแม่…
ครั้นโจวจิ่นเดินผ่านมา เขาก็เห็นเด็กทั้งสามนอนก้นโก่งลอบมองเข้าไปในครัว เขาชะงักฝีเท้า “พวกเจ้าเป็นใคร”
เด็กน้อยทั้งสามตกใจจนขนลุกซู่ พวกเขางอตัว ปิดหน้าด้วยเสื้อผ้า
แค่นี้ก็ไม่มีใครเห็นพวกเขาแล้ว…
โจวจิ่นมองไปยังเด็กทั้งสาม พวกเขาดูราวกับลูกนกกระจอกเทศ ก้มหัวงุด ก้นโก่งขึ้นมา เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
เขาโตมาจนอายุเท่านี้ แทบไม่เคยยิ้ม นับประสาอะไรกับการหัวเราะออกมา
ไม่สิ ต้องเรียกว่าหัวเราะจนน้ำตาเล็ด
นกกระจอกเทศน้อยทั้งสามเลิกผ้าที่ใช้คลุมศีรษะออก โค้งตัวและมองลอดหว่างขา
“เจ้าหัวเราะอะไร” เสี่ยวเป่าถาม
โจวจิ่นดึงเด็กทั้งสามขึ้นมา เขากลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ “เจ้าผิวคล้ำจังเลย พวกเจ้าเป็นใครหรือ”
เมื่อได้ยินเขาพูดว่าพวกตนผิวคล้ำ เด็กนั้นสามก็ไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก ทำหน้าบูดบึ้ง จ้องเขาเขม็ง
โจวจิ่นเปิดกระเป๋าเงินที่เอว แล้วหยิบน้ำตาลกรอบซึ่งห่อเอาไว้ด้วยกระดาษหนังแพะออกมา “กินไหม?”
เด็กทั้งสามดวงตาเป็นประกาย จากดวงตาซึ่งแลดูแข็งกร้าว แปรเปลี่ยนเป็นน้ำลายสอในทันใด
โจวจิ่นหยิบน้ำตาลกรอบขึ้นมาก้อนหนึ่ง แล้วป้อนให้ต้าเป่าซึ่งอยู่ใกล้มือที่สุด
เสี่ยวเป่าพูดเสียงใสว่า “ทำไมไม่ป้อนเสี่ยวเป่าบ้างละ”
โจวจิ่นชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วหยิบน้ำตาลกรอบป้อนเสี่ยวเป่า
เอ้อร์เป่ายอมไม่ได้ เขาทำสีหน้าน้อยใจ “เอ้อร์เป่าละๆ?”
โจวจิ่นมือไม้เป็นพัลวัน!
เด็กทั้งสามแข่งกันอ้าปากรอให้เขาป้อน โจวจิ่นป้อนแทบไม่ทัน วุ่นวายกันอยู่พักใหญ่
ครั้นโจวจิ่นป้อนขนมหมดไปครึ่งห่อจนพวกเขาพอใจแล้ว พวกเขาก็เริ่มหยิบขนมขึ้นมากัดกร้วมๆ ด้วยตนเอง
โจวจิ่นมองไปยังเด็กตัวอ้วนจ้ำม่ำตรงหน้า “ว่าแต่…พวกเจ้าอ้วนขนาดนี้ ยังจะกินน้ำตาลกันอีกหรือ?”
เด็กทั้งสามสำลักขนม จากนั้นก็เดินหนีไป น้ำตาไหลพรากอาบสองข้างแก้ม!
พี่ชายคนนี้นิสัยไม่ดีเลย บอกว่าพวกเขาผิวคล้ำ แล้วยังจะบอกว่าอ้วนอีก ไม่เล่นกับเขาแล้ว!
“นี่! พวกเจ้าอย่าเพิ่งไปสิ! ข้ายังพูดไม่จบเลยนะ…พวกเจ้า…” เด็กทั้งสามเดินไปไกลแล้ว ทิ้งให้โจวจิ่นอยู่คนเดียว เขาถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง “ที่จริงแล้ว ก็ น่ารักดี”
เด็กทั้งสามไม่อยู่แล้ว โจวจิ่นก็ไม่มีกะจิตกะใจจะเล่นแม่กุญแจขงเบ้งแล้ว เขามองไปยังอวี๋หวั่นซึ่งกำลังง่วนอยู่กับการสับกระดูก แล้วรีบกลับขึ้นไปบนห้อง
ขณะที่เขากำลังจะก้าวขึ้นชั้นบนนั้นเอง ร่างสูงใหญ่ก็เข้ามาประชิดตัว มือหนึ่งจับเขาไว้ อีกมือหนึ่งใช้ผ้าโปะที่จมูกของเขา
บนผ้านั้นมียาสลบ โจวจิ่นสูดเข้าไปได้ไม่เท่าไรก็หมดสติไป
…………………………..