ในที่สุดมู่ถิงก็รู้เรื่องที่โจวจิ่นหายตัวไป เหตุผลมิใช่อื่นใด หากแต่เป็นเพราะพ่อมดเหลียงและลูกน้องตามหาคนไปทั่วโรงเตี๊ยม ในตอนนั้นมู่ถิงซึ่งกำลังจะเข้าไปชักชวนมู่ชิงก็รู้เรื่องเข้า มู่ชิงกำลังสะลึมสะลือจนไม่ได้สนใจว่าทั้งสองคนเป็นใคร ส่วนมู่ถิงมองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นใคร
มู่ถิงแอบรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง เขาทิ้งมู่ชิงให้ผล็อยหลับไปกับโต๊ะ ปราดเข้าไปหาพ่อมดเหลียง แล้วกระซิบว่า “ท่านลุงเหลียง เกิดอะไรขึ้น ศิษย์น้องเล็กของข้าเล่า?”
เรื่องมาถึงจุดนี้แล้ว จะปิดบังไปก็คงไม่ได้ พ่อมดเหลียงจึงตัดสินใจบอกความจริงไป “เขาหายไปแล้ว”
“หายไปแล้วหมายความว่าอย่างไรขอรับ” มู่ถิงขมวดคิ้ว เขาฟื้นแล้ว และหนีไปอย่างนั้นหรือ?
เรื่องนี้มิได้อยู่เหนือความคาดหมายของพ่อมดเหลียง จากคำบอกเล่าของบุรุษชุดดำ ไม่มีผู้ใดเข้ามาในห้อง เช่นนั้นความเป็นไปได้มากที่สุดก็คือโจวจิ่นฉวยโอกาสที่เขาไม่ทันระวังหนีออกมา เพียงแต่เรื่องนี้น่าแปลกเสียจริง
พ่อมดเหลียงไม่มีเวลาบอกรายละเอียดกับมู่ถิง เขาพูดเพียงว่า “ข้าออกไปข้างนอกมา เมื่อกลับมาถึงห้อง ลูกน้องของข้าก็บอกว่าศิษย์น้องของเจ้าหายไปแล้ว พวกข้าหารอบหนึ่งแล้ว ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงา เขาคงจะ…ไม่ได้แอบอยู่กระมัง?”
เขาหมดสติไป เมื่อตื่นมาก็พบว่าตนเองอยู่ในห้องที่ไม่คุ้นเคย เป็นใครก็คงจะพอเดาได้ว่าตนเองกำลังตกอยู่ในอันตราย กระนั้นแล้ว…มู่ถิงก็ไม่คิดว่าศิษย์น้องของเขาจะซ่อนตัว
“ข้าจะไปดูว่าเขากลับห้องของตนเองไปแล้วหรือเปล่า” มู่ถิงพูดจบก็มุ่งหน้าขึ้นไปชั้นสอง เมื่อเดินผ่านทางเข้าห้องโถงกลาง ก็เหลือบไปเห็นเงาหนึ่งในลานด้านหลังโรงเตี๊ยม เขาจึงตามไป
“ศิษย์น้องเล็ก?” มู่ถิงมองไปยังโจวจิ่นซึ่งกำลังนั่งคุดคู้ กุมศีรษะด้วยความมึนงงอยู่ด้านหลังพุ่มไม้
โจวจิ่นเป็นลมไปเพราะตกใจกลัวเด็กน้อยทั้งสาม เขาเพิ่งจะฟื้นขึ้นมาเมื่อครู่ ยังคงรู้สึกวิงเวียน เมื่อได้ยินเสียงคนเรียกตนเอง จึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้นไปมอง “ศิษย์พี่ใหญ่?”
“เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?” มู่ถิงกระวีกระวาดเข้าไปหา สองมือคว้าไหล่ของเขา พร้อมกับตรวจดูว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติ เขาเป็นพ่อมดขาว ย่อมมีความรู้วิชาแพทย์อยู่บ้าง เมื่อเห็นว่าศิษย์น้องไม่เป็นไร เขาจึงวางใจ แต่เมื่อคิดว่าศิษย์น้องอาจถูกลักพาตัวมา ในใจของเขาก็อดรู้สึกผิดไม่ได้
“ศิษย์น้องเล็ก เจ้า…” เขามองไปยังโจวจิ่น
โจวจิ่นลูบศีรษะซึ่งยังคงมึนงงไม่หาย “ผีหน้าตาอัปลักษณ์เหลือเกิน…”
เมื่อเห็นปฏิกิริยาตอบสนองของพี่ชายคนนั้น เด็กทั้งสามก็วิ่งไปร้องไห้ให้ท่านยายปลอบ และยิ่งถ้าหากพวกเขาได้ยินคำพูดของโจวจิ่น ก็คงจะร้องไห้หนักกว่าเดิมเสียอีก
“ศิษย์น้อง เจ้าพูดอะไรหรือ?” มู่ถิงงงไปหมดแล้ว เขาได้ยินไม่ชัดเจน และถึงได้ยินชัดเจน เขาก็ไม่เข้าใจสิ่งที่โจวจิ่นพูด
“เมื่อครู่ข้าเดินอยู่ในลานด้านหลังโรงเตี๊ยม จากนั้นก็มีคนเข้ามาทางด้านหลัง แล้วข้าก็สลบไป…” แม้ว่าโจวจิ่นจะมองไม่เห็นใบหน้าของคนผู้นั้นอย่างชัดเจน แต่เขาก็สังเกตจากท่าทางที่คนผู้นั้นเข้ามาจับเขา อีกฝ่ายรูปร่างสูงใหญ่กว่าศิษย์พี่… เขาหมดสติไปใกล้กับพุ่มดอกไม้ เมื่อตื่นขึ้นมากลับพบว่าตนเองนอนอยู่ในกองฟาง
หรือว่า…เจ้าผีเด็กพวกนั้นจะช่วยเขาไว้
“นายท่าน! อยู่นั่นขอรับ!”
บุรุษชุดดำและพ่อมดเหลียงรุดเข้ามา
สายตาที่ทั้งสองมองโจวจิ่นนั้นแลดูประหนึ่งนักล่ากำลังมองเหยื่ออย่างไรอย่างนั้น จนโจวจิ่นเกิดความรู้สึกหวาดระแวง
มู่ถิงพยายามกดความรู้สึกผิดไว้ในใจ แล้วพูดกับโจวจิ่นว่า “ศิษย์น้อง เจ้าไม่ต้องกลัวไป เขาคือท่านลุงเหลียง เจ้าก็เคยพบเขา เจ้าจำได้ไหม?”
รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพ่อมดเหลียงในทันใด “จิ่นเอ๋อร์ นี่ลุงเหลียงเอง”
โจวจิ่นมองเขาเพียงแวบเดียว จากนั้นสายตาของเขาก็เคลื่อนไปยังบุรุษชุดดำด้านข้าง สายตาของเขากระตุกวูบหนึ่ง “เจ้าคือคนที่ทำให้ข้าสลบไป!”
บุรุษชุดดำตื่นตะลึง! สีหน้าของมู่ถิงและพ่อมดเหลียงเปลี่ยนไปในทันใด!
มู่ถิงฝืนใจพูดไปว่า “ศิษย์น้อง เจ้าอย่าพูดเหลวไหล เขาคือ…”
โจวจิ่นพูดตัดบทในทันที “ข้าจำกลิ่นของเขาได้!”
ครานี้ปิดอย่างไรก็คงปิดไม่มิด รอยยิ้มบนใบหน้าของพ่อมดเหลียงอันตรธานหายไป “น้องโจว ล่วงเกินแล้ว!”
พูดจบ เขาก็ส่งสายตาให้บุรุษชุดดำ บุรุษชุดดำพุ่งเข้าหาโจวจิ่น โจวจิ่นแม้จะเป็นพ่อมดใหญ่ แต่เขาก็เป็นพ่อมดขาว ไม่ได้ฆ่าคนเป็นว่าเล่นเฉกเช่นพ่อมดดำ พลังของเขาย่อมไม่อาจเทียบชั้นกับพ่อมดดำได้
เมื่อเห็นว่าบุรุษชุดดำกำลังจะพุ่งเข้ามาจับโจวจิ่น มู่ถิงก็เค้นกำปั้นแน่น ในใจคิดอยากเข้าไปช่วย แต่กลับรู้สึกลังเล ทันใดนั้นเอง แส้เส้นหนึ่งก็ฟาดเข้าใส่บุรุษชุดดำอย่างแรง!
บุรุษชุดดำไม่ทันได้ป้องกันตัว จึงถูกแส้ฟาดเข้า เขาชะงักไป และสัมผัสได้ถึงกลิ่นของเลือดในลำคอ
โจวอวี่เยี่ยนเข้ามาขวางด้านหน้าของโจวจิ่น กระชับแส้ในมือแน่น “ใครกล้าทำร้ายศิษย์น้องของข้า!”
มู่ถิงหน้าถอดสีในทันใด “ศิษย์น้องหญิง…”
สายตาของโจวอวี่เยี่ยนจับจ้องไปยังบุรุษชุดดำ “ศิษย์พี่รีบหลบไปเร็ว ข้ากลัวว่าแส้จะฟาดโดนท่าน!”
มู่ถิงท่าทางคล้ายกับมีเรื่องจะพูด ทว่าสุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกมา
บุรุษชุดดำและโจวอวี่เยี่ยนประมือกัน หากเทียบกันเรื่องพลังเวท โจวอวี่เยี่ยนเรียกได้ว่าไร้ซึ่งพรสววรรค์ แต่หากวัดกันเรื่องวรยุทธ์แล้ว นางไม่ด้อยไปกว่าใคร
ผ่านไปสิบกระบวนท่า บุรุษชุดดำก็ตกเป็นรอง
ขืนสู้กันต่อไป อย่าว่าแต่เอาชนะนางเลย ผู้คนคงจะแห่กันมามากกว่านี้ และนั่นไม่ใช่สิ่งที่พ่อมดเหลียงปรารถนา พ่อมดเหลียงจึงตัดสินใจฉวยโอกาสในขณะที่โจวอวี่เยี่ยนไม่ทันตั้งตัว หยิบยาสีดำเม็ดหนึ่งออกมา
นี่คือยากระดูกนิ่ม ขอเพียงโจวอวี่เยี่ยนสัมผัสถูกยาชนิดนี้เข้า นางก็จะสูญเสียวรยุทธ์ไปในชั่วพริบตาเดียว
มู่ถิงมองออกว่านั่นคือยาอะไร และรู้ว่าพ่อมดเหลียงคิดจะเล่นงานโจวอวี่เยี่ยน เขาพลันรู้สึกหนาวเหน็บในจิตใจ เขายังไม่ทันได้จัดการกับความรู้สึกของตนเอง ก็ตะโกนออกไปว่า “ศิษย์น้องหญิง! ระวัง!”
กระนั้นก็สายเกินไปเสียแล้ว พ่อมดเหลียงดีดยานั้นออกไป และยานั้นก็ถูกแส้ของโจวอวี่เยี่ยนฟาดเข้าเสียแล้ว
ยาเม็ดแตกออก ผงของยาด้านในกระจายลงบนร่างของโจวอวี่เยี่ยน
ทันใดนั้น โจวอวี่เยี่ยนก็รู้สึกคล้ายกับร่างกายอ่อนยวบและไร้เรี่ยวแรง บุรุษชุดดำกลับไม่ปล่อยนางไป เขาปล่อยกระบวนท่าออกไปแล้ว
บุรุษชุดดำประทับฝ่ามือลงบนหน้าอกของโจวอวี่เยี่ยน
“ศิษย์น้องหญิง!!” มู่ถิงร้องจนเสียงหลง
โจวจิ่นพุ่งเข้าไปขวางด้านหน้าของโจวอวี่เยี่ยน
โจวอวี่เยี่ยนหน้าถอดสี “อย่านะ!”
บุรุษชุดดำออกกระบวนท่าไปแล้ว
อย่างไรก็ดี ภาพเหตุการณ์นองเลือดกลับไม่ได้เกิดขึ้นอย่างที่นางจินตนาการไว้ เงาหนึ่งพุ่งลงจากฟ้า รับฝ่ามือของบุรุษชุดดำไว้ พร้อมทั้งฟาดฝ่ามือใส่อีกฝ่าย
บุรุษชุดดำถอยไปหลายก้าว สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
โจวอวี่เยี่ยนนัยน์ตากระตุกวูบ “อิ่งลิ่ว!”
อิ่งลิ่วเป็นหน่วยสอดแนม และเป็นหน่วยกล้าตาย วรยุทธ์ของเขาไม่อาจเทียบกับอิ่งสือซัน แต่เขาใช้ชีวิตอยู่บนเขาหมิงซานอยู่นาน ได้เรียนวรยุทธ์เพิ่มเติมมาไม่น้อย แค่จัดการลูกน้องของพ่อมดคนหนึ่งมิได้เหลือบ่ากว่าแรง
อิ่งลิ่วกำราบบุรุษชุดดำได้ในไม่กี่กระบวนท่า
พ่อมดเหลียงเห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีนัก จึงตัดสินใจหนี!
ทว่าวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าว เขาก็ถูกอิ่งสือซันยืนขวางอยู่ด้วยสีหน้าเย็นเยียบ
พ่อมดเหลียงมองไปยังบุรุษซึ่งใบหน้าเต็มไปด้วยจิตสังหาร เขาตกใจกลัวจนถอยหลังไป
น่าเสียดายที่อิ่งลิ่วอยู่ด้านหลังของเขา และเขาก็ไม่กล้าพาตนเองไปตายด้วยคมดาบของอิ่งสือซัน
“ท่านลุงเหลียง?” โจวอวี่เยี่ยนจำเขาได้
พ่อมดเหลียงตัวแข็งทื่อ
โจวอวี่เยี่ยนมองไปยังบุุรุษชุดดำที่อิ่งลิ่วจัดการจนสลบไป แล้วมองไปยังพ่อมดเหลียงด้วยความตะลึงงัน ถ้าหากนางจำไม่ผิด เขาเป็นคนที่คิดลอบทำร้ายนางเมื่อครู่ไม่ใช่หรือ? เหตุใดนางจึงคิดไม่ถึงว่าจะเป็นท่านลุงเหลียงเลยเล่า?
“เกิดอะไรขึ้นกัน?” โจวอวี่เยี่ยนขมวดคิ้ว
“ไอ้หยา ช่างเป็นละครที่สนุกเสียจริง” อวี๋หวั่นเดินเข้ามาอย่างไม่รีบร้อนพร้อมโบกพัดในมือ
ด้านหลังของเธอก็คือมู่ชิงซึ่งเมื่อครู่ผล็อยหลับไป
มู่ชิงรู้สึกตะลึงงันเมื่อเห็นภาพเหตุการณ์ตรงหน้า เกิดอะไรขึ้น? ทำไมถึงดูวุ่นวายเช่นนี้ อีกอย่าง ท่านลุงเหลียงมา
อยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน?
พ่อมดเหลียงและท่านพ่อของโจวอวี่เยี่ยนสนิทสนมกันมาก ทุกคนในสกุลโจวล้วนแต่รู้จักเขา แต่ว่า…ดูจากสีหน้าของท่านลุงเหลียงแล้ว ไฉนจึงรู้สึกไม่ชอบมาพากล?
โจวอวี่เยี่ยนมั่นใจแล้วว่าพ่อมดเหลียงกับบุรุษชุดดำเป็นพวกเดียวกัน สีหน้าของนางแข็งกร้าวขึ้นทันใด “เจ้าคนแซ่เหลียง! เหตุใดเจ้าต้องมาจับศิษย์น้องของข้าไป!”
“จับ…ศิษย์น้อง?” มู่ชิงมองไปยังพ่อมดเหลียงด้วยความแปลกใจ เขารีบวิ่งเข้าไปยืนข้างกายโจวอวี่เยี่ยนและอิ่งสือซัน โจวอวี่เยี่ยนถูกยากระดูกนิ่มเข้า ในตอนนี้นางทำได้เพียงนั่งอยู่กับที่ ไม่อาจลุกขึ้นยืนได้
“ศิษย์พี่หญิง ท่านเป็นอะไรไหม?” มู่ชิงพยุงนางขึ้นมา
“ข้าถูกเจ้าแก่นั่นทำร้ายน่ะสิ!” โจวอวี่เยี่ยนพูดพลางจ้องพ่อมดเหลียงเขม็ง ต่อให้เมื่อก่อนเขาเป็นเพื่อนสนิทมิตรสหายของท่านพ่อ ทว่าตั้งแต่วินาทีที่เขาจับศิษย์น้องเล็กของนางไป ทั้งยังทำร้ายนาง ในใจของนางก็ไม่คิดจะให้ความเคารพเขาอีกต่อไป
เรื่องราวถูกเปิดเผย พ่อมดเหลียงไม่ต่างอะไรกับสุนัขจนตรอก กระนั้นเขาก็ไม่ตื่นตระหนก เพียงแต่ปัดแขนเสื้อ เหยียดหลังตรง “ในเมื่อพวกเจ้ามองออกแล้ว ข้าก็จะตรงไปตรงมาเลยก็แล้วกัน ส่งตัวโจวจิ่นมา พวกเจ้าก็จะรอด! มิเช่นนั้น ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”
ผัวะ!
ทันทีที่เขาพูดจบ ก็ถูกฝ่ามือของอิ่งสือซันฟาดเข้าเต็มแรง เสียงดัง ‘แกร็ก’ ดังขึ้นในโสตประสาท ฟันของเขาหลุดออกทั้งหมด
“พวกเจ้า…”
พ่อมดเหลียงยังพูดไม่ทันจบประโยค อิ่งสือซันก็พุ่งเข้ามาบีบคอของเขา แล้วเหวี่ยงเขาเข้ากับกำแพง
พ่อมดเหลียงแทบหายใจไม่ออก
อวี๋หวั่นหุบพัด เอ่ยขึ้นว่า “เป็นอย่างไร คนของเจ้ากำลังจะตาย ไม่คิดจะออกหน้ามาห้ามหน่อยหรือ?”
มู่ถิงใบหน้าซีดเผือด เขาคิดว่าอวี๋หวั่นพูดกับตนเอง ไหนเลยจะรู้ว่าในชั่วพริบตาเดียว พลังรุนแรงสายหนึ่งปรากฏขึ้นที่ห้อง ‘สวรรค์’ บนชั้นสอง “ปล่อยเขา ปล่อยเด็กไว้ ไปจากโรงเตี๊ยมเดี๋ยวนี้!”
พ่อมดเหลียงนัยน์ตาเป็นประกาย “ใต้เท้า!”
อวี๋หวั่นหัวเราะ “ข้าไม่ชอบเงยหน้าคุยกับคน ไม่สู้เจ้าลงมาก่อนดีกว่าหรือ พวกเราจะได้คุยกันว่าพวกเจ้าจะไสหัวออกจากโรงเตี๊ยมอย่างไรดี!”
………………………..