แม้ว่าต๋าหว่าจะเคยพบผู้ติดต่อมาหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยรู้ชื่อเสียงเรียงนามของอีกฝ่าย ในครั้งนี้ เขาพบป้ายคำสั่งที่คล้ายกับหนังสือผ่านทางจากตัวของอีกฝ่าย จึงรู้ว่าเขาแซ่เวิน นามว่าซวี่
ข้อมูลของเผ่าพ่อมดนั้นมิได้สืบได้ง่ายนัก เพราะฉะนั้นต่อให้อยู่ในตลาดมืด ก็ยังไม่รู้ว่าบุคคลที่ชื่อว่าเวินซวี่ผู้นี้มีที่มาที่ไปอย่างไร แต่ในเมื่อราชินีแม่มดมอบหมายภารกิจที่สำคัญเช่นนี้ให้เขา แสดงว่าฐานะของเขาจะต้องไม่ธรรมดา
ไม่รู้ว่าเขาทำงานอย่างเปิดเผยตัวตนหรือทำงานอย่างปกปิดตัวตน
“ถ้าหากเป็นตำหนักทมิฬ ก็อาจไม่ใช่เรื่องดีเท่าไรในสถานการณ์ตอนนี้”
การวิเคราะห์ของอวี๋หวั่นมิใช่ไร้เหตุผลเสียทีเดียว หากทำงานอย่างปกปิดตัวตน นั่นหมายความว่าผู้ที่รู้จักเขานั้นมีไม่มาก แล้วพวกเขาจะติดต่อกับราชินีแม่มดได้อย่างไรกัน
“เฮ้อ คงทำได้เพียงภาวนาให้เขามีสถานะที่เปิดเผยสินะ”
และสวรรค์ก็รับฟังคำภาวนาของอวี๋หวั่น หลังจากการเดินทางอันยาวไกลร่วมครึ่งเดือน พวกเขาก็มาถึงทางเข้าของเผ่าพ่อมด ที่นี่มีประตูเมืองที่ใหญ่คล้ายกับในต้าโจว และมีทหารคอยอารักขา
พ่อมดไม่ฝึกวรยุทธ์ แต่ก็ไม่ใช่ว่าคนเผ่าพ่อมดจะฝึกสำเร็จเป็นพ่อมด จึงมีบางคนที่ไปเป็นทหาร
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ทำให้พวกเขาต้องตกตะลึงนั้นก็คือ ผู้ที่อารักขาประตูเมืองของที่นี่ไม่ใช่ทหารทั่วไป หากแต่เป็นหลัวช่าที่ทำให้ใต้หล้าต่างต้องกลัวจนตัวสั่น
ต๋าหว่าอดถอนหายใจออกมาไม่ได้ “มิน่าเล่า หลายปีมานี้จึงไม่มีผู้ใดกล้าบุกเข้าไปในเผ่าพ่อมด”
ใช้หลัวช่าเฝ้าประตูเมือง ใครหน้าไหนจะกล้าบุกเข้าไปเล่า?
อิ่งสือซันพลิกตัวลงจากหลังม้า แล้วพูดกับรถม้าของอวี๋เซ่าชิงและเยี่ยนจิ่วเฉาว่า “นายท่าน คุณชาย ฮูหยินน้อย พวกท่านรอที่นี่ก่อนนะขอรับ ข้ากับเวินซวี่จะไปสืบข่าว”
อวี๋เซ่าชิงเลิกม่านมองออกไปยังกำแพงเมืองสูงตระหง่าน สายตาของเขามองไปยังราชาหลัวช่าร่างสูงใหญ่สองคน แล้วกระซิบว่า “พวกเขาไม่ใช่หลัวช่าโลหิตกระมัง?”
ต๋าหว่าพูดว่า “เป็นหลัวช่าทหาร ฝึกฝนเพียงวรยุทธ์ ไม่กินเลือดมนุษย์ แต่อย่าได้ดูแคลนพวกเขาเพียงเพราะเรื่องนี้ หลัวช่าทหารทุกล้วนแต่มีร่างกายที่แข็งแกร่งดุจเหล็กกล้า พลังภายในของพวกเขายังมีมากกว่าหลัวช่าโลหิตอีกด้วย”
จริงที่ว่าความแข็งแกร่งของหลัวช่าโลหิตช่วยเสริมพลังภายในที่ไม่เพียงพอ ทว่าหลัวช่าโลหิตก็มีโอกาสแว้งกัดได้ง่าย ดังนั้นเผ่าพ่อมดจำต้องฝึกสิ่งมีชีวิตเช่นนี้ขึ้นมาแทน
ต๋าหว่าลงจากม้า แล้วเดินตรงไปยังประตูเมืองพร้อมกับอิ่งสือซัน
ที่นั่นนอกจากจะมีหลัวช่าทหารสองคนแล้ว ยังมีทหารยามคอยอารักขาอีกหลายคน ตอนนี้ต๋าหว่ามีใบหน้าของเวินซวี่ และไม่รู้ว่าทหารยามเหล่านี้จะรู้จักเขาหรือไม่
“ใต้เท้าเวิน!” หนึ่งในทหารยามเห็นต๋าหว่า ก็รีบทำความเคารพในทันใด จากนั้นคนอื่นๆ ก็เห็นเขาอย่างรวดเร็ว และรีบทำความเคารพ
เมื่อเหล่าพ่อมดที่ผ่านไปผ่านมาได้ยินว่าใต้เท้า ‘เวิน’ ก็เผยสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความเคารพออกมา
ดูแล้ว เขาน่าจะเป็นใหญ่เป็นโตพอสมควร
ต๋าหว่าและเวินซวี่พบหน้ากันหลายครั้ง จึงสามารถเลียนแบบน้ำเสียงและท่าทางของเขา ต๋าหว่าเดินเข้าไปอย่างไม่รีบร้อน แล้วกวาดสายตามองไปที่ฝูงชน “เอาละ ไม่ต้องมากพิธี ข้าเดินทางไปหลายวัน ในเผ่าไม่ได้เกิดเรื่องขึ้นกระมัง?”
“เรียนใต้เท้าเวิน ไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นขอรับ” ทหารยามที่เห็นต๋าหว่าคนแรกเอ่ยขึ้น
“ใต้เท้า เขาคือ…” ทหารยามอีกคนหนึ่งมองไปยังอิ่งสือซันซึ่งยืนอยู่ด้านข้าง
ต๋าหว่ากระแอม แล้วกล่าวว่า “เขาคือคนที่ข้าพามา ม้าของข้าเหนื่อยแล้ว เจ้าไปเตรียมรถม้ามาสองคัน กับองครักษ์อีกสักหน่อย ส่งข้ากลับจวน”
“ขอรับ!”
ต๋าหว่าออกคำสั่ง ทหารยามจึงไม่นึกเคลือบแคลงใจแต่อย่างใด และรีบไปเตรียมการ
เรื่องนี้ราบรื่นกว่าที่จินตนาการไว้ เป็นเพราะพวกเขากลับเผ่ามากับต๋าหว่า ทหารยามเฝ้าเมืองจึงไม่ได้ซักไซ้ให้มากความ จากนั้นก็เชิญเยี่ยนจิ่วเฉา อวี๋หวั่น และคนอื่นๆ ขึ้นรถม้า
ขณะที่อวี๋หวั่นนั่งบนรถม้า เธอเลิกม่านออกมองไปยังตลาดร้างผู้คน แล้วพึมพำเบาๆ ว่า “ทหารเผ่าพ่อมดเข้มงวดถึงเพียงนี้ แต่พวกเรากลับเข้ามาได้อย่างง่ายดาย เวินซวี่คนนี้ เป็นใครกันแน่นะ”
หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วยาม รถม้าก็เคลื่อนมาถึงจวนขนาดใหญ่กลางป่าทึบ ป้ายหน้าจวนขนาดมหึมา เขียนด้วยอักษรโบราณขนาดใหญ่ว่า ‘จวนสกุลเวิน’
“ใต้เท้าเวิน ถึงจวนแล้วขอรับ” องครักษ์พลิกตัวลงจากรถม้า คำนับเขาครั้งหนึ่ง
ต๋าหว่าเปิดม่าน ก้าวลงจากรถม้า
ในขณะเดียวกัน เยี่ยนจิ่วเฉาและอวี๋หวั่นก็ลงจากรถม้า
จากนั้นอวี๋หวั่นต้องถึงกับตะลึงงัน
จวนสกุลเวินอะไรนี่ มันจะไม่ใหญ่ไปหน่อยหรือ?
ต๋าหว่าก็ไม่ได้ตกใจน้อยไปกว่าอวี๋หวั่น อวี๋หวั่นโชคดีที่เคยเข้าวังหลวง เคยอาศัยอยู่ในจวนแม่ทัพและจวนเจ้าเมือง ทว่าต๋าหว่าเป็นเพียงผู้พิทักษ์ของตำหนักทมิฬ นะ…นี่มันเป็นจวนที่ใหญ่พอๆ กับวังหลวงเลยไม่ใช่รึ?!
ต๋าหว่ากลืนน้ำลาย “…นี่บ้านข้าหรือ?”
ทหารยามเฝ้าประตูเมืองไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูด จึงคิดว่าจวนแห่งนี้เปลี่ยนไปจากก่อนหน้าที่ใต้เท้าเวินจะออกไป เขาเป็นคนนอก ย่อมไม่รู้ว่าสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไป จึงมิได้นึกเคลือบแคลงใจแต่อย่างใด
เขายิ้ม แล้วกล่าวว่า “ใต้เท้า ท่านเข้าไปเถิดขอรับ จากบ้านไปนาน ผู้อาวุโสต้องอยากพบท่านเป็นแน่”
หัวใจของต๋าหว่าเต้นระรัว “จะ จะ เจ้า…เจ้าบอกว่าใครอยากพบข้านะ?”
“ผู้อาวุโสขอรับ!” ทหารยามรู้สึกฉงนใจกับท่าทางของ ‘เวินซวี่’ วันนี้ใต้เท้าเวินเป็นอะไรกัน? ทำท่าทำทางอย่างกับไปทำความผิดมา ถึงไม่กล้ากลับจวน…
ต๋าหว่าหันไปด้านข้าง ไม่ได้ปริปากพูดอะไร กลับพูดเล็ดลอดไรฟันออกมา ที่นี่คงไม่ใช่บ้านของผู้อาวุโส…บ้านเดิมของราชินีแม่มดหรอกใช่ไหม?”
อิ่งลิ่วเดินเข้ามา เมื่อได้ฟังสิ่งที่เขาพูด มุมปากก็กระตุกขึ้นเล็กน้อย “คงไม่ได้โชคร้ายถึงเพียงนั้นหรอกกระมัง…”
“นายท่านรองขอรับ! ท่านกลับมาแล้ว!” บุรุษวัยกลางคนคนหนึ่งรีบเข้ามาต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ทหารยามเฝ้าประตูเมืองรีบยกมือขึ้นคำนับ “พ่อบ้านเวิน”
เขาคือพ่อบ้านของจวนสกุลเวิน…ยืนยันตัวตน!
ความเศร้าโศกโหมซัดเข้ามาในใจของต๋าหว่า “ข้านึกเสียใจตอนนี้ทันหรือไม่?”
อิ่งสือซันและอิ่งลิ่วเข้าไปพยุงเขาไว้คนละข้าง “นายท่านรอง! กลับมาแล้ว!”
อวี๋หวั่นยกมือขึ้นกุมขมับ
ถ้ารู้เช่นนี้แต่แรก ไม่สู้ภาวนาให้เวินซวี่ปฏิบัติภารกิจลับก็คงดี…
เข้ามาในรังสุนัขป่าแล้ว ทีนี้จะยังทำใจสบายๆ ไม่ตื่นตระหนกได้อีกหรือ?
พ่อบ้านเวินเป็นบ่าวที่ภักดีต่อสกุลเวิน เดิมทีเขาเป็นเด็กกำพร้า ผู้อาวุโสสูงสุดจึงมอบแซ่เวินให้เขา เขาจึงทำงานในสกุลเวินมาตลอด ขยันขันแข็ง มีความรับผิดชอบและละเอียดรอบคอบ
เมื่อรู้ว่าทหารยามเฝ้าประตูเมืองเป็นคนพานายท่านรองบ้านตนกลับจวน เขาจึงรีบหยิบเงินให้เหล่าทหาร และพานายท่านรองและ ‘แขก’ ที่นายท่านรองพากลับมาเข้าไปในจวน
ต๋าหว่าขาสั่นไปหมดแล้ว!
น่ากลัวเหลือเกิน เขายอมเป็นสายสืบ แต่กลับต้องเข้ามาในบ้านของผู้อาวุโสสูงสุด ถ้าเรื่องแดงขึ้นมา ชีวิตน้อยๆ ของเขาคงรักษาไว้ไม่ได้อย่างแน่นอน!
อิ่งสือซันเดินอยู่ด้านหลังต๋าหว่าอย่างปราศจากความตื่นตระหนก เมื่อเห็นต๋าหว่าขาสั่นไม่หยุด จึงยื่นด้ามกระบี่ไปสะกิด
ต๋าหว่าตกใจ แต่ก็พยายามระงับความตื่นกลัวในใจ
ในเมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึงจุดนี้ จะหนีก็คงไม่ทันเสียแล้ว พวกเขาทำได้เพียงงัดฝีมือการแสดงอันเยี่ยมยอดออกมาแสดงตามน้ำไป!
“ช่วงที่ข้าไม่อยู่ ในจวนเรียบร้อยดีกระมัง?” ต๋าหว่าพูดเลียนน้ำเสียงของเวินซวี่
พ่อบ้านเวินยิ้ม ตอบว่า “เรียบร้อยดี เรียบร้อยดีขอรับ สภาอาวุโสงานยุ่ง หลายวันมานี้ท่านผู้อาวุโสสูงสุดพักอยู่ที่นี่ นายท่านจึงไปช่วย ฮูหยินรองล้มป่วยเมื่อไม่กี่วันก่อน วันนี้ดีขึ้นแล้ว อีกประเดี๋ยวนายท่านรองจะไปหานางก็ได้ขอรับ”
แม้จะพูดน้อย แต่ในสิ่งที่เขาพูดกลับเต็มไปด้วยข้อมูลสำคัญ เมื่อดูจากลำดับรุ่นในตระกูลแล้ว เวินซวี่คงจะเป็นรุ่นหลาน นายท่านที่พ่อบ้านเวินพูดถึงน่าจะเป็นบิดาบังเกิดเกล้าของเขา ผู้อาวุโสสูงสุดคือปู่ของเขา ส่วนฮูหยินรองก็คือภรรยาของเวินซวี่
อวี๋หวั่นเหลือบมองเยี่ยนจิ่วเฉา
เยี่ยนจิ่วเฉายังคงเดินมองตรง แม้จะไม่ได้มองเธอ แต่ก็ใช้มือซึ่งซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อกว้างจับมือเธอไว้ บอกเป็นนัยว่าไม่ต้องกลัว
แน่นอนว่าอวี๋หวั่นไม่ได้กลัว เธอรู้สึกปลอดภัยเสมอเมื่อมีเขาอยู่ด้วย
ต๋าหว่ายังคงยึดหลักการว่ายิ่งพูดมากยิ่งมีจุดผิดพลาดมาก เขาจึงปิดปากสนิท มิได้สนทนากับพ่อบ้านเวิน
พ่อบ้านเวินเหลือบมองไปยังกลุ่มคนด้านหลัง สายตาของเขาไปหยุดอยู่ที่เยี่ยนจิ่วเฉาและอวี๋หวั่น เยี่ยนจิ่วเฉาหล่อเหลาดุจเทพบนสวรรค์ ท่าทางสง่างามราวกับเป็นชนชั้นสูง ทำให้ละสายตาไปไม่ได้ ส่วนอวี๋หวั่นนั้นงดงามทั้งใบหน้าและผิวพรรณ แม้แต่สตรีในภาพเขียนยังมิอาจเทียบได้
“นายท่านรองขอรับ พวกเขา…เป็นใครหรือ” พ่อบ้านเวินกระซิบถาม
“สิ่งที่ไม่ควรถาม เจ้าก็ไม่ต้องถาม” ต๋าหว่าเชิดหน้าขึ้น แสดงได้สมบทบาท
“ขอรับ!” พ่อบ้านเวินก้มหน้า ไม่กล้าล้ำเส้นไปมากกว่านี้ และพาต๋าหว่ากับคนอื่นๆ ไปยังเรือนของเวินซวี่
โชคดีที่ต๋าหว่าอยู่คนเดียว ฮูหยินรองและอนุภรรยาคนอื่นๆ ของเขาพักอยู่ในเรือนอีกหลังหนึ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะลดโอกาสเสี่ยงที่จะถูกเปิดโปงไปได้อีก
รถม้าของพวกเขามาถึงแล้ว รถม้าของอวี๋เซ่าชิงและโจวจิ่นอยู่ตามมาด้านหลัง เนื่องจากต๋าหว่าออกคำสั่ง ตอนที่พ่อบ้านเวินพาพวกเขาเข้าไปในจวน แม้จะเห็นว่ามีพ่อมดระดับเทียนวัยละอ่อนคนหนึ่งติดตามมาด้วย แต่ก็พยายามอดกลั้น ไม่ได้ถามออกไป
พ่อบ้านเวินกล่าวว่า “นายท่านรอง ข้าจัดให้แขกเข้าพักในห้องปีกแล้วขอรับ ท่านมีเรื่องอะไรจะสั่งอีกไหมขอรับ”
ต๋าหว่าวางท่าแล้วตอบไปว่า “ไม่มี เจ้าออกไปก่อนเถิด มีเรื่องอะไรข้าจะเรียกเอง”
“ขอรับ นายท่านรอง” พ่อบ้านเวินถอยออกไป
ทันทีที่เขาออกไปจากเรือน ต๋าหว่าก็เข่าทรุดลงกับพื้น กัดนิ้วมือของตนเอง เนื้อตัวสั่นเทิ้ม!
โอ๊ยๆๆ!
เขาลอบเข้ามาในบ้านของราชินีแม่มด!
เขาตายแน่! ตายแหงแก๋แน่ๆ!
………………………..