สภาอาวุโสมีผู้อาวุโสทั้งหมดเจ็ดท่าน แม้สถานะของผู้อาวุโสสามไม่อาจสู้ผู้อาวุโสใหญ่ ทว่าก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อาวุโสสี่และผู้อาวุโสเจ็ด ยามที่ราชาพ่อมดป่วยในครานั้น ผู้อาวุโสสองกับผู้อาวุโสสี่ต่อต้านราชินีแม่มดที่ครองอำนาจราชาพ่อมด ผู้อาวุโสสามเดินหน้ารวมผู้อาวุโสห้าและผู้อาวุโสเจ็ดสนับสนุนของราชินีแม่มดให้มั่นคง ดังนั้น อิทธิพลของผู้อาวุโสสามจึงไม่อาจมองข้าม
หากไม่เช่นนั้น ผู้อาวุโสใหญ่จะเห็นแก่หน้าตาของเนี่ยหวั่นโหรวเช่นนี้หรือ?
เพียงแต่ ต่อให้ผู้อาวุโสใหญ่ให้ความสำคัญกับเนี่ยหวั่นโหรวมากเพียงใด ก็ไม่ใช่ความสุขของสตรี หากแต่เป็นสามีภรรยารักใคร่กลมเกลียวราวกับดนตรีที่สอดประสาน และให้กำเนิดบุตรชายมากมายถึงจะถูก
ในวันนี้ สายตาของผู้อาวุโสสามไม่ละไปจากบุตรเขย บุตรเขยไม่รับรู้ว่าถูกตนจับตามอง เพราะสายตาของเขาก็จับจ้องอยู่กับเนี่ยหวั่นโหรว
ต๋าหว่าไม่รู้จักผู้ใด เกรงว่าตนจะถูกเปิดเผย จึงติดตามฮูหยินรองไม่ห่าง ฮูหยินรองเรียกคน เขาก็เรียกคน ฮูหยินรองนั่ง เขาก็นั่ง กระทั่งไปห้องน้ำ เขาก็ตามนางไปถึงประตู..
ฮูหยินรองโกรธจนหน้าแดง “ท่าน…ท่านออกไปรอข้างนอก!”
เหล่าสตรีน้อยใหญ่ที่ผ่านไปมาหัวเราะคิกคัก
เวินซวี่เปลี่ยนนิสัยตน หรือว่าสมองถูกลาถีบไปเสียแล้ว จู่ๆ ถึงได้ติดภรรยาเช่นนี้?
ผู้อาวุโสสามเองก็กระอักกระอ่วนอย่างบอกไม่ถูก
เวินซวี่ในอดีต ดูอย่างไรก็เหมือนกับหมาป่าดุร้าย ทว่าวันนี้กลับกลายเป็นลูกสุนัขติดคนเสียแล้ว
ฮูหยินรองไม่ได้อยากเข้าห้องน้ำจริงๆ ทว่าระดูทำให้นางไม่สบายตัวนัก จึงอยากพักอยู่ในห้องน้ำสักหน่อย เมื่อออกจากเรือนก็เห็นต๋าหว่าทอดถอนใจยาวด้วยความโล่งอก
ต๋าหว่าปากไม่เอ่ยสิ่งใด ทว่าทั้งใบหน้ากลับเขียนคำพูดไว้ว่า ‘ในที่สุดเจ้าก็ออกมาสักที หากไม่มีเจ้า ข้าจะทำเช่นไร’
ฮูหยินรองหลุบตา โค้งมุมปากเล็กน้อย
แววตาของบุตรสาวไม่อาจหลอกลวงผู้ใด แม้ไม่รู้ว่าทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร แต่แน่นอนว่าเวินซวี่ไม่ได้รังแกบุตรสาวของเขาอีกแล้ว แท้จริงผู้อาวุโสสามเองก็เคยคิดว่า ความอ่อนโยนของเวินซวี่นั้น เสแสร้งหรือจริงใจ หากจริงใจย่อมดีที่สุด แต่หากเสแสร้ง…
“ผู้อาวุโสสาม!”
ขณะที่กำลังไตร่ตรองถึงเรื่องนี้ องครักษ์จากสภาอาวุโสนายหนึ่งก็เดินเข้ามาด้วยท่าทีร้อนใจ กระซิบสองสามประโยคข้างหูเขา สีหน้าของผู้อาวุโสสามก็เปลี่ยนไป “มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ? ผู้อาวุโสใหญ่รู้หรือไม่?”
องครักษ์กล่าวว่า “เขาเป็นคนแรกที่รู้เรื่อง และรีบไปที่วังหลวงแล้ว ผู้อาวุโสที่เหลือในยามนี้ก็น่าจะกำลังไปเช่นกัน!”
“เหลวไหล เหลวไหลสิ้นดี!” เหตุการณ์ใหญ่โตเช่นนี้ ไหนเลยผู้อาวุโสสามจะยังมีแก่ใจร่วมพิธีสรงสามของหลาน เขารีบให้คนเตรียมรถม้ามุ่งหน้าไปยังวังหลวง
เมื่อไปถึงวังหลวง เหล่าผู้อาวุโสทั้งหมดต่างก็ถึงกันหมดแล้ว
“ผู้อาวุโสทั้งหลายมาถึงแล้ว ผู้อาวุโสใหญ่เล่า?” เขาลงจากรถม้า
กล่าวกับผู้อาวุโสทั้งห้าสหายของเขา “ผู้อาวุโสใหญ่ไปที่วิหารกวังหมิงแล้ว หวังว่าจะหยุดยั้งราชินีแม่มดไว้ได้ทันเวลา ปีศาจตนนั้นจะถูกปล่อยออกมาไม่ได้!”
แม้แต่ผู้อาวุโสสองกับผู้อาวุโสห้าที่ไม่ค่อยลงรอยกับพวกเขาก็ยังพยักหน้าพร้อมกัน ทุกคนในที่นี้ยังจำเหตุการณ์ที่เผ่าพ่อมดเกือบจะถูกทำลายเมื่อครั้งอดีตได้ ไม่มีผู้ใดรู้ว่าปีศาจตนนั้นถูกสร้างขึ้นมาอย่างไร หากรอให้ค้นพบ คิดจะกำจัดมันก็สายไปแล้ว
แม้ว่าพวกเขาจะเกลียดชังสายสืบของเผ่าศักดิ์สิทธิ์มาก แต่ก็ต้องยอมรับว่า การมีสายสืบของเผ่าศักดิ์สิทธิ์เป็นเรื่องดี!
ต่อให้รวมพลังของราชาศักดิ์สิทธิ์กับราชาพ่อมดก็ทำได้เพียงปราบปรามปีศาจตนนั้น แม้พวกเขาอยากจะสังหารให้สิ้น แต่น่าเสียดายที่ไม่อาจทำได้ เห็นได้ชัดว่าเจ้าสิ่งนั้นแข็งแกร่งยิ่งนัก
ราชินีแม่มดปลดปล่อยหายนะเช่นนี้ออกมา มิใช่เป็นการก่อความโชคร้ายแก่เผ่าพ่อมดหรอกหรือ?
หากยืมมือปีศาจสังหารสายสืบพวกนั้นแล้วจะใช้สิ่งใดสังหารปีศาจนั้นได้อีกเล่า?
“ราชินีแม่มดบ้าไปแล้วหรือ? แม้คนพวกนั้นจะจับองค์ชายเยี่ยยางไป ก็ไม่ควรหุนหันพลันแล่นเช่นนี้!”
“ใช่ จะปลุกปีศาจขึ้นมาไม่ได้เด็ดขาด!”
“ทุกอย่างขึ้นอยู่กับผู้อาวุโสใหญ่แล้ว!”
ท่ามกลางบทสนทนาของคนสองสามคน เสียงคำรามอันน่าสยดสยองก็ระเบิดจากวิหารกวังหมิง สีหน้าทุกคนแตกตื่นถอดสี
ผู้อาวุโสสี่คว้าแขนของผู้อาวุโสสามไว้แน่น “แย่แล้ว ปีศาจตื่นขึ้นมาแล้ว ไม่…ไม่ทันการแล้ว!”
…
ต๋าหว่าและฮูหยินรองกลับถึงจวนหลังจากไปร่วมพิธีสรงสาม ยามนี้ท้องฟ้ามืดแล้ว บนถนนไม่มีผู้คนเดินขวักไขว่มากนัก รถม้าแล่นไปอย่างไม่มีอุปสรรค จู่ๆ ม้าตัวหนึ่งก็ควบเข้ามาขวางทางคนทั้งสอง
สารถีรีบดึงบังเหียนแน่น “ผู้ใดกัน?!”
บนหลังม้ามีสตรีชุดขาวสวมหมวก ไม่พูดจาเอาแต่จ้องไปที่ม่านของรถม้า
ฮูหยินรองเปิดม่านมองดูนาง และกล่าวกับต๋าหว่าว่า “เป็นหลีชั่ว คนสนิทของราชินีแม่มด”
สวมหมวกปิดบังใบหน้าเช่นนี้ก็ยังจำได้อีกหรือ? สัญชาตญาณของสตรีช่างน่ากลัวยิ่งนัก!
ต๋าหว่าตั้งสติแล้วกล่าวว่า “อาจเพราะราชินีแม่มดมีเรื่องเร่งด่วนตามหาข้า เจ้ากลับจวนไปก่อน”
ฮูหยินรองพยักหน้า
ต๋าหว่าลงจากรถม้า แล้วรถม้าก็ขับผ่านหลังเขาไปอย่างช้าๆ ฮูหยินรองเปิดม่านหันกลับมามองเขา ทว่าไม่เอ่ยสิ่งใดแล้วก็ปิดม่านลงเงียบๆ
“มีเรื่องใด?” ต๋าหว่าเงยหน้าขึ้นมองสตรีบนหลังม้า น้ำเสียงของเขาเย็นชาราวกับคนแปลกหน้า
หลีชั่วหรี่ตา ถอดหมวกแล้วกล่าว “ท่านเปลี่ยนไปนะ!”
หัวใจของต๋าหว่ากระตุกวูบ
“ปีศาจจิ้งจอกนั่นใช้เสน่ห์อะไรกับท่าน? ถึงทำให้ท่านไม่แม้แต่จะมองข้าตรงๆ?” เวินซวี่ในอดีตมักเล่นหูเล่นตากับนางเสมอ ราชินีแม่มดไม่ยกตนให้เขา แต่นางก็กลายเป็นคนของเขาไปนานแล้ว เพียงแต่ไม่มีสถานะใดเท่านั้น
หลีชั่วพลิกตัวลงจากหลังม้า และเข้าไปหาต๋าหว่าทีละก้าว
เหงื่อเย็นผุดจากหน้าผากของต๋าหว่า
หลีชั่วหยุดอยู่ตรงหน้าเขา “สิ่งที่หงหลวนทำให้ท่านได้ ข้าก็ทำได้”
ต๋าหว่าผงะ
“เจ้าตัวเล็กพวกนั้น เป็นท่านที่วานให้หงหลวนแอบพาออกจากจวนใช่หรือไม่?”
“หา?”
“ท่านสนใจนางจิ้งจอกนั่นหรือ? เพื่อนางแล้ว ไม่ลังเลที่จะทรยศต่อองค์ราชินีแม่มดเลยหรือ?”
“เอ่อ….”
หลีชั่วเชยคางเขาขึ้นและกล่าวช้าๆ “ข้าบอกแล้ว หงหลวนช่วยท่านได้ ข้าก็ช่วยได้เช่นกัน ข้ามาที่นี่ในวันนี้เพื่อบอกท่าน ข้อตกลงในคืนนี้ทางที่ดีท่านอย่าไป ไม่เช่นนั้น ท่านอาจตายอยู่ที่นั่น”
หมายความว่าอย่างไร? หรือราชินีแม่มดส่งยอดฝีมือที่เก่งกาจยิ่งกว่าหลัวช่าทหาร?
พวกเยี่ยนจิ่วเฉากำลังตกอยู่ในอันตรายหรือ?
ต๋าหว่าไม่สนใจจะจัดการกับหลีชั่ว เขาหันตัวเดินไปในตรอกด้านข้าง
เมื่อเห็นเขารีบร้อนจากไปเช่นนี้ หลีชั่วก็กระทืบเท้าอย่างโกรธเคือง “ข้ารู้ว่าท่านยังไม่ตัดใจจากนางจิ้งจอกนั่น!”
หลีชั่วอยากตามไปดู แต่เมื่อคิดถึงเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้น ก็รู้สึกว่าตนไม่ไปทิ้งชีวิตให้เปล่าประโยชน์จะดีกว่า
หลีชั่วกลับขึ้นม้า และกล่าวอย่างเย็นชา “กล้าสู้กับราชินีแม่มด ก็รอดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”
…
คืนพระจันทร์เต็มดวงใกล้เข้ามา เยี่ยนจิ่วเฉาไม่สะดวกจะเดินทาง คนที่พาเยี่ยยางไปแลกเปลี่ยนตัวประกันคืออวี๋เซ่าชิง อิ่งสือซัน อิ่งลิ่วและโจวจิ่น เหตุผลที่พาโจวจิ่นไป เพราะกังวลว่าราชินีแม่มดจะปลอมตัวราชาพ่อมด มีเพียงโจวจิ่นเท่านั้นที่สามารถบอกได้ว่าอีกฝ่ายเป็นราชาพ่อมดตัวจริงหรือไม่
“ข้าก็อยากไป” โจวอวี่เยี่ยนกล่าว “ข้าไม่อาจวางใจปล่อยศิษย์น้องของข้าไปเพียงลำพัง”
วรยุทธ์ของนางไม่ได้อ่อนแอ ไปก็ไม่มีปัญหา
อวี๋เซ่าชิงพยักหน้า “ก็ดี”
โจวอวี่เยี่ยนยิ้มอย่างมีความสุข เดินกระโดดมาอยู่ข้างกายอิ่งลิ่ว กะพริบตาใส่เขา “เดี๋ยวข้าจะปกป้องเจ้าเอง”
“เจ้าไม่ได้ไปปกป้องศิษย์น้องของเจ้าหรือ?” อิ่งสือซันก้าวเข้ามาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ คั่นระหว่างนางกับอิ่งลิ่วแยกทั้งสองออกจากกัน
“ข้าก็ปกป้องทั้งศิษย์น้องและอิ่งลิ่วนั่นแหละ” โจวอวี่เยี่ยนขบเม้มริมฝีปาก
“ข้าไม่ต้องให้เจ้าปกป้องหรอก อิ่งสือซันจะปกป้องข้าเอง” อิ่งลิ่วกล่าวอย่างจริงจัง
โจวอวี่เยี่ยนสำลักกับความไร้เดียงสาไม่เข้าใจอารมณ์รักของอิ่งลิ่ว ดวงตางามถมึงมอง “เจ้าโง่!”
จู่ๆ ก็ถูกด่าว่าโง่ อิ่งลิ่วมองอิ่งสือซันอย่างไม่เข้าใจ อิ่งสือซันเพียงตบไหล่เบาๆ “ดีแล้ว ไม่เป็นไร”
อิ่งลิ่ว “โอ้”
คนทั้งกลุ่มออกเดินทางไปยังทางเดินเลียบผาสู่จ๊กก๊กทางตะวันตกของเมือง
เยี่ยยางและโจวจิ่นอยู่ในรถม้าคันเดียวกัน
เมื่อไปได้ครึ่งทาง เยี่ยยางก็ตื่นขึ้นเงียบๆ เขารู้ว่าถูกคนกลุ่มนี้ลักพาตัว และรู้ว่าพวกเขากำลังจะแลกตนกับบิดาของตน สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือ คนผู้นั้นก็เป็นของบิดาของโจวจิ่น
“แค่พวกเจ้าไม่กี่คนก็คิดจะพาตัวเสด็จพ่อของข้าไป? ไม่มีทาง! เผ่าศักดิ์สิทธิ์อย่างพวกเจ้า ไม่ได้เรื่องสักคน!” เยี่ยยางย่อมจะต้องคิดว่าพวกเขาเป็นสายสืบของเผ่าศักดิ์สิทธิ์แน่นอน นอกจากเผ่าศักดิ์สิทธิ์แล้ว ก็ไม่มีผู้ใดกล้าอุกอาจทำกับเผ่าพ่อมดเช่นนี้
โจวจิ่นไม่สนใจเขา
เยี่ยยางยกสันมือขึ้นเงียบๆ เขาเคยฝึกฝนวรยุทธ์ การทำให้เด็กคนหนึ่งสลบไปไม่ใช่ปัญหา อีกเดี๋ยวหากทำให้โจวจิ่นสลบแล้ว ก็สามารถดึงโจวจิ่นเป็นตัวประกันหนีไปจากที่นี่
ไหนเลยจะรู้ว่าสันมือนั้นยังไม่ทันสับลง ก็ถูกสัตว์พิษตัวน้อยฟาดเข้าฉาดใหญ่!
เยี่ยยางร้องด้วยความเจ็บปวด “พวกเจ้าจะต้องชดใช้! เสด็จแม่ของข้าจะฆ่าพวกเจ้า!”
โจวจิ่นยังคงเมินเฉยต่อองค์ชายที่ถูกโอ๋จนเสียคนผู้นี้ เขาเปิดม่านรถม้ามองขึ้นไปในความมืดไร้ที่สิ้นสุด
อิ่งสือซันควบม้าอยู่ข้างรถ ถามเขาว่า “ดูสิ่งใดอยู่หรือ?”
“ศาสตร์แห่งดวงดาว” โจวจิ่นกล่าว
อิ่งสือซันมองตามไปบนท้องฟ้า “ดวงดาวคืนนี้เป็นอย่างไร?”
โจวจิ่นกล่าวอย่างมั่นใจ “ดาวจื่อเวย[1]มืดมิด ดวงจันทร์สว่าง เป็นลางร้ายใหญ่หลวง”
“ลางร้ายใหญ่หลวง?” ยังไม่ทันสิ้นเสียงอิ่งสือซัน เสียงขับร้องของสตรีที่คล้ายมีกลับไม่มีก็ดังขึ้น ว่างเปล่าเงียบสงบเป็นอิสระ ราวกับเสียงสวรรค์ เพียงแต่เลือนรางไม่ชัดเจนนัก
ดวงดาวบนท้องฟ้าล้วนถูกเมฆบดบัง มีเพียงดวงจันทร์ที่ส่องสว่างราวกับจานกลมที่แขวนลอยประดับฟ้า
เสียงขับร้องของสตรีใกล้เข้ามา ราวกับบทเพลงของเงือกสมุทรที่สง่างามเพริศพริ้ง
ป่าสองข้างฝั่งเงียบสงัดลง ไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงลม
เสียงขับร้องเข้าใกล้และชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่ใกล้เข้ามาพร้อมกับเสียงขับร้อง คือเสียงกระดิ่งทองแดงที่ไพเราะน่าฟัง
จู่ๆ โจวอวี่เยี่ยนก็ชี้ไปด้านหน้าและตะโกนว่า “พวกเจ้าดูสิ! นั่นอะไร!”
…………………………………………
[1] ดาวจื่อเวย 紫微星 ดาวจื่อเวยเป็นดวงดาวแห่งจักรพรรดิ ซึ่งเป็นชื่อเรียกอีกอย่างของดาวเหนือ