“ผู้อาวุโสสาม เรื่องนี้ ท่านเห็นว่าอย่างไร?”
หลังออกจากตำหนักราชินีแม่มด ผู้อาวุโสห้าและผู้อาวุโสเจ็ดก็เรียกหยุดผู้อาวุโสสาม ผู้ที่ถามเมื่อครู่ก็คือผู้อาวุโสห้า
ทั้งสองเติบโตมาด้วยกัน เป็นสหายรักสนิทสนม ทั้งในยามแรกก็ติดค้างบุญคุณสกุลเนี่ย หลายปีมานี้ ทั้งสองจึงสนับสนุนผู้อาวุโสสามอย่างสุดความสามารถ
เรื่องในวันนี้ พวกเขาเชื่อว่าผู้อาวุโสสามก็เห็นปัญหาเช่นกัน สิ่งที่พวกเขาต้องการคือความเห็นของผู้อาวุโสสาม จะปล่อยให้ราชินีแม่มดสร้างปัญหา หรือจะคิดหาวิธีหยุดยั้งนาง
ผู้อาวุโสสามนิ่งเงียบไม่โต้ตอบ
ผู้อาวุโสห้ากล่าวว่า “เราเป็นสหายกันมาหลายปี ข้าจะไม่อ้อมค้อม เรื่องในวันนี้ ชัดเจนว่าเป็นข้อแก้ตัวของราชินีแม่มด เจ้าคิดจะทำเช่นไร?”
ผู้อาวุโสสามทอดถอนใจ
เขาก็สับสนมากเช่นกัน
หากไม่พูดถึงความสัมพันธ์กษัตริย์กับราษฎร ราชินีแม่มดเป็นน้องสาวของเวินซวี่ หากเวินซวี่กับเนี่ยหวั่นโหรวยังเหมือนน้ำกับไฟยังพอว่า หากเขาเอะอะ ก็ไม่แน่ว่าอาจรับบุตรีกลับบ้านได้อย่างมีเหตุผลสมควร แต่…โหรวเอ๋อร์กับเวินซวี่ดูเหมือนจะไปกันได้ดีแล้ว
ผู้อาวุโสสามรู้ดีว่าไม่ควรใช้ความรู้สึกส่วนตัวกับราชกิจของเผ่าพ่อมด แต่เขาอายุมากแล้ว นับวันยิ่งไม่ได้มีจิตใจแข็งกร้าวเช่นยามหนุ่ม เมื่อนึกย้อนถึงหนี้ที่ติดค้างบุตรสาวในยามนั้น ไม่มีคราใดที่เขาไม่เสียใจ
“พวกเจ้าให้ข้าคิดดูอีกทีเถิด” ผู้อาวุโสสามกล่าว
ผู้อาวุโสเจ็ดกล่าวว่า “หากเจ้าไม่คำนึงถึงชาวเผ่าพ่อมด ก็คำนึงถึงโหรวเอ๋อร์สักหน่อย หากมีสิ่งใดผิดพลาด ในฐานะสะใภ้สกุลเวิน นางก็อาจถูกลากไปเกี่ยวด้วย”
ต่อให้ผู้อาวุโสสามจะคำนึงถึงโหรวเอ๋อร์ก็ยังไม่ได้รีบร้อนเปิดโปงราชินีแม่มด ทว่าชีวิตรักของสตรีนั้นไม่ง่ายที่จะอธิบายให้ผู้อาวุโสทั้งสองเข้าใจ
ผู้อาวุโสสามกล่าว “ข้าก็ไม่จำเป็นต้องตามใจนางสุ่มสี่สุ่มห้า ข้าต้องการเวลาคิดหาทางรับมือ” และต้องการหยั่งความรู้สึกของบุตรีด้วย
ผู้อาวุโสห้าตบไหล่เขา “แม้ข้ากับผู้อาวุโสเจ็ดจะมีความคิดเดียวกับเจ้า แต่เรื่องหลัวช่าวิญญาณ เราเห็นด้วยกับผู้อาวุโสสองและผู้อาวุโสสี่ เจ้าควรตัดสินใจโดยเร็วที่สุด พวกเราจะได้รู้ว่าต้องวางแผนอย่างไรต่อไป”
“ข้าเข้าใจแล้ว” ผู้อาวุโสสามทอดถอนใจ
เหล่าผู้อาวุโสแยกย้ายกลับจวนของตน
ในเรือนจวนสกุลเวิน อวี๋หวั่นและคนอื่นๆ ก็กำลังปวดหัวกับหลัวช่าวิญญาณ
“ตามที่อาม่ากล่าวมา แม้แต่ราชาศักดิ์สิทธิ์กับราชาพ่อมดก็ยังฆ่ามันไม่ได้ จะมีวิธีจัดการกับมันจริงๆ หรือ?” อวี๋หวั่นถามด้วยใบหน้าโศกเศร้า
ชุยเฒ่านั่งแทะขาแพะข้างเตียง เหลือบมองอาม่าที่นั่งตรงข้ามอวี๋หวั่น “ฉิวเฒ่า เจ้าพูดสิ!”
อวี๋เซ่าชิง อิ่งสือซัน อิ่งลิ่ว และโจวอวี่เยี่ยนก็อยู่ที่นั่นเช่นกัน พวกเขาต่างมองไปที่อาม่า
อาม่ากล่าวว่า “ยามนั้น มีโอกาสที่จะสังหารหลัวช่าวิญญาณอยู่จริงๆ ราชาศักดิ์สิทธิ์ตัดสินใจทุ่มสุดตัวดับสูญไปพร้อมกับหลัวช่าวิญญาณ ทว่าจู่ๆ กลับพบว่าตนกำลังตั้งครรภ์ นางไม่อาจปล่อยให้เด็กในท้องตายไปพร้อมกับตน จึงทำได้เพียงร่วมมือกับราชาพ่อมดกักขังพลังของหลัวช่าวิญญาณ”
อวี๋หวั่นพึมพำ “กล่าวอีกนัยหนึ่ง หากจะฆ่าหลัวช่าวิญญาณ ต้องมียอดฝีมือที่เก่งกาจเทียบเท่าราชาศักดิ์สิทธิ์ตายไปพร้อมกับมันหรือ? อย่ามองข้านะ แม้ข้าจะทรงพลังนัก แต่ก็ยังไม่อยากตาย!”
ทุกคน “…”
พวกเราแค่กังวลว่าหลัวช่าวิญญาณจะมาตามหาราชาศักดิ์สิทธิ์ในท้องของเจ้าเท่านั้น เจ้าคิดอะไร…
ทั้งยังทรงพลัง…
เฮอะ!
อวี๋เซ่าชิงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “พวกเจ้าก็อย่ามองข้า แม้ข้าจะแข็งแกร่งกว่าอาหวั่นอยู่บ้าง แต่ข้าจะไม่มีทางตายไปพร้อมกับหลัวช่าวิญญาณ”
เขาเป็นบิดาของบุตรสองคน เป็นสามีของอาซู ใต้หล้ากว้างใหญ่เช่นนั้น เขายังคิดจะพาอาซูไปเดินเล่นอยู่!
ทุกคน “…”
พวกเราไม่ได้มองเจ้าเลยสักนิด
แล้วภาพลวงตาที่คิดว่าตนแข็งแกร่งกว่าอาหวั่นอยู่บ้างนั่นมาจากที่ใด?
ฮูหยิน ท่านไม่สนใจสามีของท่านจริงๆ หรือ?
เจียงน้อยจอมเจ้าเล่ห์ที่นั่งอยู่ในเรือน ส่องกระจกแปะฮัวหวง คะนึงถึงเงาหลัวช่าวิญญาณ บุรุษสุดงดงามยิ่ง อดไม่ได้ที่จะ…ซู้ด!
ทุกคน “…”
โอ๊ยยยย! ครอบครัวนี้มันอะไรกัน?!!
อิ่งสือซันกระแอมในลำคอ “ไม่เช่นนั้น…พวกเราไม่สนเรื่องของเผ่าพ่อมด เพียงแต่ช่วยราชาพ่อมดออกมาก็พอ” มีราชาพ่อมดแล้ว โจวจิ่นก็มีบิดาแล้ว คุณชายก็ได้ส่วนผสมยาอย่างสุดท้าย เช่นนี้นับว่ามีประสิทธิภาพมากที่สุดสำหรับพวกเขาแล้ว
ทุกคนไม่มีข้อโต้แย้งในเรื่องนี้
โจวจิ่นเข้าวังไปแล้ว แม้ว่าเขาจะไปอย่างรีบร้อน ไม่มีเวลาทิ้งคำพูดใดๆ แต่พวกเขาเชื่อว่าโจวจิ่นเป็นคนฉลาด เดาได้ว่าพวกเขาจะตัดสินใจอย่างไร และร่วมมือกับพวกเขา ช่วยเหลือราชาพ่อมดออกมา
และโจวจิ่นก็เดาว่าพวกเขาจะสามารถเดาความคิดของโจวจิ่นได้ ดังนั้นโจวจิ่นจึงไม่ต้องพยายามอำนวยความสะดวกในเรื่องนี้
นี่คือข้อดีของการคบหากับคนฉลาด
อิ่งสือซันกล่าวว่า “คืนนี้พระจันทร์เต็มดวง คุณชายสูญจะเสียพลังทั้งหมด ต้องรบกวน…นายท่านอยู่ดูแลคุณชายที่จวน ข้ากับอิ่งลิ่วจะเข้าวัง”
“ข้าก็ไปด้วย!” โจวอวี่เยี่ยนเอ่ยปาก
มู่ชิงก็อยากไป ทว่าเขาไม่รู้วรยุทธ์ คงช่วยอะไรไม่ได้มาก “เช่นนั้นข้าจะรอฟังข่าวพวกเจ้าอยู่ที่จวน”
เมื่อเห็นอิ่งสือซันและอิ่งลิ่วออกมา เจียงน้อยจอมเจ้าเล่ห์ก็แวบไปอยู่ต่อหน้าทั้งสอง ดวงตาเป็นประกาย “จะเข้าวังแล้วหรือ?”
“ไม่อนุญาตให้ท่านไป!”
ทั้งสองประสานเสียง!
พอเห็นบุรุษรูปงามก็เดินไม่ไหว นี่จะไปสู้กันเอง หรือสู้กันเองกันแน่?
เจียงน้อยจอมเจ้าเล่ห์มุ่ยปากอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ
ฮึ
นึกถึงเรื่องเมื่อคืนนั้น ทั้งสองต่างก็หวั่นวิตก หลัวช่าวิญญาณใช้วิชาดูวิญญาณกับฮูหยิน สวรรค์รู้ว่าพวกเขากังวลว่าจะมีผลกระทบภายหลังกับฮูหยินมากเพียงใด แต่ผลชัดเจนว่าฮูหยินไม่เป็นไรแม้แต่น้อย ดูแล้วฮูหยินเพียงแค่กระหายในความงามของบุรุษผู้นั้น
ว่ากันว่าความงามทำให้คนหลงผิด คำกล่าวนี้เป็นเรื่องจริง
วังหลวงเพิ่มความคุ้มกันเข้มงวด ความเป็นไปได้ที่จะใช้วิชาตัวเบาแอบเข้าไปมีไม่มากนัก พวกเขาหาต๋าหว่าพบแล้วปลอมตัวเป็นองครักษ์ของต๋าหว่าเข้าวัง
ต๋าหว่าหาข้ออ้างมาเยี่ยมเยียนเยี่ยยาง เขาเดินทางไปถวายพระพร ‘พี่สาว’ ที่ตำหนักราชินีแม่มดก่อน ราชินีแม่มดได้ยิน ‘เยี่ยยาง’ กล่าวว่าเขาไม่ได้พบต๋าหว่าเลยในช่วงที่ถูกจับตัวไป จึงลดความสงสัยในตัวต๋าหว่าไปหลายส่วน
แต่เมื่อได้ยินว่าเขากำลังจะไปพบเยี่ยยาง ราชินีแม่มดก็ยังคงส่ายหน้าไม่เห็นด้วย
ต๋าหว่าเข้าใจบทบาทลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ การแสดงก็ยิ่งพัฒนา เขากล่าวอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “เหตุใดรึ? หรือว่าท่านพี่ยังสงสัยว่าข้าเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้? ข้าก็บอกไปแล้ว ข้าเองก็ถูกหลอก ไม่รู้ว่าสตรีผู้นั้นเป็นสายสืบของเผ่าศักดิ์สิทธิ์! วันนั้นหลังจากนางหนีออกจากวัง ข้าก็ไม่ได้เจอนางอีกเลย ส่วนพรรคพวกของนาง ข้ายิ่งไม่รู้จัก”
ราชินีแม่มดกล่าวว่า “ข้าไม่ได้สงสัยเจ้า แต่เยี่ยยางไม่อยากพบผู้ใด เขาอาจจะกำลังตกใจ หลังจากกลับมาก็ขังตัวเองอยู่ในห้อง แม้แต่ข้าก็ยังไม่อยากพบ”
“เช่นนั้นเขากินข้าวหรือยัง?” ต๋าหว่าถามด้วยความเป็นห่วง
ราชินีแม่มดพูดด้วยความปวดหัว “กินแล้ว ข้าให้คนส่งไป เห็นเขากินสองคำ”
ดวงตาของต๋าหว่าเป็นประกาย เขาหยิบกล่องอาหารขึ้นมาแล้วกล่าวว่า “ข้านำขนมอบพันชั้นพุทราจีนที่เขาโปรดปรานที่สุดมาให้ ให้ข้าไปเกลี้ยกล่อมเขาดูเถิด บุรุษด้วยกัน บางทีเขาอาจจะฟังข้าก็ได้”
“ก็ดี ข้าจะไปกับเจ้า” หลังจากราชินีแม่มดกล่าวจบ นางก็ลุกขึ้น
ต๋าหว่าลอบบ่นพึมพำ เจ้าไปกับข้า แล้วข้าจะจัดการอย่างไร?
แต่ราชินีแม่มดยืนยันจะทำเช่นนี้ เขาไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องฝืนใจไปตำหนักของเยี่ยยางพร้อมกับราชินีแม่มด
เมื่อไปถึง เหล่านางข้าหลวงกลับบอกว่าองค์ชายเยี่ยยางเสด็จออกไปแล้ว
“เขาไปที่ใด?” ราชินีแม่มดถาม
ไม่แปลกที่นางจะตกใจปานนี้ เด็กคนนี้ขังตัวเองอยู่ในห้องตั้งแต่กลับมา เหตุใดถึงออกไปกะทันหันเช่นนี้?
นางข้าหลวงกล่าว “ทูลองค์ราชินีแม่มด ฝ่าบาทไปหาราชาพ่อมดเพคะ”
“อ้อ” ราชินีแม่มดเผยสีหน้าครุ่นคิด
ราชาพ่อมดเจ็บป่วยมาหลายปี ราชินีแม่มดไม่ต้องการให้เยี่ยยางพบความผิดปกติของราชาพ่อมด จึงใช้เหตุผลที่ไม่อยากให้เขาติดอาการป่วย ห้ามองค์ชายเยี่ยยางไปเยี่ยมเป็นการส่วนตัว หากว่ากันตามหลัก องค์ชายเยี่ยยางไม่ควรไปพบราชาพ่อมดคนเดียวถึงจะถูก
เมื่อต๋าหว่าเห็นท่าทีของราชินีแม่มด ก็เดาว่าการกระทำของโจวจิ่นอยู่นอกเหนือบุคลิกของเยี่ยยาง เขากลอกตา “รอดจากเหตุกาณ์เลวร้ายมา จู่ๆ จึงคิดถึงบุญคุณของบิดามารดากระมัง?”
ราชินีแม่มดขมวดคิ้ว “ทว่ายามที่ข้าไปพบเขา ก็ไม่รู้สึกว่าเขาจะคิดถึงข้านัก…”
ต๋าหว่าระงับความรู้สึกผิด “ไม่เช่นนั้น…ท่านกลับตำหนักไปก่อน แล้วให้ข้าไปหาเยี่ยยางดีหรือไม่?”
ราชินีแม่มดลังเล
ต๋าหว่าแอบภาวนาให้ราชินีแม่มดไม่ไปกับตน ไม่เช่นนั้น เขาก็หมดหนทางจะทำน้ำลอดใต้ทรายกับโจวจิ่นแล้ว
“ช่างเถอะ ข้า…” ราชินีแม่มดกำลังจะกล่าวว่าไปกับต๋าหว่า แต่จู่ๆ องครักษ์จากวิหารกวังหมิงก็เข้ามากระซิบบางอย่างกับนางอย่างรีบร้อน เรียวคิ้วนางขมวดมุ่น “เร็วเช่นนี้เชียว?”
ต๋าหว่าจิตใจกระวนกระวาย สิ่งใดเร็วเช่นนี้ หรือว่าบุรุษนั่นตื่นเร็วเช่นนี้?
เช่น เช่นนั้นจะให้พบโจวจิ่นไม่ได้ เขาจะมองทะลุภาพลวงตาของโจวจิ่น!
เจ้าต้องรีบพาโจวจิ่นออกจากวัง!
ราชินีแม่มดกล่าวว่า “ข้ามีธุระ เจ้าไปเถอะ จำไว้ว่าอย่าให้เยี่ยยางเห็นสภาพบิดาของเขา”
ต๋าหว่าทอดถอนใจโล่งอก ไม่ตามไปก็ดีๆ…
เขารีบตอบ “ข้าเข้าใจ ท่านพี่!”
ราชินีแม่มดหันตัวกลับไปที่วิหารกวังหมิง
ต๋าหว่ารีบไปยังตำหนักราชาพ่อมด
หลัวช่าวิญญาณตื่นขึ้นเป็นครั้งที่สองแล้ว ทุกครั้งที่ตื่นขึ้นจะยิ่งแข็งแกร่งและยาวนานกว่าครั้งก่อน บัดนี้เป็นโอกาสเดียวของพวกเขาแล้ว!
พาโจวจิ่นกับราชาพ่อมดออกไป หากล้มเหลว ก็อาจไม่มีครั้งที่สอง!
พระพุทธเจ้า ท่านเทพเซียน เทพพ่อมดสูงสุด…คุ้มครองต๋าหว่า! คุ้มครองต๋าหว่า! คุ้มครองต๋าหว่า!
…………………………………………