ผู้อาวุโสใหญ่ก็เป็นพ่อมดใหญ่ระดับเทียน เมื่อเห็นว่าแววตานางข้าหลวงผิดแปลกไป ก็รู้ได้ทันทีว่านางถูกสะกดจิต ดวงตาของเขาพลันเยียบเย็น เดินอ้อมฉากกั้นไป เห็นแท่นบรรทมที่ราชาพ่อมดควรนอนอยู่ กลับเหลือเพียงความว่างเปล่า โซ่ที่ควรมัดราชาพ่อมดไว้ก็ขาดสะบั้น
“เหตุใดเป็นเช่นนี้? ราชาพ่อมดละ?”
“เยี่ยยางละ?”
“เวินซวี่กันราชินีแม่มดละ?!”
เวลานี้ ราชินีแม่มดอยู่ข้างโลงศพในวิหารกวังหมิง หลัวช่าวิญญาณตื่นขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง และขอวัตถุดิบยาบางอย่างกับนาง ยาเหล่านี้จะช่วยให้หลัวช่าวิญญาณตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์ ทั้งยังฟื้นฟูพลังกลับไปสู่ช่วงเวลาที่แข็งแกร่งที่สุด กระทั่งสามารถปลดผนึกของราชาพ่อมดกับราชาศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างสมบูรณ์
ส่วนเล็กๆ ของการปิดผนึกในยามนั้นคือโซ่เหล็กนอกโลง ราชินีแม่มดตัดโซ่เหล็กนั้นแล้ว ทว่าการปิดผนึกกว่าครึ่งที่เหลือคือโลงศพ ซึ่งราชินีแม่มดไม่มีอำนาจมากพอจะจัดการได้
“เข้าใจแล้ว ยาที่ท่านกล่าวถึง ข้าจะไปหามาให้แทนท่าน เช่นนั้น ก่อนจะถึงเวลานั้น ขอท่านผู้ยิ่งใหญ่เหนือผู้ใดโปรดรออย่างวางใจเถิด”
ยามที่ราชินีแม่มดออกมาจากวิหารกวังหมิง ผู้อาวุโสใหญ่ก็ได้ตรวจสอบที่มาที่ไปของเหตุการณ์ทั้งหมดจนกระจ่างแล้ว ที่แท้ เยี่ยยางกลับวังมาคราวนี้ก็ดูเปลี่ยนเป็นอีกคน ไม่แยแสผู้ใด ทั้งยังไปหาราชาพ่อมดลับหลังราชินี
เวินซวี่เองก็เข้าวัง เดิมทีจะไปตำหนักราชาพ่อมดพร้อมกับราชินี ทว่าน่าเสียดายที่เกิดการเคลื่อนไหวในวิหารกวังหมิงเสียก่อน ราชินีแม่มดจึงปล่อยเขาและไปดูหลัวช่าวิญญาณ จากนั้นเวินซวี่ก็พาองครักษ์สองนายไปตำหนักราชาพ่อมดกับเขา——
และจากนั้น นางข้าหลวงก็ถูกใช้เวทมนตร์ คำพูดของนางไม่อาจใช้เป็นหลักฐาน
ไม่เพียงแต่นางข้าหลวงที่เฝ้าราชาพ่อมดเท่านั้นที่ถูกเวทมนตร์ ยังมีองครักษ์เฝ้าประตูด้วย
เพราะถูกใช้คาถา องครักษ์จึงเห็นเพียงราชาพ่อมด ไม่เห็นเวินซวี่กับเยี่ยยางในรถม้า
“เจ้าเด็กนี่…เหตุใดถึงทำเรื่องเหลวไหลเช่นนี้? พาราชาพ่อมดกับเยี่ยยางออกจากวัง! เขาคิดจะทำอะไรกันแน่!”
“ท่านปู่ ท่านมาแล้วหรือ?” ราชินีแม่มดพบกับผู้อาวุโสใหญ่ที่ประตูวัง
ผู้อาวุโสใหญ่กล่าวว่า “ราชาพ่อมดหายไปแล้ว เยี่ยยางก็ไม่พบเช่นกัน! ข้าสงสัยว่าเวินซวี่จะพาพวกเขาไป!”
“อะไรนะ?” ราชินีแม่มดตกใจ
“ผู้อาวุโสใหญ่! ผู้อาวุโสใหญ่!” องครักษ์จวนสกุลเวินนายหนึ่งควบม้ามาด้วยความเร็ว พลิกตัวลงจากหลังม้า แล้วก้าวไปตรงหน้าเขากับราชินีแม่มด
“เกิดอะไรขึ้น?” ผู้อาวุโสใหญ่ขมวดคิ้วเอ่ยถาม
องครักษ์หน้าตาตื่นราวกับคนเห็นผี “พะ พบ…องค์ชายเยี่ยยางแล้วขอรับ!”
องครักษ์พบเขาที่เรือนจวนของเวินซวี่ ราชาพ่อมดมาถึงมือแล้ว ไม่จำเป็นต้องเก็บตัวปัญหาไว้อีก จึงทิ้งเขาไว้ในห้องนอนของเวินซวี่ ยามที่สาวใช้มาทำความสะอาดจัดแจงที่นอนให้เวินซวี่ก็เห็นว่าจู่ๆ มีคนคนหนึ่งเพิ่มขึ้นมา จึงกรีดร้องด้วยความตกใจ
ผู้ดูแลสกุลเวินได้ยินเสียง จึงวิ่งมาดู นี่ไม่ใช่องค์ชายเยี่ยยางหรอกหรือ?
ผู้ดูแลรีบปลุกเยี่ยยาง และถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้น
“ข้าจำไม่ได้” เยี่ยยางกล่าว
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าของผู้อาวุโสใหญ่ก็หม่นลงเล็กน้อย “พลังเวทแข็งแกร่งเสียจริง!”
แม้แต่ความทรงจำก็ถูกลบหายไปจนสิ้น!
ดูจากเผ่าพ่อมดทั้งหมด ก็ไม่มีพ่อมดคนใดมีความสามารถเช่นนี้
“เป็นโจวจิ่น!” ราชินีแม่มดกัดฟันพูด
เมื่อเรื่องราวมาถึงจุดนี้ หากราชินีแม่มดยังเดาไม่ออกว่าทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรก็ดูไม่สมควรนัก เด็กที่ถูกร่างแยกของหลัวช่าวิญญาณพากลับมาไม่ใช่เยี่ยยางแต่แรก แต่เป็นเจ้าเด็กเลี้ยงแกะโจวจิ่น!
เขาใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนของหลัวช่าวิญญาณ ใช้เวทมนตร์ปิดฟ้าข้ามทะเล[1] ไม่เพียงหลอกนางสำเร็จ แต่ยังพาราชาพ่อมดออกจากวังไปด้วย
นางก็คิดอยู่แล้ว อยู่ดีๆ เด็กคนหนึ่งจะมีนิสัยเปลี่ยนไปหลังจากถูกลักพาตัวได้อย่างไร?
“เป็นความประมาทของข้า! ข้าไม่คิดว่าเจ้าเด็กสารเลวนั่นจะกล้าทำเช่นนี้! ช่างร้ายกาจนัก!”
จริงสิ ต่อให้หลัวช่าวิญญาณจะอ่อนแอเพียงใด ก็ยังเป็นหลัวช่าวิญญาณ ไม่มีทางถูกหลอกง่ายๆ แต่โจวจิ่นทำได้ จะสามารถเช่นนี้ก็ไม่แปลก อย่างไรเขาก็เป็นสายเลือดของราชาพ่อมด แต่ความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวและสติปัญญาเช่นนั้น มิใช่ทุกคนจะมีได้
“สมกับเป็นทายาทของราชาศักดิ์สิทธิ์กับราชาพ่อมด” ผู้อาวุโสใหญ่ทอดถอนใจ
ราชินีแม่มดเอ่ยเสียงเย็นชา “ท่านปู่ นี่เวลาใดแล้วท่านยังมีแก่ใจไปชื่นชมบุตรของสองคนนั่นอีกหรือ?”
ผู้อาวุโสใหญ่ทอดถอนใจ “หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ยามแรกเจ้าจะทำเช่นไร?”
ราชินีแม่มดลมหายใจหยุดชะงัก
ผู้อาวุโสใหญ่มองนางเนือยนิ่ง “เจ้าควรจะฆ่าราชาพ่อมดตั้งนานแล้ว หากฆ่าเขาไป ไม่ว่าเรื่องใดก็จะไม่เกิดขึ้น”
ราชินีแม่มดนิ่งเงียบ
ใช่ นางน่าจะฆ่าบุรุษผู้นั้นตั้งนานแล้ว ทว่ายังไม่สาแก่ใจ นางอยากดูบุรุษผู้นั้นทรมานครั้งแล้วครั้งเล่าจนแก่ชรา นางต้องการตามหาเด็กมารนั่น และทำลายมันต่อหน้าเขา!
นางต้องการให้ความอดทนและเพียรพยายามของเขาในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเผาไหม้จนหมดสิ้น อยากเห็นเขาโกรธเกลียดนาง หมดหนทางกับนาง!
ราชินีแม่มดบีบนิ้วอย่างเย็นชา “ข้าจะไม่ให้พวกมันทำสำเร็จ! ราชาพ่อมด โจวจิ่น แล้วก็คนพวกนั้น ผู้ใดก็อย่าหวังจะได้หนี!”
ราชินีแม่มดระดมสรรพกำลังทั้งหมดที่สามารถหาได้ ผู้อาวุโสใหญ่ก็ระดมกองกำลังองครักษ์จากสภาผู้อาวุโส ทั้งสองกลุ่มรีบมุ่งหน้าไปที่ประตูเมือง
“พบเห็นใต้เท้าเวินหรือไม่?”
“ใต้เท้าเวินกับฮูหยินรองไปทางนั้นแล้ว”
องครักษ์เฝ้าเมืองชี้บอกทาง กององครักษ์ไล่ล่าก็มุ่งหน้าไปสังหารอย่างเย็นชา
พวกอวี๋หวั่นเดินทางผ่านตลาดไปแล้ว กำลังจะนั่งรถม้าไปรวมกับพวกอวี๋เซ่าชิง การเดินครั้งนี้ก็จะหยุดลงอีกครั้ง
ต๋าหว่าก็ควรแยกทางกับฮูหยินรองแล้ว
“ใต้เท้าเวิน ได้เวลาออกเดินทางแล้ว” โจวอวี่เยี่ยนแต่งตัวเป็นสารถีเอ่ยเตือน
ต๋าหว่ารู้สึกขมขื่น “ข้ารู้ พวกเจ้าไปรอข้าข้างหน้า ข้า…ข้ากล่าวกับนางไม่นานก็จะตามไป”
โจวอวี่เยี่ยนขับรถม้าไปหาอวี๋หวั่นและคนอื่นๆ อย่างช้าๆ
ต๋าหว่าจูงม้า ยืนอยู่ที่ทางสี่แยกกับฮูหยินรอง ข้างหลังเป็นเผ่าพ่อมด ข้างหน้าเป็นทางไม่หวนกลับ
ฮูหยินรองเหลือบมองต๋าหว่าปราดหนึ่ง ก่อนจะหลับตาพลางเอ่ยอย่างเร่งเร้า “พวกท่านรีบไปเถอะ”
“เจ้า…จะไม่ถามหรือว่าเหตุใดพวกเราถึงต้องทำสิ่งเหล่านี้?”
“ข้าเชื่อว่าท่าน…ต้องมีเหตุผลของตนแน่” ฮูหยินรองยิ้ม ตบที่อานม้าแล้วกล่าว “ขึ้นม้าเถอะ ประเดี๋ยวตามไม่ทัน”
“เจ้าจะกลับอย่างไร?” ต๋าหว่าถาม
ฮูหยินรองยิ้ม “ข้าแค่บอกองครักษ์เหล่านั้นว่าข้าเป็นฮูหยินของจวนสกุลเวิน ย่อมมีคนพาข้ากลับไปส่ง”
ต๋าหว่ารู้สึกแข็งทื่อ ทำอะไรไม่ถูก “เมื่อครู่…ข้าพบผู้อาวุโสสามระหว่างทาง ขอโทษ ข้าให้คนสะกดจุดเขา”
ฮูหยินรองผงะไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เหลือบมองอิ่งสือซันและคนอื่นๆ ที่จากไปแล้ว “ขอบคุณที่ไม่ปล่อยให้พวกเขาฆ่าพ่อของข้า”
“อา…” ต๋าหว่าตกตะลึง
ฮูหยินรองยิ้มอย่างนุ่มนวล “เอาละ ได้เวลาไปแล้วจริงๆ”
ต๋าหว่ากัดริมฝีปาก พลิกตัวขึ้นม้า “ข้า…”
ต๋าหว่าอยากจะบอกนางว่าตนชื่อต๋าหว่า
ข้าไม่ใช่เวินซวี่
เวินซวี่ไม่อาจกลับมาได้อีกแล้ว
ข้าก็ไม่อาจกลับมาได้อีกแล้วเช่นกัน
ฮูหยินรองถือผ้าเช็ดหน้า โบกมือลาด้วยรอยยิ้ม “ไปเถอะ”
ต๋าหว่าหันหน้ามองตรง สองขาบีบท้องม้า ควบออกไป
ฮูหยินรองยืนนิ่งอยู่ตรงทางแยก มองดูร่างที่หายลับไปสุดทาง รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ จางลงทีละน้อย
นางเงยหน้าขึ้นราวกับถูกสายลมเม็ดทรายพัดให้ตาพร่า นางรู้สึกเจ็บดวงตาเล็กน้อย
นางหันหลังเดินกลับไป
ทันใดนั้น เสียงเกือกม้ากระทบพื้นก็ดังมาจากด้านหลัง หัวใจของนางสั่นไหว หันกลับไปอย่างไร้ยางอาย ก็เห็นต๋าหว่าขี่ม้าพุ่งมาหานาง
ลมหายใจของนางบีบรัดขึ้นทันใด
ต๋าหว่าหยุดม้าตรงหน้านาง สูดหายใจแล้วพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “เจ้าอยากไปกับข้าหรือไม่?”
“อะไรนะ?” ฮูหยินรองผงะงวยงง
ต๋าหว่าใช้ความกล้าหาญทั้งชีวิต ใบหน้าของเขาแดงก่ำ หัวใจเต้นรัว “ข้าบอกว่าเนี่ยหวั่นโหรว เจ้าอยากไปด้วยกันกับข้าหรือไม่?”
ฮูหยินรองพูดด้วยความงุนงง “ไป…ด้วยกันคือ…”
นางอ้ำอึ้ง ไม่กล้าพูดต่อ
ต๋าหว่าทุ่มสุดตัว พูดออกไปด้วยความกล้าหาญ “ไปจากจวนสกุลเวิน! ไปจากเผ่าพ่อมด! ข้าไปที่ใด เจ้าก็ไปที่นั่น! ที่ที่ข้าอยู่ก็คือบ้านของเจ้า เนี่ยหวั่นโหรว!”
หลังจากพูดจบ ก็โน้มตัวส่งมือให้นาง
ฮูหยินรองมองมือใหญ่ที่ยื่นมาตรงหน้าอย่างล่องลอย ไม่รู้ว่าด้วยความตื่นเต้นหรือไม่ มือนั้นเปลี่ยนเป็นสีแดง กลางฝ่ามือชุ่มไปด้วยเหงื่อ
“ข้า….”
ดวงตาของฮูหยินรองร้อนผ่าว หัวใจยิ่งร้อนรุ่มจนเจ็บปวด
ต๋าหว่ารอคำตอบอย่างกระวนกระวาย นางเป็นนายหญิงจวนสกุลเวิน เป็นบุตรีของจวนสกุลเนี่ย หากให้นางละทิ้งทุกอย่าง ท่องไปทั่วหล้ากับเขา ก็ดูโหดร้ายเกินไปหน่อย อีกอย่างเขาไม่ใช่เวินซวี่ตัวจริง ไม่ใช่สามีของนาง ไม่ใช่คนที่นางรัก…
การร้องขอเช่นนี้ไม่ยุติธรรมเลย
ดวงตาของต๋าหว่าหมองหม่นลง เขาถอนมือกลับ
ทันใดนั้นฮูหยินรองก็คว้ามือของเขาไว้
ต๋าหว่าตกตะลึง
ฮูหยินรองปาดน้ำตาแล้วเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะ “ไม่ได้จะพาข้าไปหรือ?”
“อืม! อืม!” ต๋าหว่าพยักหน้าราวกับโขลกกระเทียม
ฮูหยินรองกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นไยยังไม่รีบพาข้าขึ้นไป?”
ต๋าหว่ากะพริบตาด้วยความประหลาดใจไม่คาดคิด รีบดึงฮูหยินรองขึ้นมา
ไหนเลยจะรู้ว่าเวลานี้ สถานการณ์ผันเปลี่ยนกะทันหัน ลูกธนูดอกหนึ่งยิงมาจากด้านหน้า ต๋าหว่าตกใจหน้าซีด หันตัวกลับไปปกป้องฮูหยินรองในอ้อมแขนแน่น
ฮูหยินรองกลับใช้มือผลักต๋าหว่าลงจากหลังม้า
ลูกธนูปักกลางอกฮูหยินรอง เลือดแดงสดไหลรินออกมา นาง บนอานม้าตัวแข็งทื่อ เลือดกระอักไหลจากมุมปาก
ต๋าหว่าดวงตาเบิกกว้างด้วยความตื่นตกใจ “ไม่…ไม่——“
ร่างของฮูหยินรองตกลงจากหลังม้า
ต๋าหว่ารีบวิ่งเข้าไปรับนาง “เนี่ยหวั่นโหรว…เนี่ยหวั่นโหรว…”
ต๋าหว่ากอดนางแน่น “เนี่ยหวั่นโหรว…เนี่ยหวั่นโหรว…”
“เจ้า…เจ้าคือ…” ฮูหยินรองกระอักเลือดอย่างรุนแรงอีกครั้ง นางกำเชือกแดงไว้ไม่ปล่อย ทว่ากลับล้มลงอย่างอ่อนแรง
ดวงตาของนางปิดลงในอ้อมแขนของเขา
ต๋าหว่าร่ำไห้คล้ายใจจะขาด!
“ข้าคือต๋าหว่า…”
“ข้าคือต๋าหว่า——”
…………………………………………
[1] ปิดฟ้าข้ามทะเล คือ การอำพรางเป้าหมายที่แท้จริง สร้างเป้าหมายปลอมเพื่อหลอกล่อ รอกระทั่งสบโอกาสจึงลงมือทำตามเป้าประสงค์ที่แท้จริง