ณ สภาอาวุโส
ผู้อาวุโสทั้งเจ็ดรวมตัวกัน ในมือผู้อาวุโสสามถือกระเป๋าเงินเปื้อนเลือดใบหนึ่ง
กระเป๋าเงินใบนี้ มารดาของเนี่ยหวั่นโหรวมอบให้นาง นางพกมันติดตัวไว้เสมอ ข้างในนั้นมีถุงหอมเล็กๆ และตลับสีชาดที่เหล่าสตรีใช้
บุตรีหายตัวไปไร้ร่องรอย เหลือเพียงกระเป๋าเงินเปื้อนเลือดซึ่งถูกองครักษ์จัดการเก็บกวาดที่เกิดเหตุเก็บได้ หากบอกว่าไม่ได้เกิดเรื่องกับบุตรีของเขา ผู้ใดเล่าจะเชื่อ?
ผู้อาวุโสสามบีบกระเป๋าเงินแน่น ถามด้วยดวงตาจ้องเขม็งอย่างเดือดดาล “ผู้อาวุโสใหญ่ นี่มันเรื่องอะไร? คนที่เจ้าส่งไป ทำอะไรหวั่นโหรว?”
ผู้อาวุโสใหญ่ประชดประชันเสียดสี “พูดถึงเรื่องนี้ ข้าเองก็อยากถามเจ้า! เจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้ใดพาสายสืบเหล่านั้นออกจากจวนสกุลเวิน ทั้งยังพาออกจากเผ่าพ่อมด? ก็แม่หนูน้อยเด็กดีของเจ้าไงละ!”
ผู้อาวุโสสามพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “บัดนี้นางเองก็เป็นหลานสะใภ้ของเจ้า!”
ผู้อาวุโสใหญ่พูดอย่างเฉยเมย “ดังนั้นข้าเลยไม่เอาเรื่องเจ้า เจ้าก็อย่าได้ผลักทุกอย่างมาไว้ที่ข้า!”
ผู้อาวุโสสองก้าวไปข้างหน้า “เอาละๆ หยุดทะเลาะกันได้แล้ว มาฟังว่าองครักษ์พูดอย่างไรกันเถอะ ข้างนอกเรียกองครักษ์ที่พบฮูหยินเวินมา!”
องครักษ์สองสามคนก้าวไปทำความเคารพ ในกลุ่มนี้มีองครักษ์จวนสกุลเวิน องครักษ์เฝ้าเมือง และองครักษ์ที่มีส่วนร่วมในการจับกุม
องครักษ์สกุลเวินกล่าวว่า “ฮูหยินรองบอกว่าตนจะเดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านมารดา และบอกอีกว่าในรถม้าเต็มไปด้วยของขวัญสำหรับครอบครัวมารดา”
องครักษ์เฝ้าเมืองกล่าวว่า “ฮูหยินเวินบอกว่าหมู่บ้านรอบนอกมีสินค้าดีๆ มากมาย นางอยากไปเดินดูสักหน่อย”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ผู้อาวุโสทุกคนก็แสดงสีหน้าประหลาดใจ เห็นได้ชัดว่าโกหก
ทว่าเหตุใดนางถึงโกหก?
หากบอกว่านางทำไปเพื่อเวินซวี่ เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดเชื่อ ไม่มีผู้ใดที่ไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ของนางกับเวินซวี่ นางไม่ลงมีดกับเวินซวี่สักทีก็นับว่าดีแล้ว จะทำเพื่อเวินซวี่ได้อย่างไร?
เป็นไปได้หรือไม่…ว่านางถูกคนลักพาตัวไป?
หรือถูกคนใช้กู่? เวทมนตร์คาถา?
ในใจทุกคนต่างคาดเดากันไปต่างๆ นานา แม้แต่ผู้อาวุโสสามที่เชื่อมั่นในบุตรีมาโดยตลอด ก็อดมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาไม่ได้
เขาเชื่อว่านิสัยของบุตรีจะไม่ถูกข่มขู่ง่ายๆ ทว่าหากถูกคนใช้กู่หรือมนตร์คาถาก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ผู้อาวุโสสามจ้องมองไปที่องครักษ์คนสุดท้าย “เจ้าละ? เจ้าพบบุตรีของข้าเมื่อใด?”
องครักษ์กล่าวว่า “เรียนผู้อาวุโสสาม ข้าน้อยพบฮูหยินเวิน ในที่ที่นางถูกสังหารขอรับ”
คำว่าถูกสังหาร ทำให้สีหน้าผู้อาวุโสสามเปลี่ยนไป “พูดต่อ!”
“ขอรับ!” องครักษ์ก้มหน้า “ยามที่ข้าน้อยเห็นฮูหยินเวิน ฮูหยินเวินอยู่กับคนพวกนั้น ใต้เท้าเวินซวี่ต้องการพาฮูหยินเวินไป…พวกข้าน้อยคิดจะช่วยฮูหยินเวินกลับมา ทว่ากลับช้าไปก้าวเดียว ฮูหยินเวินถูกคนสังหารแล้ว!”
“อะไรนะ?” สีหน้าของผู้อาวุโสสามแปรเปลี่ยน
องครักษ์ตะโกนว่า “ใต้เท้าเวินซวี่เป็นคนสังหาร! แต่… คนผู้นั้นไม่ใช่ใต้เท้าเวินซวี่ตัวจริง ข้าน้อยได้ยินมากับหู เขาบอกว่าตนชื่อต๋าหว่า!”
…
หลังออกจากสภาอาวุโส ผู้อาวุโสห้าและผู้อาวุโสเจ็ดก็รีบเดินตามผู้อาวุโสสาม
“ผู้อาวุโสสาม” ผู้อาวุโสห้าเรียก
ผู้อาวุโสสามหยุดชะงัก
ทั้งสามเหลือบมองไปรอบๆ เมื่อแน่ใจว่าไม่มีผู้ใดจับตามอง หรือคนงานผ่านไปมา ผู้อาวุโสสามก็กล่าวว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
ผู้อาวุโสห้าได้แลกเปลี่ยนสายตากับผู้อาวุโสเจ็ด
“เจ้าพูดจะดีกว่า” ผู้อาวุโสเจ็ดกล่าว
ผู้อาวุโสห้าพยักหน้าและถามว่า “เรื่องหวั่นโหรว เจ้าอย่าได้กังวลเกินไป อยู่ต้องเห็นคน ตายต้องพบศพ อย่าได้ท้อแท้สิ้นหวังจนกว่าจะเห็นหวั่นโหรวด้วยตาของเจ้าเอง”
“ใช่แล้ว ข้าเชื่อเสมอว่าคนดีสวรรค์คุ้มครอง” ผู้อาวุโสเจ็ดกล่าว
ผู้อาวุโสสามนิ่งเงียบ
เมื่อเห็นว่าสีหน้าของเขาไม่ดีนัก ทั้งสองก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากประสานเสียง “มีอะไรรึ?”
“ข้ากำลังคิด เรื่องเวินซวี่ตัวปลอมนั่น” ผู้อาวุโสสามกล่าวด้วยดวงตาจ้องเขม็ง
“เวินซวี่ตัวปลอม?” ผู้อาวุโสห้าขมวดคิ้ว
ผู้อาวุโสสามพูดด้วยสีหน้าครุ่นคิด “ในวันสรงสามของหลานชายข้าครานั้น เวินซวี่พาโหรวเอ๋อร์กลับจวนเนี่ยครั้งหนึ่ง ตั้งแต่ครั้งนั้นข้าก็พบว่าเวินซวี่ไม่เหมือนกับในอดีตนัก ดังนั้นข้าคิดว่าอาจเป็นยามนั้นหรือเร็วกว่านั้น เวินซวี่ก็ได้ถูกบุรุษที่ชื่อต๋าหว่ามาแทนที่แล้ว”
ผู้อาวุโสห้าราวกับรู้แจ้ง “เจ้าพูดเช่นนี้ ก็ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ ตั้งแต่เวินซวี่กลับมาที่เผ่าพ่อมด ก็ขัดแย้งกับราชินีแม่มดอยู่บ่อยครั้ง เดิมทีคิดว่าเขาถูกจิ้งจอกนั่นเป่าหู แต่ดูจากสถานการณ์ในยามนี้แล้ว เกรงว่าเวินซวี่จะเป็นตัวปลอมมาตั้งแต่แรก”
ผู้อาวุโสเจ็ดถามว่า “หากเป็นเช่นนี้ แล้วเวินซวี่ตัวจริงอยู่ที่ใด?”
ผู้อาวุโสสามและผู้อาวุโสห้าต่างไม่พูดอะไรอีก เวินซวี่ไม่ใช่เยี่ยยางอายุสิบสองปี ก่อกรรมทำชั่วนับไม่ถ้วน ไม่ใช่ผู้บริสุทธิ์ไร้เดียงสา หากจะตกไปอยู่ในมือคนพวกนั้น เกรงว่าจะรอดกลับมายาก
แต่เนี่ยหวั่นโหรวไร้เดียงสา เหตุใดพวกเขาต้องฆ่านาง?
ผู้อาวุโสห้าขุ่นเคืองกับความอยุติธรรม “พวกเขาปล่อยตัวองค์ชายเยี่ยยางมา เดิมทีคิดว่ายังมีคุณธรรมอยู่บ้าง ทว่าดูจากยามนี้แล้ว พวกเขายิ่งกว่าเดรัจฉานเสียอีก!”
ผู้อาวุโสสามยังคงไม่พูดจา
ภาพลูกครึ่งหน่วยกล้าตายที่ต้องการสังหารเขาเมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อนหน้าฉายขึ้นในใจ เวินซวี่ตัวปลอมผู้นั้น…เป็นคนขอร้องให้ปล่อยเขาไป
…
ลึกเข้าไปในลานบ้าน
ต๋าหว่ายกหม้อน้ำร้อนเข้าไปในห้องฮูหยินรอง แล้วเช็ดหน้าเช็ดมือให้นาง
เสื้อผ้าของนางผิงเอ๋อร์เปลี่ยนให้แล้ว แท้จริงต๋าหว่าไม่จำเป็นต้องทำสิ่งใดเลย เพียงแต่เขาต้องการทำอะไรบางอย่าง ราวกับการกระทำเช่นนี้จะทำให้นางรู้ตัวว่าเขากำลังรอนางอยู่
“ต๋าหว่า ได้เวลาทานอาหารแล้ว” อวี๋หวั่นเปิดประตูเบาๆ
ต๋าหว่าหันหน้ากลับมา ดวงตาแดงก่ำ
เขาไม่ได้ร้องไห้โฮจนเห็นน้ำตาชัดเจน แต่ท่าทางเช่นนี้กลับทำให้อวี๋หวั่นสะเทือนใจยิ่งกว่ายามที่ร้องไห้คร่ำครวญเสียอีก
อวี๋หวั่นทอดถอนใจเบาๆ เดินเข้าไปหา “อย่าตรอมตรมเลย ข้าเชื่อว่าพี่เนี่ยเป็นคนดีฟ้าคุ้มครอง นางต้องฟื้นแน่”
“อื้ม” ต๋าหว่าก้มหน้าสะอื้น
อวี๋หวั่นไม่เก่งเรื่องปลอบโยนคนนัก เธอไม่มีคำพูดที่กินใจไปมากกว่านี้ จึงทำได้เพียงยกมือขึ้นตบไหล่ของต๋าหว่าเบาๆ “เจ้าอยู่เป็นเพื่อนพี่เนี่ยที่นี่ อีกเดี๋ยวข้าจะนำอาหารมาให้”
“ขอบคุณมาก” ต๋าหว่ากล่าว
ไม่ใช่การขอบคุณสำหรับข้าวชามนี้ แต่ขอบคุณในความเข้าใจและน้ำใจของเธอ
…
ตกเย็น พ่อครัวเทพเป้าปรุงอาหารค่ำมาเต็มโต๊ะ แม้ทุกคนที่นี่จะคุ้นเคยกับรสชาติอาหารอันโอชะแล้ว แต่ก็ยังอดทึ่งในฝีมือการทำอาหารของพ่อครัวเทพเป้าไม่ได้
หากบอกว่าเขาทำอาหารที่พิเศษหรือซับซ้อนมากก็ไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป ส่วนใหญ่เป็นอาหารเรียบง่าย รสชาติดั้งเดิม แต่กลับทำให้ผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกที่ชิมได้ สัมผัสถึงรสชาติบ้านเกิดของพวกเขา
“นี่เป็นสิ่งที่ข้าได้กินยามที่ยังเป็นเด็ก…ท่านยายเคยทำให้ข้า…” โจวอวี่เยี่ยนพูดทั้งน้ำตา
“ข้าด้วย ท่านแม่ทำให้ข้า…” มู่ชิงกลั้นสะอื้นไม่ไหว
อวี๋หวั่นคิดในใจ อะไรกันเนี่ย มันฝรั่งแผ่นผัดพริกหยวกจานนี้ ร้อนแรงแต่ไม่เผ็ด มันแต่ไม่เยิ้ม นี่เป็นรสชาติที่ป้าทำให้เธอชัดๆ…
เธอไม่ได้คิดถึงป้ามานานแล้ว
หลังจากบิดามารดาในชาติก่อนจากไป ป้าก็เลี้ยงดูเธอมาตลอด แต่เมื่อมาอีกโลกหนึ่ง บุคคลสำคัญเช่นนี้ก็ค่อยๆ จางหายไปจากใจของเธอ อาหารจานนี้ย้อนคืนความทรงจำที่เกือบจะหายไปจากเธอให้กลับมา
“อิ่งสือซัน…” อิ่งลิ่วสูดกลิ่น “ดูเหมือนข้าจะจำเรื่องเมื่อยามหกขวบได้แล้ว…ที่แท้ข้าก็ยังมีอาจารย์อีกคน…”
ก่อนอิ่งลิ่วได้รับเลือกให้เป็นหน่วยกล้าตาย ก็เคยเป็นเด็กธรรมดาคนหนึ่ง เขามีบิดามารดาของตนเอง มีแม้กระทั่งเพื่อนเล่นในวัยเดียวกันหลายคน…
เพียงแต่ความทรงจำเนิ่นนานและห่างไกลเกินไป เมื่อเขาเติบโตขึ้นทุกวัน มันก็ถูกกลบอยู่ภายในส่วนลึกของจิตใจ มันฝรั่งแผ่นผัดพริกหยวกจานนี้ขุดมันขึ้นมาอีกครั้ง ความทรงจำต่างๆ ผุดขึ้นราวกับสายน้ำ
“ฮือๆ…” อิ่งลิ่วหันหน้า ซบไหล่อิ่งสือซันร่ำไห้
คนที่อยากร้องไห้มีเพียงสองสามคนนี้หรือ?
นิ้วของอิ่งสือซันค่อยๆ บีบกระชับแน่นขึ้นทีละน้อย
เพียงแต่ความทรงจำในวัยเด็กของเขาไม่ดีนัก นั่นเป็นวันที่เขาถูกรังแกและไม่อาจโต้กลับได้ นั่นคือวันที่เขาเดินไปตามถนนโดยไม่มีอาหาร…เมื่อเทียบกับความเจ็บปวดแล้ว เขาโศกเศร้าและหวาดกลัวมากกว่า
คนเดียวที่มีสีหน้าเรียบเฉยดังเดิมคือเยี่ยนจิ่วเฉา
พ่อครัวเทพเป้าก็สังเกตเห็นเช่นกัน
บุรุษหนุ่มผู้นี้เยือกเย็นกว่าที่คิด เรียกได้ว่าสงบนิ่งจนน่ากลัว
ไม่แปลกใจที่หนูหวั่นไปอยู่ในมือเขา ไม่เลวทีเดียว…
เด็กๆ ทานอาหารกันอย่างมีความสุข ไข่ดำทั้งสามกินจนเหงื่อออกไปทั้งตัว โจวจิ่นผู้ควบคุมตนเองมาตลอดก็ยังกินอย่างออกรส
“เอาอีก!” เสี่ยวเป่าพูดพร้อมกับชูชามเปล่า
“เอ้อร์เป่าเอาด้วย!” เอ้อร์เป่าก็ยกชามเปล่าของตนขึ้นเช่นกัน
ต้าเป่า : เอาด้วย!
โจวจิ่น “แค่ก ข้าก็เอาด้วย”
อวี๋หวั่นจิ้มแก้มน้อยทั้งสามทีละคน “แต่พวกเจ้ากินเป็นชามที่สามแล้วนะ”
เสี่ยวเป่าชี้นิ้วเล็กๆ “แล้วอย่างไร? พี่โจวจิ่นกินไปตั้งห้าชามแล้ว!”
โจวจิ่นหน้าแดงฉ่า “…”
ราชาพ่อมด “…”
ทุกคน “…”
……………………