บทที่ 82 จัดการโภชนาการ
ขอบคุณสวรรค์ที่ตอนนี้เธอมีธุรกิจแล้ว
แม้เธอจะทำได้เพียง 3 วันต่อครั้ง แต่ทุกครั้งเธอก็ได้เงินมาถึง 7 เหมา และเมื่อขายถึง 10 ครั้งในเดือนนั้นเธอก็จะได้เงินมาทั้งหมด 7 หยวน ซึ่งนับว่าเป็นเงินจำนวนไม่น้อยเลย
บางครั้งที่มีเนื้อมาก เธอก็จะได้เนื้อมาเกือบ 10 ชั่งเลยทีเดียว
นอกจากจะให้ผลกำไรเหมาหนึ่งแล้ว หลินชิงเหอยังแถมคูปองอาหารบางอย่างให้เม่ยเจี่ยด้วย ซึ่งคูปองนี้ล้วนได้จากการแลกกับบรรดาคุณผู้หญิงชราในอำเภอ
ดูจากภาพรวมแล้วมันก็ไม่ได้ย่ำแย่กว่าตอนที่เธอออกไปทำงานเท่าไหร่นัก
แต่เป็นเพราะเส้นสายของเม่ยเจี่ยด้วยที่ทำให้หลินชิงเหอซื้อของขาดสต็อกในร้านค้าสหกรณ์ได้ง่ายกว่าเดิม
อย่างเช่น ไหน้ำผึ้ง 3 ไห ในบ้านก็ล้วนมาจากเส้นสายของเม่ยเจี่ย
น้ำผึ้งในยุคนี้เป็นน้ำผึ้งป่าบริสุทธิ์ ซึ่งฤดูหนาวปีที่แล้วหลินชิงเหอก็ซื้อเก็บไว้ไหหนึ่ง
มันแข็งตัวจนเป็นก้อนดูคล้ายกับมันหมู
เธอใช้มันจนหมดในฤดูหนาวเดียว เพราะเธอจะดื่มน้ำผสมน้ำผึ้งหนึ่งถ้วยก่อนเข้านอนทุกวัน โดยหญิงสาวดื่มเพื่อตัวเอง ส่วนเด็ก ๆ ยังไม่ต้องดื่มตอนนี้
โจวชิงไป๋ไม่ได้รับส่วนแบ่ง เพราะตอนนั้นเขายังไม่มีความสำคัญในใจของเธอ
แต่หลังจากที่พวกเขาเป็นสามีภรรยาทางพฤตินัยกันแล้ว แค่ก เธอก็เอาใจใส่เขามากขึ้น
ดังนั้นในตอนนี้โจวชิงไป๋จึงได้ดื่มน้ำผสมน้ำผึ้งด้วย เขาบอกว่าไม่ต้องการมัน เพราะไม่ชอบดื่มของหวานเจี๊ยบพวกนี้
แต่ภรรยาต้องการให้เขาดื่ม ดังนั้นต่อให้เขาไม่ชอบดื่ม เขาก็ต้องดื่ม
หลินชิงเหอรู้สึกดีกับการดื่มน้ำผสมน้ำผึ้งมาก
น้ำผสมน้ำผึ้งได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีสรรพคุณดีต่อสุขภาพมาแสนนาน มันจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่โจวชิงไป๋ต้องดื่ม เขาทำงานในไร่นาทุกวัน ต่อให้เธอทำอาหารเพื่อสุขภาพสามมื้อในหนึ่งวัน มันก็ยังบำรุงเขาได้ไม่พอ
หลินชิงเหอจึงพยายามอย่างหนักที่จะจัดการโภชนาการให้เขา
ผ่านไป 7 วันหลังจากที่เริ่มการเก็บเกี่ยวฤดูร้อน หลินชิงเหอก็ได้เชือดไก่ที่บ้านไปตัวหนึ่ง
ในเมื่อพวกเขาเริ่มเลี้ยงไก่ในฤดูใบไม้ผลิ ตอนนี้มันก็จะมีน้ำหนักราว 1 ชั่งหรือประมาณนั้น บวกกับมีตัวหนึ่งป่วยตายไปในช่วงนั้นด้วย ที่บ้านก็เลยมีไก่เหลืออยู่ 4 ตัวหลังเชือดไปแล้ว 1 ตัว นับว่ายังเกินจำนวนที่ทางรัฐกำหนดอยู่
ไก่ตัวนี้ไม่ได้ถูกนำไปปรุงอาหารเหมือนอย่างที่เคยทำ เพราะหลินชิงเหอสั่งซื้อกระเพาะหมูจากฟาร์มของเม่ยเจี่ยมาล่วงหน้าด้วย
หญิงสาวล้างกระเพาะหมู ก่อนจะลวกและหั่นเป็นชิ้น ๆ จากนั้นก็ตุ๋นรวมกับไก่พร้อมกับโรยเมล็ดงาลงไปด้วย ได้ออกมาเป็นไก่ตุ๋นงากับกระเพาะหมู
กลิ่นของมันหอมชวนน้ำลายสอนัก ในเย็นนั้นเอง ทั้งพ่อและลูกชายทั้งสามก็กินไก่ตุ๋นงากับกระเพาะหมูเคียงกับหมั่นโถวข้าวสาลีเต็มเมล็ด
แม้เด็ก ๆ จะไม่ชอบทานหมั่นโถวชนิดนี้มากนัก แต่หลินชิงเหอก็ยังทำมันเป็นครั้งคราว ทั้งสามจึงต้องยอมกินต่อให้ไม่ชอบมันก็ตาม พวกเขาไม่สามารถทานอาหารดี ๆ ได้ตลอดทุกครั้งหรอก
หลินชิงเหอแบ่งน่องไก่ให้เจ้าใหญ่กับเจ้ารอง เธอบอกว่าจะสลับกันกินน่องไก่ระหว่างลูก ๆ กับพ่อแม่ ครั้งนี้เธอปล่อยให้พวกเขาสองคนกินก่อน ส่วนครั้งหน้าจะต้องให้พ่อกับแม่ได้กิน เมื่อเจ้าสามโตขึ้นและกินเป็นแล้วเขาก็จะมาร่วมวงด้วย
เจ้าใหญ่และเจ้ารองเห็นด้วยกับเรื่องนี้
หลินชิงเหอหยิบปีกไก่ให้เจ้าสามได้เคี้ยว ส่วนที่เหลือก็กลายเป็นของโจวชิงไป๋ แต่เขาก็หยิบปีกไก่คะยั้นคะยอให้เธอผู้ดื่มแค่น้ำแกงและไม่ทานเนื้อไก่เลยได้ทาน
การเก็บเกี่ยวฤดูร้อนกินเวลาราวครึ่งเดือน
แม้การเก็บเกี่ยวฤดูร้อนจะไม่เหนื่อยยากเท่าการเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วง แต่มันก็ยังเป็นงานหนักอยู่ดี พี่ชายใหญ่ พี่ชายรอง และพี่ชายสามต่างผอมลงกันทุกคน
ท่านพ่อกับท่านแม่โจวก็มีสังขารทรุดโทรมลงถนัดตาเหมือนกัน
พวกเขาทำถั่วเขียวต้มตามหลินชิงเหอ จึงไม่มีใครเป็นลมแดด แต่ถ้าพูดตามตรงแล้ว รสชาติของถั่วเขียวต้มที่พวกเขาทำนั้นสู้หลินชิงเหอไม่ได้เลย เพราะว่าสะใภ้ใหญ่ไม่ได้ใส่น้ำตาลลงไป
แถมรสชาติอาหารของบ้านตระกูลโจวก็ไม่อร่อยเท่าบ้านสะใภ้สี่ด้วย
โจวชิงไป๋มีร่างกายทรุดโทรมลงในทันทีที่เสร็จจากการเก็บเกี่ยวฤดูร้อน แต่เรื่องน้ำหนักลดหรืออาการเจ็บปวดต่าง ๆ กลับไม่ปรากฎ
เช่นเดียวกับเจ้าใหญ่และเจ้ารอง ร่างกายของพวกเขาช่างแข็งแรงเป็นเลิศ
ทันทีที่การเก็บเกี่ยวฤดูร้อนสิ้นสุดลง หลินชิงเหอก็ระบายลมหายใจอย่างโล่งอก
หลังจากนี้คงจะมีงานฟาร์มรอบใหม่มาอีก แต่อย่างน้อยพวกเขาก็จะได้กลับบ้านไปพักผ่อนในตอนกลางวันอย่างที่เคยทำประจำ ไม่เหมือนช่วงเก็บเกี่ยวฤดูร้อนที่เวลาพัก 30 นาทีจะถูกใช้ไปกับการกินข้าว หลังกินเสร็จแล้วก็เหลือเวลามากกว่า 10 นาทีนิดหน่อยในการงีบหลับก่อนจะลงแปลงนาอีกครั้ง
เรื่องนี้เหนื่อยแทบตายเลยทีเดียว
หลังงานเก็บเกี่ยวเสร็จสิ้น โจวชิงไป๋ก็หาซื้ออุปกรณ์การเรียนที่หลินชิงเหอต้องการจนครบทั้งหมด
แม้เธอจะไม่ได้เรียนหนังสือมาหลายปีแล้ว แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากนักที่เธอจะเคาะสนิมบทเรียนอีกครั้งในตอนนี้ โจวชิงไป๋ได้รับการศึกษาในองค์กรของเขามาแล้ว หลินชิงเหอจึงใช้วิธีศึกษาด้วยตัวเอง มีบางครั้งเธอถึงจะจงใจแกล้งทำเป็นถามเขา
บ่อยครั้งเธอก็เผยความก้าวหน้าในการเรียนออกมาเพื่อที่เขาจะได้เกิดข้อสงสัยอะไร เป็นแบบนี้แล้วเขาจะเห็นกระบวนการเรียนรู้ของเธอไหมนะ?
โจวชิงไป๋ภายนอกดูสงบนิ่ง แต่ในใจเขากลับรู้สึกประหลาดใจที่เห็นว่าภรรยาของเขาสามารถเรียนรู้ได้รวดเร็ว บางครั้งเขาก็ได้ยินเสียงเธอละเมอในตอนกลางคืน ซึ่งสิ่งที่เธอละเมอออกมาคือบทเรียนที่เธอทบทวนไป ช่างน่าตะลึงเหลือเกิน
หลังการแจกจ่ายอาหารประจำการเก็บเกี่ยวฤดูร้อนครั้งนี้แล้ว ครอบครัวของหลินชิงเหอก็ได้รับการจัดสรรจำนวนมาก
โจวชิงไปได้รับแต้มค่าแรง 10 แต้ม เขาจึงได้รับส่วนแบ่งมหาศาล แถมยังนับรวมหมู 2 ตัวอยู่ที่บ้านด้วย ซึ่งตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคม เจ้าใหญ่ก็ขนผักขมหนึ่งตะกร้าไปแลกเป็นแต้มค่าแรงทุกวัน
หลินชิงเหอเองก็ไปเก็บผักขมมาเช่นกัน แต่ส่วนที่เธอแบกกลับมานั้นเอาไว้ใช้เลี้ยงหมูที่บ้าน
แต่ด้วยเหตุนี้เอง ครอบครัวของเธอจึงได้รับส่วนแบ่งอาหารมากมายในครั้งนี้ อย่างน้อย ๆ ก็ไม่จำเป็นต้องซื้ออาหารแล้ว
หลินชิงเหอดึงของบางอย่างออกจากมิติ และมันก็เกือบจะเพียงพอแล้ว
หมูตัวใหญ่ทั้งสองตัวที่บ้านก็ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีเยี่ยม ทำให้ท่านแม่โจวที่มาตรวจเยี่ยมครั้งล่าสุดรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก
นางไม่ได้บอกเรื่องนี้กับคนนอก เพราะหลินชิงเหอขอนางไว้ว่าอย่าบอกใคร ในเรื่องมีไก่เกินจำนวนที่กำหนดอยู่ในสวนหลังบ้าน
เธอต้องรอจนกว่าไก่ที่เหลืออยู่จะถูกเชือดถึงจะพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ หากเลขาธิการสาขาของหมู่บ้านอยากจะมาตรวจดูก็คงไม่มีปัญหา แต่ในตอนนี้ยังเป็นไปไม่ได้หรอก
การเก็บเกี่ยวธัญพืชดำเนินไปเกือบครึ่งเดือน จากนั้นจึงเริ่มปลูกเมล็ดพันธุ์ชุดใหม่ลงในนาก่อนที่สภาพอากาศจะเปลี่ยนเป็นอึมครึม และในที่สุดฝนก็เริ่มตกลงมา
แม้แต่โจวชิงไป๋ยังมีใบหน้าแช่มชื่นเพราะมันประหยัดแรงงานไปเยอะมาก ทำให้เขาไม่จำเป็นต้องไปตักน้ำมารด ราวกับสวรรค์ประทานอาหารมาให้พวกเขาเลยทีเดียว
หลินชิงเหอร่ำเรียนตำราอยู่ที่บ้านเช่นเดียวกับเด็กชายทั้งสาม
ถึงแม้ว่าการฟื้นฟูการสอบเข้าวิทยาลัยจะเกิดขึ้นในอีก 7 ปีข้างหน้า แต่ตอนนี้เธอรู้สึกเบื่อไม่มีอะไรทำ ดังนั้นแล้วใช้เวลาช่วงนี้ทบทวนบทเรียนเสียจะดีกว่า
เดิมทีหญิงสาวอยากตัดเย็บเสื้อผ้าสักชุดแต่ก็ต้องคิดใหม่อีกรอบ ตอนนี้ทั้งครอบครัวมีเสื้อผ้ากันคนละ 3-4 ชุด ซึ่งในยุคนี้ถือว่ามากพอใส่แล้ว
ทันทีที่ฝนหยุดตก พี่ชายสองกับพี่ชายสามก็มาตะโกนเรียกโจวชิงไป๋ เพราะพวกเขาอยากไปจับปลาไหลนากับปลาหนีชิวกัน
โจวชิงไป๋คว้าถังน้ำเดินตามพี่ชายทั้งสองไป เจ้าใหญ่กับเจ้ารองได้ยินก็รีบร้องขอตามไปด้วย ส่วนเจ้าสามเองก็อยากไปเหมือนกัน
หลินชิงเหอจึงหันไปมองโจวชิงไป๋ ซึ่งชายหนุ่มก็อนุญาต “งั้นไปกันทั้งหมดเถอะ”
สามพี่น้องจึงร้องเฮอย่างลิงโลดพร้อมลุกออกจากเตียงเตา แล้วเดินออกจากบ้านไปพร้อมกับพ่อของพวกเขา
ส่วนหลินชิงเหอใช้เวลานี้ร่ำเรียนด้วยตัวเองต่อไป และตอนนี้เองสะใภ้สามก็พาต้งต้งมาเยี่ยม
เมื่อหล่อนเห็นหลินชิงเหอกำลังเรียนรู้และอ่านหนังสืออยู่ก็เกิดความประหลาดใจขึ้นมา “เธอเรียนด้วยตัวเองอยู่เหรอ?”
โจวชิงไป๋ที่เป็นอุปสรรคสำคัญออกจากบ้านไปแล้ว เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่นอย่างสะใภ้สาม หลินชิงเหอก็ไม่สนใจว่าพวกเขาจะคิดอย่างไร
“ตอนนี้เราว่างงานกันแล้วไม่ใช่เหรอคะ? อยู่บ้านคนเดียวมันน่าเบื่อจะตาย ฉันก็เลยขอให้ชิงไป๋เอาหนังสือมาให้ฉันอ่านน่ะค่ะ” หลินชิงเหออธิบาย
…………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
พอได้เป็นสามีภรรยากันจริง ๆ ทีนี้แม่บำรุงพ่อใหญ่เลยนะคะ คงมีหวังที่จะได้เห็นเจ้าสี่กันแล้วล่ะค่ะ
ใครชอบกินกระเพาะหมูกันบ้างคะ ผู้แปลก็ชอบกินนะคะ แต่ต้องเป็นแบบที่ล้างดี ๆ ถ้าล้างไม่ดีคือคาวมาก
แม่เตรียมสอบเข้าแล้วล่ะค่ะ สู้ ๆ นะคะชิงเหอ
ไหหม่า (海馬)