ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม – บทที่ 110

บทที่ 110

บทที่ 110 อยากกินเค้ก

โจวชิงไป๋พักผ่อนอยู่ในห้องข้าง ๆ ขณะที่หลินชิงเหออยู่ในห้องของเด็ก ๆ

หากเธอเข้าไปในห้องนั้น เขาก็คงไม่ได้พักและคงจะมายุ่งกับเธอ เธอเลยตัดสินใจไม่เข้าไปเพื่อเป็นการรบกวนเขา

“คำถามนี้ทำดีมาก แต่ยังมีวิธีแก้โจทย์อีกวิธีนะ” หลินชิงเหอให้โจทย์และตรวจผลงานของเจ้าใหญ่อีกรอบ

“เดี๋ยวผมคิดก่อนครับ” เจ้าใหญ่รับสมุดกลับและเริ่มครุ่นคิดถึงวิธีแก้โจทย์วิธีที่สอง

เธอต้องบอกว่าเด็กคนนี้ช่างฉลาด ใคร่รู้ และกระตือรือร้น ไม่กลัวที่จะแสดงออกตรง ๆ แม้แต่น้อย แต่รู้จักระวังในตอนที่ควรจะระวัง

หลังครุ่นคิดมันครู่หนึ่ง เขาก็คิดได้ และลงมือแก้โจทย์ให้แม่ของเขาดู

หลินชิงเหอพอใจไม่น้อย “ตอนนี้เขียนเรียงความโดยมีพระอาทิตย์เป็นหัวข้อเรื่องซิ”

“พระอาทิตย์เหรอครับ?” เจ้าใหญ่นิ่งไป จากนั้นก็พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ “ความยาวทั้งหมดกี่คำเหรอครับ?”

“อย่างน้อย 300 คำ แต่ลูกจะเขียนให้มากที่สุดเท่าที่จะเขียนได้ก็ได้ ถ้าลูกเขียนมาก แม่ก็จะมีรางวัลให้นะ” หลินชิงเหอมอบคำท้าขณะเลิกคิ้วขึ้น

“รางวัลคืออะไรเหรอครับ?” เจ้าใหญ่ถาม

“ลูกเสนอมาก็ได้ว่าอยากกินอะไรแล้วแม่จะพยายามทำให้กินแบบดีที่สุด” หลินชิงเหอบอก

“ผมอยากกินเค้กพุทราจีน!” เจ้าใหญ่บอก

“ไม่มีปัญหา” หลินชิงเหอตอบเขาตามตรง “ขึ้นอยู่กับว่าสิ่งที่ลูกเขียนมามันทำให้แม่พอใจหรือเปล่านะ”

“ผมเองก็ไม่มีปัญหาเรื่องนี้เหมือนกันครับ!” เจ้าใหญ่พยักหน้า

แค่บทความเดียว ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเขียนสักหน่อย และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเขียนด้วย

“เมื่อไหร่ที่ลูกเขียนเสร็จให้แม่ตรวจดูแล้วแม่คิดว่าผ่าน แม่ก็จะทำให้ลูกนะ”

เจ้าใหญ่จึงตั้งใจว่าจะเขียนให้เสร็จในวันนี้

ในตอนเย็นเขาไม่ได้ออกไปเล่นและอยู่กับบ้านเพื่อทำการบ้าน ต้านีกับสาว ๆ เข้ามาถามการบ้านของเขา แต่แม้ว่าเจ้าใหญ่จะอยากเขียนงานของตัวเอง แต่เขาก็มีน้ำใจต่อพี่สาวน้องสาวและคอยตอบคำถามของพวกเธอ เขามักจะอธิบายเนื้อหาวิชาเรียนให้พวกเธอก็ต่อเมื่อไม่ได้ออกไปเล่นนอกบ้าน

ขณะที่สอนสาว ๆ พวกนี้ เขาก็เขียนเรียงความของตัวเองไปด้วย

“เจ้าใหญ่ นายเขียนอะไรน่ะ? เขียนเยอะมากเลย” เอ้อร์นีถามเขา

“เรียงความน่ะ” เจ้าใหญ่ตอบ

“เรียงความเหรอ? มันคืออะไรน่ะ” บรรดาเด็กหญิงต่างไม่เข้าใจ

“นี่ไงเรียงความ” เจ้าใหญ่ชี้ให้ดูสิ่งที่เขาเขียน

ต้านีกับสาว ๆ ไม่เคยจำศัพท์มากมายมาก่อนจึงไม่ค่อยเข้าใจนัก เจ้าใหญ่จึงไม่แปลกใจและเขียนเรียงความของเขาต่อไป

“เจ้าใหญ่ นายเขียนเรียงความนี้ไปทำไมน่ะ? คุณครูประจำชั้นให้มาเขียนเหรอ?” ต้านีถาม

“ไม่ใช่หรอก แม่ฉันให้มาเขียนน่ะ ถ้าฉันเขียนได้ดี แม่สัญญาว่าจะทำเค้กพุทราจีนให้กิน” เจ้าใหญ่ตอบ

“เจ้าสามกับฉันก็อยากกินเหมือนกัน” เจ้ารองแทรกเข้ามาในทันที

“ผมอยากกินด้วย” เจ้าสามพยักหน้า

“งั้นนายก็ต้องขอบคุณฉันล่ะ ถ้าฉันเขียนไม่ได้ แม่ก็จะไม่ทำ แล้วนายก็จะไม่ได้กิน” เจ้าใหญ่บอก

“ต่อให้พี่เขียนเสร็จแล้วแม่ก็ไม่ทำหรอก พี่ไม่ได้กินหรอก” เจ้ารองตอบ

“นายคิดว่าแม่เป็นเหมือนนายหรือไง แม่น่ะรักษาสัญญาอยู่แล้ว!” เจ้าใหญ่แย้ง

“คุยอะไรกันน่ะ? รีบเขียนเร็ว” หลินชิงเหอกลับเข้ามาในบ้านพร้อมกับตะกร้าใบหนึ่ง เธอออกไปเก็บผักป่า พอกลับมาถึงบ้านก็ได้ยินสองพี่น้องทุ่มเถียงกันชนิดที่เกือบจะแลกหมัดกันแล้ว

“อาสะใภ้สี่” สาว ๆ เอ่ยทักทายเธอหลังเห็นว่าเธอกลับมาแล้ว

“อืม” หลินชิงเหอส่งเสียงรับรู้และสั่งเจ้ารองกับเจ้าสาม “สองคนนี้น่ะมาช่วยแม่ล้างผักป่าพวกนี้หน่อย คืนนี้เราจะได้กินกัน”

“อาสะใภ้สี่คะ เดี๋ยวหนูช่วยล้างค่ะ” ต้านีเอ่ยเสียงใส

“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ พวกเธอต้องทำการบ้านนะ” หลินชิงเหอยืนกราน “ผักป่าแค่ไม่กี่กำเอง สองคนนั้นรู้จักวิธีล้างอยู่แล้วล่ะ”

เจ้ารองพยักหน้า “น้องชายผมกับผมทำได้ครับ”

ดังนั้นเด็กชายทั้งสองคนจึงไปล้างผักป่าจนสะอาดเกลี้ยงเกลา ทั้งคู่ล้างมันทีละใบ เพราะเป็นพวกเขาเองที่ต้องกินมัน ถ้าพวกเขาล้างไม่สะอาดมันก็จะให้ความรู้สึกเหมือนกินทรายเข้าไป

หลินชิงเหอพักมือจากอาหารเย็นวันนี้ ใช้เวลาที่เหลือปรุงอาหารให้หมู ในตอนนี้พวกมันจะได้อาหารเพียงครั้งเดียว หลังให้อาหารมากกว่าหนึ่งครั้งในช่วงเก้าโมงเช้าแล้วมันก็จะไม่ได้กินอีก พวกมันจะได้กินอีกทีก็เป็นตอนเช้าของวันพรุ่งนี้

หญิงสาวปรุงอาหารหมูเสร็จแล้วก็ตักให้หมูกิน ขณะเดียวกันก็เลี้ยงไก่ไปด้วย จากนั้นก็กลับมาเตรียมอาหารเย็น

ในช่วงนี้งานค่อนข้างยุ่ง โจวชิงไป๋จึงเลิกงานช้า กว่าเขาจะกลับมาถึงบ้านก็เป็นเวลาหลังหกโมงเย็นไปแล้ว

บรรดาเด็กผู้หญิงบ้านโจวก็กลับบ้านไปแล้วเช่นกัน

หลินชิงเหอทำเกี๊ยวผักจี้ฉ่ายกับหมู ตอนนี้เป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ เป็นช่วงเวลาเหมาะที่จะกินผักป่าพวกนี้ อย่าว่าแต่ความสดของมันเลย มันยังอุดมด้วยคุณค่าทางอาหารที่เหมาะกับการทานในช่วงฤดูใบไม้ผลิ

เกี๊ยวผักจี้ฉ่ายกับหมูมีรสชาติดีอย่างชัดเจน ดูจากที่โจวชิงไป๋ทานมันอย่างพึงพอใจ

เขาง่วนกับการทำงานมาทั้งวัน การได้กินอาหารอร่อย ๆ แบบนี้ทุกวันเมื่อกลับมาถึงบ้านทำให้ความเหนื่อยล้าหายไปจากแววตาของชายปากหนักคนนี้

โจวชิงไป๋ออกไปทำความสะอาดคอกหมูกับคอกไก่หลังทานเสร็จ ส่วนหลินชิงเหอให้เจ้าใหญ่ล้างจานขณะที่เธอตรวจเรียงความของเขา

ถึงแม้เด็กคนนี้จะอยู่แค่ชั้นประถมปีที่สามเท่านั้น แต่เขาก็สามารถเขียนเรียงความได้ถึง 500 ตัวอักษร

เรียงความเกี่ยวกับพระอาทิตย์ชี้นนี้เขียนไว้ดีมาก มันเป็นการมองพระอาทิตย์ในมุมมองของเด็กประถมศึกษา

ทุกเช้าเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น พ่อของเขาจะออกไปทำงาน ส่วนตัวเขาเองจะไปโรงเรียน เมื่อเขากลับมาถึงบ้าน พระอาทิตย์ก็ตกแล้ว

วันหนึ่ง ๆ เริ่มต้นยามพระอาทิตย์ขึ้นและหมดลงยามพระอาทิตย์ตก

แต่นี่เป็นแค่เนื้อหาในส่วนต้นของเรียงความ

ต่อจากนั้นเขาก็เขียนเกี่ยวกับความสำคัญของคุณพระอาทิตย์ในหน้าหนาว ซึ่งเขาเขียนว่าในช่วงฤดูหนาวที่ไม่มีคุณพระอาทิตย์ ก็จะมีแต่หิมะไม่สิ้นสุด ผู้คนต่างหวังให้ฤดูหนาวผ่านไปเร็ว ๆ ไม่อย่างนั้นทั้งครอบครัวจะไม่มีอาหารกิน

จากนั้นมันก็ตัดสลับมาที่ความไม่สบายตัวจากพระอาทิตย์ในช่วงฤดูร้อนอันร้อนอบอ้าว ยามที่ทุกคนเก็บเกี่ยวพืชผลในฤดูร้อน มันช่างร้อนจริง ๆ

เขาคร่ำครวญไว้ว่ามันคงจะดีถ้าหน้าหนาวกับหน้าร้อนมาอยู่ด้วยกัน เป็นแบบนั้นมันคงจะอุ่นกำลังดี

งานเขียนชิ้นนี้นับว่าเขียนดีไม่น้อย

หัวข้อของมันคือเรื่องพระอาทิตย์

แต่เขาก็ไม่ได้เขียนลงไปลึกกว่านี้

อย่างเช่นการเทียบผู้นำผู้ยิ่งใหญ่กับพระอาทิตย์ที่ทำให้เด็ก ๆ ของพวเขาอยู่อย่างมีความสุขภายใต้ประกายเฉิดฉายและการเอาใจใส่จากดวงตะวัน

หลินชิงเหอเล่าจุดสุดท้ายให้เจ้าใหญ่ฟังในทันทีที่เขาล้างจานเสร็จและมานั่งฟังผลตอบรับ จากนั้นสีหน้าตระหนักได้ก็ฉายบนใบหน้าของเจ้าใหญ่เมื่อได้ยินดังนี้ “ผมไม่เคยคิดเรื่องนี้เลย!”

“ลูกยังเด็ก ลูกสามารถคิดได้หลังจากนี้หากใคร่ครวญมากขึ้น” หลินชิงเหอบอก

“งั้นก็หมายความว่าผมผ่านแล้วใช่ไหมครับ?” เจ้าใหญ่จ้องมองแม่ของตนอย่างคาดหวัง

“ยังมีจุดที่ขาดอยู่บ้าง แต่โดยรวมแล้วถือว่าดีมาก สรุปก็คือลูกผ่าน” หลินชิงเหอพยักหน้า

เมื่อโจวชิงไป๋กลับมาถึง ภรรยาของเขาก็เอ่ยสั่ง “พรุ่งนี้ไปตัดใบตองมาหลาย ๆ ใบระหว่างที่กำลังจะกลับมาบ้านด้วยนะคะ ฉันจะทำเค้กพุทราจีนให้คุณกับลูก ๆ ทานน่ะค่ะ”

“ไม่เห็นต้องทำอะไรให้ยุ่งยากขนาดนั้นเลยนี่ลูก” โจวชิงไป๋เหลือบมองลูกชายคนโต

เจ้าใหญ่ไม่กล้าพูดอะไรออกมา เช่นเดียวกับเจ้ารอง

เจ้าสามยังไม่รู้เรื่องราวเหล่านี้ดีก็เข้ามากอดพ่อของเขา เขายังชอบพ่อของเขามาก

“วันนี้เจ้าใหญ่เขียนเรียงความดีมาก ขณะที่เจ้ารองกับเจ้าสามก็ล้างผักป่าได้สะอาดมาก ฉันเลยตัดสินใจจะทำเค้กพุทราจีนให้พวกเขาทานน่ะค่ะ” หลินชิงเหออธิบาย

ทันทีที่คำอธิบายเหล่านี้ออกมา เจ้าใหญ่กับเจ้ารองก็มีสีหน้ายินดี

“งั้นพรุ่งนี้ผมจะไปตัดกลับมาแล้วกัน” โจวชิงไป๋พยักหน้า

ใบตองไม่ใช่ของหายาก เมื่อเขาเลิกงานในตอนเที่ยงของวันรุ่งขึ้น เขาก็ตัดใบตองกลับมาบ้านสองสามใบ

…………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เจ้าใหญ่นับวันยิ่งฉลาดนะคะ สมกับว่าที่ตัวร้ายในอนาคตเลย

เค้กพุทราจีนสูตรแม่ชิงเหอจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร ติดตามตอนหน้าค่ะ

ไหหม่า (海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

Status: Ongoing

<strong>*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน</strong>

<strong>จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 …</strong>

<strong>ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย</strong>

<strong>ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…</strong>

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท