ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม – บทที่ 141

บทที่ 141

บทที่ 141 เดือนธันวาคมทางจันทรคติ

ระหว่างทางกลับบ้าน หลินชิงเหอก็รู้สึกโล่งกายสบายใจอย่างยิ่ง

เธอไม่คิดว่าพวกครอบครัวตระกูลหลินจะหาเรื่องต่อสู้รอบใหม่เพราะโค้ททหารของเธอหรอก

อย่าคิดว่าเธอจะกตัญญูกับพ่อแม่และดูแลญาติ ๆ เพียงเพราะเธออยู่ในร่างของเจ้าของร่างเดิมนะ

แน่นอนว่าถ้าพวกเขาดีต่อเธอ เธอก็จะช่วยเหลือสักเล็กน้อย ในฐานะมนุษย์คนหนึ่งแล้วก็ไม่ควรทำเกินไป

แต่พ่อแม่ของเธอกับญาติ ๆ นิสัยดีกันเสียที่ไหนล่ะ?

ต้องการจะให้เธอช่วยเหลืองั้นเหรอ? ไม่มีทาง ไม่มีทางอย่างแน่นอน

เธอกลับไปที่บ้านอย่างอารมณ์ดี ซึ่งโจวชิงไป๋ได้รอเธออยู่ที่บ้านแล้ว เมื่อเห็นหญิงสาวกลับมาเร็วกว่าที่คิดแถมเธอยังดูอารมณ์ดีมีความสุข เขาก็เอ่ยทัก “ทุกอย่างเรียบร้อยดีนะ?”

“ค่ะ” หลินชิงเหอจอดจักรยานไว้ในที่จอดและถามขึ้น “กลางวันนี้คุณอยากกินอะไรคะ? ฉันจะได้ทำให้คุณกิน”

“คุณตัดสินใจเถอะ” โจวชิงไป๋ตอบขณะมองเธอ

หลินชิงเหอจึงเดินเข้าครัวไปทำอาหารด้วยอารมณ์แจ่มใส

ถึงอากาศจะเย็น หญิงสาวก็ยังจะทำบะหมี่ในน้ำซุปซีอิ้ว

เธอทำซอสพริกเก็บไว้เป็นจำนวนมากเมื่อไม่นานมานี้ และมันก็เหมาะที่จะกินกับบะหมี่ในครั้งนี้มาก

หญิงสาวทำซอสเนื้อในปริมาณพอขลุกขลิกก่อนราดลงบนเส้นบะหมี่ หากใครชอบทานเผ็ดก็แค่ตักซอสพริกโปะลงไป ซึ่งจะทำให้มันยิ่งมีรสชาติดีมากขึ้น

ขณะที่หลินชิงเหอง่วนอยู่กับการปรุงอาหารพร้อมกับฮัมเพลงเบา ๆ ไปด้วย เจ้าใหญ่ก็กลับมาจากข้างนอกบ้านพอดีและเอ่ยถามขึ้น “แม่ กลางวันนี้เรามีอะไรกินเหรอครับ?”

“บะหมี่ซอสเนื้อน่ะ” หลินชิงเหอตอบ

“บะหมี่ซอสเนื้อเหรอครับ?” เจ้าใหญ่ตาโต

“มันไม่ใช่ของหากินยากอะไรเลย ลูกจำเป็นต้องทำท่าทางอย่างนั้นด้วยเหรอ?” หลินชิงเหอเอ่ยอย่างดูแคลน

“แม่ครับ ทำไมแม่ดูอารมณ์ดีจัง?” เจ้าใหญ่เอ่ยพลางหัวเราะ

หลินชิงเหอเหลือบมองเขา “ลูกรู้ได้ยังไงว่าแม่อารมณ์ดี?”

“ก็สีหน้าแม่มันบอกอยู่นี่ครับ” เจ้าใหญ่ยิ้มกริ่ม “ถ้าแม่ไม่เชื่อก็ถามพ่อได้นะครับ ดูสิว่าพ่อจะว่ายังไง”

“ไม่ต้องถามหรอก แม่รู้ตัวว่าตัวเองอารมณ์ดีอยู่แล้วล่ะ” หลินชิงเหอเอ่ยจากนั้นก็นวดแป้งต่อ

ไม่นานนักเจ้ารองกับเจ้าสามก็กลับมาจากบ้านตระกูลโจว สิ่งที่สองพี่น้องชอบทำมากที่สุดในตอนนี้ก็คือการไปเยี่ยมซูเฉิงน้อยที่บ้านของคุณปู่คุณย่า

แน่นอนว่าการมีเด็กในบ้านตระกูลโจวมากขึ้นมันก็ทำให้บรรยากาศในบ้านดูครึกครื้นมากขึ้นเช่นกัน

“แม่ ผมเพิ่งบอกเซี่ยเกอเกอไปว่าจะเอานมไปให้เขาลองชิมเยอะ ๆ เลยน่ะครับ” เจ้าสามเปิดประเด็น

เซี่ยเกอเกอในที่นี้ก็คือโจวเซี่ยผู้เป็นลูกชายของพี่ชายรองกับสะใภ้รองตระกูลโจว

ถึงแม้ความสัมพันธ์ระหว่างหลินชิงเหอกับสะใภ้รองตระกูลโจวจะเป็นเหมือนไฟกับน้ำ แต่เธอก็ไม่เอาเรื่องนี้ไปลงกับเด็ก ๆ

“ลูกจะแบ่งไปจากส่วนของลูกก็ได้ แบ่งให้กับทุกคนที่ลูกอยากจะแบ่งเลย ต่อให้ลูกไม่ดื่ม แม่ก็ไม่มีปัญหาอะไร” หลินชิงเหอบอก

“ผมอยากดื่ม” เจ้าสามพูด

“เขาชอบขี้โม้น่ะครับ พอไปที่นั่นเขาก็โม้ใหญ่เลยจนเด็กคนนั้นเริ่มน้ำลายสออยากจะกินด้วย” เจ้ารองอธิบาย

“ครั้งนี้เป็นเพราะผมสัญญากับเขาแล้ว แต่ครั้งหน้าผมจะไม่ให้เขาดื่มแล้ว” เจ้าสามเอ่ย

“เอาล่ะ มันก็แค่นมไม่กี่อึก ดังนั้นไม่เป็นไรหรอก กลางวันนี้เราจะกินบะหมี่ซอสเนื้อกันนะ” หลินชิงเหอเอ่ยตัดบท

สองพี่น้องตาโตในทันที

“ทุกคนเข้าไปในห้องเร็ว ข้างนอกอากาศหนาวมาก” หลินชิงเหอเอ่ยไล่

สองพี่น้องเข้าไปในห้องของพวกเขา ส่วนโจวชิงไป๋เดินเข้ามาจุดไฟในเตาให้ หลินชิงเหอมองชายร่างใหญ่นั่งตรงหน้าเตาไฟแล้วก็เลิกคิ้วพลางอมยิ้ม “พี่ชายรองบ้านหลินกลัวคุณด้วยล่ะค่ะ”

โจวชิงไป๋หันมองเธอด้วยสายตางุนงง

หญิงสาวเกิดอารมณ์ดีขึ้นมายามนึกถึงตอนที่จัดการสะใภ้รองบ้านหลิน “พี่ชายรองบ้านหลินกล้าลงมือกับฉัน ฉันก็เลยอ้างคุณไปว่าถ้าเขากล้าแตะต้องฉัน ฉันจะให้คุณไปหักขาสุนัขเน่า ๆ ของเขาน่ะค่ะ”

โจวชิงไป๋ยิ้มกริ่ม

แต่ถ้าพี่ชายรองตระกูลหลินกล้าแตะต้องภรรยาของเขาจริง เขาก็จะไม่ปล่อยอีกฝ่ายไปง่าย ๆ แน่ เขาจะอัดอีกฝ่ายให้เละเป็นโจ๊กในคราวเดียว คราวหน้าอีกฝ่ายจะได้ขยาดยามเห็นภรรยาของเขาเสียบ้าง

หลินชิงเหอไม่ได้พูดถึงเหตุการณ์นอกจากนั้น เพราะมันจบไปแล้วจึงไม่จำเป็นต้องพูดอีก ตระกูลหลินคงไม่อยากเห็นตัวกาลกิณีอย่างเธอไปพักใหญ่เลยล่ะ

บะหมี่ซอสเนื้อในมื้อกลางวันนี้ช่างอร่อยล้ำ

โจวชิงไป๋ชอบกินอาหารเผ็ด เขาจึงใส่ซอสพริกลงไปผสมจำนวนมาก ส่งผลให้ชายคนนี้มีเหงื่อผุดซึมเต็มหน้าผาก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขาพอใจกับอาหารมื้อนี้มาก

ไม่เฉพาะเขาเท่านั้น ท่านพ่อโจวเองก็ชอบกินอาหารเผ็ด เจ้าใหญ่ก็ด้วย พวกเขาทั้งหมดต่างติดรสนี้อย่างมาก

เจ้ารองกับเจ้าสามยังเด็กเกินไป หญิงสาวเลยใส่ซอสพริกให้พวกเขาชิมนิดหน่อย แต่สองพี่น้องก็พบว่ามันเผ็ดเกินไปสำหรับพวกเขา และเมื่อมองพ่อของพวกเขาตักซอสพริกช้อนใหญ่พูน ๆ โปะลงบนบะหมี่และทานมันเหมือนข้าว ดวงตาของสองพี่น้องก็มองพ่อของพวกเขาด้วยความชื่นชมอย่างเห็นได้ชัด

อาหารกลางวันนี้มีรสจัดกว่าเดิม ดังนั้นอาหารมื้อเย็นจึงต้องมีรสอ่อนลง

มื้อเย็นจึงเป็นหมั่นโถวขาวเคียงคู่กับต้มจืดกระดูกหมูหัวไชเท้านอกจากไข่คนเป็นอาหารจานเคียงแล้วก็ไม่มีอะไรอย่างอื่น

หัวไชเท้าในยุคนี้มีรสชาติหวานอย่างยิ่ง ต้องบอกว่าหากนำมันมาต้มกับกระดูกหมูจะได้น้ำแกงที่มีรสชาติดีเยี่ยมทีเดียว

แม้อาหารเย็นจะดูเรียบง่าย มีแค่ต้มจืดกระดูกหมูหัวไชเท้ามันย่องคู่กับหมั่นโถวและไข่คน แต่คุณค่าทางโภชนาการของอาหารมื้อนี้ก็ถือว่าไม่เลวเลย

อย่างน้อย ๆ ท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวก็พอใจกับอาหารมื้อนี้

ขณะเดียวกันพวกเขาก็กระจ่างใจขึ้นมาว่าทำไมลูกชายคนเล็กของพวกเขาจึงไม่ผอมลงเลยสักนิด

มีสะใภ้สี่ที่ปรุงอาหารได้อย่างสร้างสรรค์เป็นแม่ครัวประจำบ้านแบบนี้แล้ว อาหารที่บ้านมันจะแย่ได้อย่างไรล่ะ?

เพียงชั่วพริบตาเดียวมันก็เข้าสู่เดือนธันวาคม อากาศในเดือนสิบสองทางจันทรคติอย่างเดือนธันวาคมช่างหนาวเยือกยิ่งนัก

และหิมะก็ตกค่อนข้างหนักด้วย

ท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวต่างรู้สึกขอบคุณอย่างมาก ปีนี้ต้องขอบคุณสะใภ้สี่ที่ให้ผ้านวมผืนใหญ่ขนาดนั้นกับพวกเขา มันให้ความอบอุ่นได้อย่างดีเยี่ยมทีเดียว

ถึงจะมีเตียงเตาอยู่ แต่ไฟในเตียงเตาก็จะมอดในกลางดึก ทุกอย่างจึงขึ้นอยู่กับผ้านวมในการกักเก็บความอบอุ่น หากผ้านวมให้ความอบอุ่นไม่พอ พวกเขาก็คงต้องสะดุ้งตื่นจากความเหน็บหนาวแน่

ซูเฉิงน้อยนอนอยู่ในห้องเดียวกับสะใภ้สาม เพราะมันหนาวเกินไปที่จะอุ้มเขาไป ๆ มา ๆ ระหว่างห้อง นางจึงตัดสินใจปล่อยเขาไว้ที่ห้องนั้น ซึ่งสะใภ้สามก็ไม่ถืออะไร แค่เด็กเพิ่มมาหนึ่งคนไม่ใช่ปัญหาใหญ่หรอก

แน่นอนว่าการที่หล่อนใจกว้างแบบนี้ก็เพราะซูต้าหลินรู้จักเข้าหาคน

ถึงเขาจะติดอ่างพูดจาไม่ชัด แต่เขาก็ส่งเนื้อหมู ไก่ ปลา และไข่มาจากในอำเภอให้หล่อนไม่ขาด

ในทุกสัปดาห์เขาจะขนไข่มาให้หนึ่งตะกร้า เนื้อติดมัน 1 ชิ้น และปลาจำนวนหนึ่ง พอครบหนึ่งเดือนก็เป็นไก่ 1 ตัว

ด้วยการปฏิบัติแบบนี้จากเขาแล้ว สะใภ้สามจะไม่เลี้ยงดูซูเฉิงน้อยเป็นอย่างดีได้อย่างไร? ที่ซูเฉิงน้อยต้องการก็แค่ให้หล่อนเลี้ยงนมเขา

เขายังนอนกับหล่อนในตอนกลางคืนด้วย ส่วนในตอนกลางวันแม่สามีจะเป็นคนเลี้ยงดูเขาและไม่จำเป็นต้องให้หล่อนเลี้ยง

มันช่างง่ายดายอะไรอย่างนี้?

ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมสะใภ้รองที่อยู่ห้องถัดไปถึงเอาแต่พูดด้วยความอิจฉา ชนิดที่ได้กลิ่นเปรี้ยวลอยไปถึงหมู่บ้านถัดไปเลยทีเดียว

แต่หล่อนอิจฉาไปก็ไร้ประโยชน์ โจวเสี่ยวเม่ยมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับหล่อน หากไม่มีใครที่จะช่วยเหลือหรือไม่มีตัวเลือกอื่นแล้วจริง ๆ อีกฝ่ายถึงจะขอความช่วยเหลือ

แต่ในเมื่อมีสะใภ้สามเป็นตัวเลือกแล้ว โจวเสี่ยวเม่ยก็ย่อมไม่ปล่อยให้คนน่ารังเกียจอย่างสะใภ้รองเป็นคนให้นมลูกชายของหล่อน

เกณฑ์ในการเลี้ยงดูบุตรชายของโจวเสี่ยวเม่ยนับว่าสูงอยู่เหมือนกัน!

…………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ได้หลุดพ้นจากฝูงปลิงแล้วแม่สบายใจ เมนูใหม่จึงบังเกิด ต้องลองทำตามดูบ้างแล้วค่ะ

อิจฉาไปก็ไม่มีประโยชน์นะสะใภ้รอง เสี่ยวเม่ยเค้าไม่เลือกเธอหรอก เดี๋ยวเธอเอาอะไรไม่รู้ใส่หัวลูกชายเค้าเหมือนที่ทำกับเจ้าใหญ่เมื่อตอนนั้น

ไหหม่า (海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

Status: Ongoing

<strong>*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน</strong>

<strong>จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 …</strong>

<strong>ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย</strong>

<strong>ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…</strong>

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท