ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม – บทที่ 176

บทที่ 176

บทที่ 176 ได้ลูกชาย

ในการเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงครั้งนี้เอง โจวชิงไป๋ก็ได้โชคชั้นใหญ่

เข้าสู่การเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงได้ไม่กี่วัน ชายหนุ่มก็จับกระต่ายป่าตัวอ้วนได้ตัวหนึ่ง

กระต่ายป่าน้ำหนักหลายชั่งตัวนี้ทำให้ทุกคนในฝ่ายผลิตต่างรู้สึกอิจฉา

ในสองหรือสามปีที่ผ่านมา โจวชิงไป๋จับกระต่ายได้ในช่วงการเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงทุกครั้ง ต้องบอกว่าเขามีความสามารถมากทีเดียว

คนอื่น ๆ ในฝ่ายผลิตก็จับกระต่ายได้เหมือนกัน แต่ให้พูดตามตรง มันก็ไม่เหมือนกับโจวชิงไป่ที่จับได้หนึ่งตัวทุกปี

โจวชิงไป๋หิ้วกระต่ายอ้วนกลับบ้านและจัดการชำแหละด้วยตัวเอง

จากนั้นหลินชิงเหอก็รับมันมาตุ๋นต่อ

กระต่ายในปีนี้มีขนาดตัวค่อนข้างใหญ่ มันถูกตุ๋นรวมกับมันฝรั่ง กลิ่นหอมน่ารับประทานของมันทำให้ผู้คนที่แอบดมกลิ่นอยู่ตามหลืบมุมกินข้าวได้ 2 ชามเลยทีเดียว

แต่ปีนี้โจวชิงไป๋โชคดีกว่าปีที่ผ่าน ๆ มา พอถึงกลางเทศกาลเก็บเกี่ยวประจำฤดูใบไม้ร่วง เขาก็จับกระต่ายได้อีกตัว และเป็นกระต่ายตัวอ้วนเป็นพิเศษเหมือนกัน

ลืมตัวก่อนหน้าไปได้เลย ตัวนี้เป็นตัวที่ต้องเก็บไว้สำหรับครอบครัวเท่านั้น

สำหรับกระต่ายตัวนี้ หลินชิงเหอก็ได้ตุ๋นมันรวมกับมันฝรั่ง จากนั้นก็ส่งกระต่ายตุ๋นชามหนึ่งไปให้ครอบครัวของสะใภ้ใหญ่ สะใภ้รอง และสะใภ้สาม

แน่นอนว่าในชามนั้นมีมันฝรั่งเป็นส่วนใหญ่ มีเนื้อกระต่ายอยู่ไม่มากนักเพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้น แต่มันก็ยังมีน้ำแกงในปริมาณมากที่มีรสชาติดียิ่งหากกินกับอาหารจานหลัก

ความสัมพันธ์ระหว่างหลินชิงเหอกับสะใภ้รองยังคงราบเรียบ แต่หลินชิงเหอยังมีความรู้สึกที่ดีกับพี่ชายรองอยู่

ดังนั้นต่อให้เธอจะไม่อยากให้สะใภ้รอง เธอก็ยังส่งส่วนแบ่งนี้ไปให้ด้วยเพราะเห็นแก่พี่ชายรอง นอกจากกระต่ายตุ๋นชามหนึ่งแล้วก็ไม่มีอะไร ส่วนใหญ่ในชามนั้นมีแต่มันฝรั่ง และมีเนื้อกระต่ายอย่างมาก 5 ถึง 6 ชิ้น

แม้แต่มันฝรั่งอย่างเดียวก็นับว่าอร่อยอย่างยิ่งแล้ว มันทั้งนุ่มลื่นและมันย่อง ฉ่ำไปด้วยรสชาติจากเนื้อกระต่าย ซึ่งกระตุ้นความอยากอาหารได้มากเป็นพิเศษ

“ทำไมอาสะใภ้สี่เอามาให้น้อยจังเลยล่ะ? พวกเขาจับกระต่ายมาได้ตัวใหญ่ขนาดนั้นแต่ครอบครัวเราได้รับแค่เนื้อกระต่ายไม่กี่ชิ้นเนี่ยนะ” โจวลิ่วนีเอ่ยขึ้น

โจวซานนีได้ฟังก็ตำหนิเธอ “อาสะใภ้สี่เต็มใจให้มาแต่เธอยังดูถูกอีกเหรอ? ป้าสะใภ้ใหญ่กับป้าสะใภ้สามก็ได้แบบนี้เหมือนกัน คนเยอะขนาดนี้จะให้ได้เนื้อก้อนใหญ่ได้อย่างไรล่ะ?”

“ที่หนูกินมันไม่ใช่ส่วนของพี่นี่ ทำไมพี่ต้องร้อนตัวด้วย” โจวลิ่วนีเถียงกลับอย่างจงใจ

“ถ้าเธอเห็นว่ามันน้อยก็อย่ากินสิ เอามาให้พี่กินแทน” โจวเซี่ยบอก

“ฝันไปเถอะ!” โจวลิ่วนีรีบเขมือบส่วนของเธอในทันที

สะใภ้สองทำเพียงมองด้วยความเงียบงัน หล่อนไม่ได้แตะอาหารจานนี้เลย

ส่วนพี่ชายรองนั้นไม่ยอมเสียเวลาแม้แต่น้อย เขาเขมือบลงไปราวกับหมาป่าหิวโหย หลังทำงานมาทั้งวันและได้กินแค่แป้งจี่ในตอนกลางวัน เขาก็หิวมากเสียจนท้องร้องโครกครากอยู่นาน เขาจะสนใจกับเรื่องอื่น ๆ ได้อย่างไรล่ะ?

หลังกินเสร็จ พี่ชายรองก็ระบายลมหายใจ เขาเอ่ยขึ้นอย่างพึงพอใจ “เนื้อกระต่ายนี่มันอร่อยจริง ๆ”

“ทำไมพ่อจับกระต่ายกลับมาไม่ได้เหมือนคุณอาสี่ล่ะครับ” โจวเซี่ยถามพ่อ

“ลูกคิดว่ากระต่ายมันจับง่ายเหรอ” พี่ชายรองตอบ

ด้วยความเร็วของกระต่ายแล้ว ขนาดคนที่ถูกฝึกมาอย่างอาสี่ยังจับได้แค่ทีละตัว แล้วมันจะเป็นเรื่องง่ายสำหรับคนอื่น ๆ ได้อย่างไร?

เขาต้องบอกว่าเนื้อกระต่ายนี้มันอร่อยเลิศมากเลยจริง ๆ

แต่มันก็มีไม่มากนัก แต่ละครอบครัวได้กันคนละไม่กี่ชิ้นเท่านั้น

พี่ชายใหญ่กับพี่ชายสามต่างเคี้ยวกลืนเนื้อกระต่ายลงไป แม้มันจะมีจำนวนไม่กี่ชิ้น แต่ก็ไม่มีใครแสดงอาการดูถูก

สะใภ้ใหญ่กับสะใภ้สามต่างพากันไปขอบคุณหลินชิงเหอด้วยตัวเอง

หลินชิงเหอไม่กล่าวอะไร เธอแนะนำให้พวกหล่อนทำถั่วเขียวต้มน้ำตาลสำหรับพี่ชายใหญ่และพี่ชายสาม

หลินชิงเหอยังคงทำถั่วเขียวต้มน้ำตาลนี้ทุกวัน

ไม่ต้องพูดถึงว่ามันจะข้นขนาดไหน แต่ถั่วเขียวต้มน้ำตาลกลิ่นหอมละมุนชามหนึ่งก็ระบายความร้อนในร่างกายได้เสมอ

และด้วยอากาศอันทารุณในช่วงฤดูใบไม้ร่วงนี้ มันก็ทำให้ผู้คนเผชิญกับความยากลำบากเหลือแสน

“ในคราวหน้าถ้าเราจับกระต่ายได้สองตัวเหมือนกับการเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงนี้ เราก็จะยังเก็บไก่ไว้ให้ออกไข่ได้นะคะ” หลินชิงเหอหัวเราะ

เดิมเธอวางแผนจะเชือดไก่ในฤดูใบไม้ร่วงนี้และได้ปรึกษาเรื่องนี้กับท่านแม่โจว เรื่องนี้ทำให้นางปวดใจอย่างมาก

นางรู้สึกระทมใจจริง ๆ ในเมื่อแม่ไก่สามารถออกไข่ได้บ่อยขนาดนี้แล้วทำไมต้องเชือดมันด้วย?

หลินชิงเหอบอกว่าเธอต้องการเชือดมันมาทำอาหารบำรุงร่างกายให้โจวชิงไป๋ นางจึงไม่มีอะไรจะพูด

แต่ตอนนี้เธอไม่จำเป็นต้องฆ่ามัน มีกระต่ายสองตัวนี้เขาก็ไม่ขาดสารอาหารแล้ว

“ผมจะคอยเฝ้าดูไว้นะ” โจวชิงไป๋ตอบ

หลินชิงเหอยิ้มและปล่อยให้เขาทำตามใจ

กระต่ายช่างจับยากโดยแท้ แม้จะมีกระต่ายหลายตัวโผล่มาในวันเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงหลังจากนั้น แต่ก็ไม่มีใครจับพวกมันได้เลย

สะใภ้สามตระกูลหลินเจ็บท้องคลอดลูกในเดือนตุลาคมภายในช่วงการเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วง และในที่สุดลูกคนที่สี่ก็เป็นลูกชายเสียที

เมื่อหลินชิงเหอไปเยี่ยม เธอไม่เพียงแต่จะนำขาหมูไปสองขาและเนื้อหมูอีกครึ่งชั่ง แต่ยังนำไข่ 10 ฟองกับคูปองผ้า 2 ใบไปด้วย

“สิ้นการเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงปีนี้เมื่อไหร่ ก็พาน้องฉันไปซื้อผ้ามาจากในอำเภอแล้วมาตัดชุดให้หลานสาวของฉันนะ” หลินชิงเหอเอ่ย

นับตั้งแต่เธอได้เป็นคุณครู เธอก็ได้คูปองผ้าและคูปองอาหารมาเหมือนกัน ต้องบอกว่ามันเป็นสิทธิพิเศษชั้นยอดเลยทีเดียว ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเหล่าบัณฑิตหนุ่มสาวถึงเล็งตำแหน่งนี้ตาเป็นมัน

“พี่สาวสาม พี่เอาของมาเยอะเกินไปแล้วค่ะ” สะใภ้สามตระกูลหลินเอ่ย

“เยอะเกินไปที่ไหนกัน? ฉันจะตุ๋นขาหมูให้เธอกินเองนะ เวลาที่ทำก็น่าจะพอดีกับที่ฉันจะต้องกลับไป ขาหมูตุ๋นถั่วลิสงน่ะเหมาะที่จะให้เธอกินตอนนี้แล้ว”หลินชิงเหอบอก

สะใภ้สามตระกูลหลินไม่ต้องการให้เธอมาช่วยเหลือเรื่องของบำรุงหลังคลอดเพราะตอนนี้ลูกสาวคนโตก็อายุ 7 ขวบแล้ว

เด็กหญิงอายุ 7 ขวบในชนบทจะคุ้นเคยกับเตาไฟดี และสามารถจัดการทุกอย่างทั้งนอกบ้านในบ้านได้หมด

หลินชิงเหอจึงส่งของทุกอย่างให้และลงมือตุ๋นขาหมูกับถั่วลิสง ส่วนที่เหลือนั้นให้พวกเขาจัดการเอง เธอไม่คิดที่จะเข้าไปยุ่งมากเกินไป

สำหรับในยุคนี้แล้ว ของที่เธอนำมานับว่ามากมายจริง ๆ

หลังคุยกับสะใภ้สามตระกูลหลินครู่หนึ่ง หลินชิงเหอก็ไม่อยู่นานกว่านี้ เธอบอกหลานสาวว่าขาหมูตุ๋นกับถั่วลิสงใกล้ได้ที่แล้วก่อนจะกลับบ้านไป

ตอนที่หลินชิงเหอมาเยี่ยม น้องชายสามตระกูลหลินไม่ได้อยู่บ้าน เขาได้ยินเพียงว่าพี่สาวของเขามาเยี่ยมก็เป็นตอนเย็นที่กลับมาถึงบ้าน ยิ่งกว่านั้นเธอยังนำของมาให้เป็นจำนวนมากอีกด้วย

“ตอนนี้พี่สาวสามกินข้าวกับแม่สามีแล้ว เอาของมาให้มากขนาดนี้มันจะดีเหรอคะ?” สะใภ้สามตระกูลหลินเอ่ยขึ้น

“ไม่เป็นไรหรอก ตอนนี้พี่ผมเป็นครูสอนหนังสือมีค่าจ้างของตัวเองแล้ว” น้องชายสามตระกูลหลินเอ่ยปลอบ จากนั้นเขาก็พูดต่อ “เมื่อไหร่ที่ผมว่าง ผมจะลองขึ้นเขาไปดูว่ามีไก่ฟ้าหรือเปล่า ถ้ามีจะได้จับมาให้พี่สาวของผม ดีไหม?”

“ดีแล้วล่ะค่ะ เราอย่ารบกวนพี่สาวสามไปมากกว่านี้เลย” สะใภ้สามตระกูลหลินตอบ

หล่อนรู้สึกซาบซึ้งใจที่หลินชิงเหอผู้เป็นพี่สาวสามนำของกินมากมายมาให้หล่อนกินบำรุงหลังคลอด

หล่อนอยากจะเก็บความสัมพันธ์นี้ไว้เพื่อที่พี่สาวสามจะได้เต็มใจช่วยเหลือในภายภาคหน้า

ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงไม่อาจปล่อยให้พี่สาวสามเป็นฝ่ายให้แต่เพียงฝ่ายเดียวได้ หากพวกเขามีของดีอะไรที่บ้านแล้วส่งไปให้เธอ ต่อให้มันไม่มากนัก ก็นับว่าเป็นสินน้ำใจได้แล้วถูกไหม?

“อีกเรื่องหนึ่งนะคะ พี่สาวสามบอกว่าคุณอย่าซื้ออาหารเพิ่มในปีนี้เลย ซื้อแค่ข้าวสาลี 30 ชั่งก็พอแล้ว” สะใภ้สามตระกูลหลินพูด

“ตกลงครับ” น้องชายสามตระกูลหลินตอบตกลง

…………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

พ่อเก่งมากเลยค่ะ คราวนี้จับกระต่ายได้สองตัวเลย เป็นเพราะแม่บำรุงดีสินะคะ

ในที่สุดน้องชายสามตระกูลหลินก็ได้ลูกชายกับเขาเสียทีค่ะ ช่วงนี้แต่ละครอบครัวได้แต่ลูกชายกันทั้งนั้นเลย ตามครอบครัวสะใภ้สามกับครอบครัวเสี่ยวเม่ยไปติด ๆ

ไหหม่า (海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

Status: Ongoing

<strong>*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน</strong>

<strong>จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 …</strong>

<strong>ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย</strong>

<strong>ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…</strong>

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท