บทที่ 248 กลับบ้านในช่วงปิดเทอมฤดูหนาว
โดยไม่ต้องบอกเลยว่าฝั่งหลินชิงเหอเองก็อุ่นเหมือนกัน ผ้านวมของเธอกับลูกชายถูกเตรียมไว้นานมาแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เผชิญกับความหนาวเย็นใด ๆ
ครั้งนี้โจวข่ายส่งน้ำแกงไก่ดำตุ๋นมา
น้ำแกงนี้ได้รับการเคี่ยวตุ๋นจนมีรสชาติโอชา ซึ่งหลังดื่มเสร็จหลินชิงเหอก็ถามลูกชาย “เรื่องนี้จะไม่เป็นการรบกวนแม่ของเพื่อนลูกเกินไปเหรอ?”
“ไม่หรอกครับ คุณป้าเวิงใจดีอยู่ คราวที่แล้วที่ผมไปหา ท่านก็จำผมได้ ท่านรู้ว่าผมยังไม่ได้กินข้าวมาก็เลยทำบะหมี่ให้กินหนึ่งชาม” โจวข่ายบอก
นี่เป็นเหตุว่าทำไมเขาจึงชอบไปที่บ้านของเพื่อน เขาไม่ได้เด็กและโง่เขลา เมื่อใดที่แวะไปเยี่ยมก็จะนำปลาตัวหนึ่งไปด้วยเป็นครั้งคราว
“คราวที่แล้วคุณป้าเวิงมาที่มหาวิทยาลัยแล้วส่งของบางอย่างให้เวิงกั๋วเหลียง ท่านบอกว่าอยากพบกับแม่ผู้สั่งสอนผมจนกลายเป็นคนเด่นคนดังขนาดนี้ด้วยล่ะครับ” โจวข่ายยิ้ม
‘มันคงจะไม่ใช่อย่างที่ฉันคิดหรอกใช่ไหม?’ หลินชิงเหอคิด
“ป้าเขาพูดเรื่องนี้ตอนไหนน่ะ?” เธอถาม
“เมื่อคราวที่แม่ไปเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนที่ไห่หนานคราวที่แล้วนั่นแหละครับ” โจวข่ายตอบด้วยรอยยิ้ม
“คราวที่แล้วแม่ซื้อผ้าพันคอกลับมาด้วย เหมาะกับคนวัยเราเลยล่ะ ถ้าลูกมีโอกาสได้ไปเยี่ยมป้าเขาก็เอาไปให้เขาทีนะ บอกว่าแม่ซื้อกลับมาจากเมืองไห่หนานและหวังว่าเขาจะชอบมัน” หลินชิงเหอสั่ง
จากนั้นเธอก็กลับไปที่หอพักแล้วหยิบผ้าพันคอออกจากมิติ เป็นผืนที่ดูทันสมัยผืนหนึ่ง
“แม่ครับ มันสวยมากเลย ผืนนี้แม่เก็บไว้ใช้เองเถอะครับ” โจวข่ายบอก
หลินชิงเหอไม่ค่อยถูกใจกับผ้าพันคอสีแดงสดใสแบบนี้ เธอคิดว่าเธอถักไว้ใช้เองจะดีกว่า
“รบกวนป้าเขาตุ๋นน้ำแกงให้แม่แบบนี้ แม่ก็ไม่มีอะไรจะให้เยอะนักหรอก สิ่งที่แม่ให้ถือเป็นสินน้ำใจจากแม่ ในฐานะที่ครอบครัวของเพื่อนลูกเป็นคนดี” หลินชิงเหอบอก
ไม่ว่าชะตาชีวิตของทุกคนในอนาคตจะเป็นอย่างไร เธอก็จะขอรอดูแล้วกัน ตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะด่วนสรุป ดังนั้นพักเรื่องนี้เอาไว้ก่อนจะดีกว่า
จากนั้นท่านแม่เวิงก็ได้รับผ้าพันคอผืนนี้
ต้องบอกว่านางชอบมันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้นางกำลังมองหาผ้าพันคอผืนใหม่มาแทนผืนเก่าที่ใช้มานานหลายปีอยู่พอดี แต่นางก็ได้แต่คิดเท่านั้น
แต่ไม่คิดเลยว่าแม่ของโจวข่ายจะให้ของขวัญแบบนี้กับนาง
“พ่อ คุณคิดว่าฉันควรรับของขวัญชิ้นนี้ไว้ดีไหม?” ท่านแม่เวิงถาม
ท่านพ่อเวิงบอกได้ว่านางชอบผ้าพันคอผืนนี้ เขาเลยตอบไปว่า “รับไว้เถอะคุณ ตอนที่โจวข่ายมาเยี่ยมบ้าน คุณก็หุงหาอาหารดี ๆ ให้เขากินตั้ง 2-3 อย่าง”
“ตายจริง ฉันไม่กล้ารับเลย” ท่านแม่เวิงยิ้ม
“ไม่ใช่ว่าคุณคิดจะเลี้ยงโจวข่ายเป็นเขยเราเหรอ ครอบครัวของว่าที่ลูกเขยให้ผ้าพันคอคุณแบบนี้แล้วคุณจะมัวอายอะไรล่ะ?”ท่านพ่อเวิงเอ่ยหยอก
ท่านแม่เวิงตีเขาเบา ๆ พลางยิ้มขวยเขินและตอบกลับ “แต่จากที่ฉันเห็น หล่อนไม่น่าจะเข้าหายากเท่าไหร่นะ”
“คุณวางใจแบบนี้ก็ดีแล้ว ดูจากการศึกษาของหล่อน หล่อนไม่น่าจะเป็นคนไร้เหตุผลหรอก” ท่านพ่อเวิงเอ่ย ขณะในใจคิดว่า ‘ภรรยา คุณน่าจะกังวลว่าโจวข่ายกับลูกสาวของเราจะเข้ากันได้ดีหรือเปล่ามากกว่านะ’
เพราะจากที่เขาเห็น เด็กทั้งคู่ไม่มีความคิดอะไรแบบนั้นเลย พวกเขาเห็นเป็นแค่เพื่อนร่วมชั้นกันเท่านั้น
แต่เขาก็ไม่ได้บอกภรรยาไป เพราะผู้หญิงชอบฝันหวานอยู่ตลอด
หลังหลินชิงเหอให้ผ้าพันคอไปแล้ว เธอก็ไม่ใส่ใจอะไรอีก ต่อมาเธอก็ได้ยินจากปากลูกชายคนโตว่าทางบ้านนั้นเลี้ยงอาหารมื้อใหญ่กับเขาสองมื้อเมื่อไปถึง
หลังเข้าสู่เดือนธันวาคม อากาศก็เย็นจนหนาวจัด โดยเฉพาะในหอพักที่ไม่มีเครื่องทำความร้อนใด ๆ
สิ่งที่พวกเขาทำได้อย่างมากที่สุดคือการจิบน้ำร้อน แต่ถ้าจิบมากไป พวกเขาก็ต้องเข้าห้องน้ำบ่อยขึ้น
แม้แต่หลินชิงเหอยังทนหนาวไม่ได้ เธอจึงอยู่แต่บนเตียง ไม่ลุกออกจากเตียงไปไหนเลย
ตอนนี้ในหอพักมีคนอยู่เพียง 5 คนเท่านั้น เฉินเสวี่ยย้ายออกไปแล้ว เพราะทางหอพักไม่อาจให้หล่อนอยู่ต่อได้อีก หล่อนจึงเต็มใจย้ายออกไปหลังจากพักฟื้นร่างกายได้ไม่กี่วัน
หลินชิงเหอไม่สนใจเรื่องเหล่านี้มากนัก เธอมีวันหยุดช่วงฤดูหนาวเพียงสัปดาห์เดียว ดังนั้นจึงหวังจะกลับไปที่บ้านให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
ต่อให้มันจะใช้เวลาเดินทางบนถนนหลายวัน แต่เรื่องนี้ก็ไม่เป็นไร ทันทีที่กลับไปถึง เธอก็จะอยู่ยาวจนถึงวันที่สิบของเดือนมกราคมเลย!
มหาวิทยาลัยจะเปิดการศึกษาอีกครั้งในวันที่สิบของเดือนมกราคมปีหน้า
ต้องบอกว่าตอนนี้อะไร ๆ เริ่มเป็นมาตรฐานมากขึ้นเรื่อย ๆ และระบบคิดหน่วยกิตก็ถูกนำมาใช้แล้ว
ทางคณะต่างกระตุ้นให้ทุกคนอยู่เรียนต่อ เพราะโอกาสแบบนี้หาได้ยากนัก
อาจารย์ของหลินชิงเหอเป็นผู้หญิงวัยกลางคน นางหวังอย่างยิ่งที่จะให้หลินชิงเหออยู่ต่อ เพราะคาดหวังในตัวเธอไว้สูง แถมนางยังขอให้หลินชิงเหออยู่ในมหาวิทยาลัยในฐานะอาจารย์ประจำคณะในวันหน้าอีกด้วย
ซึ่งหลินชิงเหอก็ให้คำตอบไปว่าหากเธอมีโอกาสเธอก็จะอยู่ต่อ
ทำไมเธอถึงจะไม่อยู่ต่อล่ะ? ถ้าเธออยู่ในมหาวิทยาลัยต่อได้ เธอก็จะแก้ปัญหาการย้ายทะเบียนบ้านได้
แต่สำหรับเรื่องที่ต้องอยู่เรียนต่อในตอนนี้นั้น เธอได้แต่ส่ายหน้าปฏิเสธไป “พอดีครอบครัวของฉันรออยู่ที่บ้าน แล้วฉันก็บอกว่าจะกลับไปหาแล้วน่ะค่ะ”
“ถ้างั้นเธอก็กลับไปแล้วกัน อย่าหย่อนยานในเนื้อหาภาษาอังกฤษล่ะ” อาจารย์ของเธอบอก
“ฉันจะไม่เป็นแบบนั้นค่ะ” หลินชิงเหอพยักหน้า
อาจารย์ของเธอไม่กล่าวอะไรต่อ
ในกลางเดือนธันวาคม หลินชิงเหอก็พาโจวข่ายขึ้นรถไฟกลับบ้าน
พวกเขาใช้เวลาเดินทาง 2 วันบนรถไฟ แต่ใช้เวลาทั้งหมด 4 วันในการไปถึงหมู่บ้าน
“แม่ครับ เรามีเวลาแค่ 25 วันเท่านั้น แค่เดินทางไปกลับก็กินเวลาไป 8 วันแล้ว สรุปก็คือเราจะมีเวลาอยู่ที่บ้านแค่ 17 วัน” โจวข่ายบอก
“ต่อให้เรามีเวลาอยู่แค่วันเดียว เราก็ต้องกลับไปอยู่” หลินชิงเหอสอนสั่ง
ความจริงแล้วโจวข่ายก็แค่พูดไปแบบนั้น เขาไม่ขัดเลยที่จะกลับมา นี่เป็นบ้านเกิดของเขาแล้วทำไมต้องไม่อยากกลับด้วย?
นอกจากนั้นเขายังคิดถึงพ่อ น้องชายทั้งสอง และปู่ขึ้นมาหน่อย ๆ
โจวข่ายสูงเลย 180 เซนติเมตรไปแล้ว ตอนนี้เขาสูงเกือบ 183 เซนติเมตร นับว่าสูงจนน่าตกตะลึง ซึ่งเดิมทีหลินชิงเหอก็รู้สึกกังวลเล็กน้อย แต่ในครึ่งปีหลังของปีนี้ ลูกชายคนโตของเธอเจริญเติบโตน้อยลงจากเดิมมาก
หลินชิงเหอจึงรู้สึกว่ามันคงเป็นเพราะการเจริญเติบโตแบบก้าวกระโดด หลังจากนั้นจะค่อย ๆ ชะลอตัวลงไปเอง
ทันทีที่ทั้งแม่และลูกเร่งรีบกลับจากเมืองหลวงมาที่อำเภอบ้านเกิดได้ พวกเขาก็รู้สึกโล่งใจ
ตอนนี้ค่ำมาก ซึ่งเลยเวลาหนึ่งทุ่มไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นทั้งแม่และลูกก็ยังจะกลับบ้าน
“ตอนนี้ดึกมากแล้วนะคะ ไม่จำเป็นต้องรีบกลับไปหรอกค่ะ อยู่ค้างคืนที่นี่สักคืนก่อนแล้วค่อยกลับก็ได้” โจวเสี่ยวเหมยเอ่ยแย้ง
“อยู่… ค้างคืน… เถอะครับ” ซูต้าหลินเอ่ยสมทบ
“พี่อยู่ค้างไม่ได้หรอก พี่เหลือวันหยุดหน้าหนาวอยู่แค่ไม่กี่วันแล้ว” หลินชิงเหอบอก จากนั้นก็ยื่นกล่องของฝากแปดอย่างจากเมืองหลวงและเป็ดปักกิ่งให้กับโจวเสี่ยวเหมย “เอาล่ะ พี่กับลูกกลับแล้วนะ”
หลังยืมจักรยานของโจวเสี่ยวเหมยไปแล้ว ทั้งแม่ลูกก็ขี่กลับบ้าน
“พี่สะใภ่สี่มาไกลขนาดนั้นแต่ก็ยังอุตส่าห์นำของพวกนี้กลับมานะคะ” โจวเสี่ยวเหมยรำพึง
“หล่อน… หล่อนคิดถึงคุณน่ะ” ซูต้าหลินยิ้ม
โจวเสี่ยวเหมยยิ้มกริ่มก่อนนำเป็ดปักกิ่งอาหารชื่อดังระดับชาติกับของฝากแปดอย่างจากเมืองหลวงกลับเข้าไปไว้ในห้อง หล่อนแบ่งของครึ่งหนึ่งส่งไปให้ทางลุงของซูต้าหลิน เพื่อแสดงเป็นสินน้ำใจและให้พวกเขาได้ชิมรสชาติ
เมื่อหลินชิงเหอกับโจวข่ายไปถึงบ้าน ครอบครัวของพวกเขาก็กำลังจะเข้านอนพอดี
จากนั้นเองพวกเขาก็นอนไม่หลับเลย
“เจ้ารอง รีบไปต้มน้ำให้แม่อาบเร็ว แม่ทนไม่ไหวแล้ว” หลินชิงเหอร้องบอกในทันทีที่ถึงบ้าน
เธอทนนอนคืนนี้ทั้งที่ยังไม่ได้อาบน้ำไม่ได้หรอก!