ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม – บทที่ 262 เงินค่าขนม

บทที่ 262 เงินค่าขนม

บทที่ 262 เงินค่าขนม

ต้องบอกว่ากรณีของเฉินเสวี่ยกับสามีของหล่อนได้สร้างผลกระทบใหญ่หลวงให้กับทางสถานศึกษา

การที่ใครก็ตามจะจัดการชีวิตครอบครัวของตัวเองล้วนขึ้นกับอิสระของพวกเขา คนอื่น ๆ ไม่อาจไปยุ่งได้หากพวกเขาต้องการหย่า ตราบใดที่ไม่ทำกันเกินไปมันก็ไม่อยู่ในความสนใจของคนอื่น ๆ

อาจารย์ของหลินชิงเหอชอบหลินชิงเหอในแบบที่เธอเป็น

หล่อนไม่ใช่คนที่หัวโบราณมากนักแต่ก็ยังยึดถือหลักการอยู่ ผู้หญิงที่ดูแลครอบครัวของเธอนับว่าเป็นผู้หญิงที่ดีเสมอ

ในต้นเดือนเมษายน ทางมหาวิทยาลัยก็ได้จัดการแลกเปลี่ยนนักศึกษากับเมืองไห่หนานอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ใช่ด้านภาษาอังกฤษ แต่เป็นคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมี

หลินชิงเหอนึกเสียใจที่เธอไปไม่ได้ ขณะที่โจวข่ายได้เข้าร่วม เขาเรียนวิชาเอกด้านคณิตศาสตร์และภูมิศาสตร์อยู่ ทั้งยังเรียนวิชาอื่น ๆ ด้วย แถมยังมีผลการเรียนยอดเยี่ยมอีกต่างหาก

ดังนั้นเขาจึงเข้าร่วมโครงการนี้

ก่อนที่เขาจะไป เขาก็บอกเรื่องนี้กับแม่ของตนเองและถามเธอว่าต้องการฝากซื้ออะไรไหม

หลินชิงเหอไม่ต้องการอะไร แต่เพื่อนร่วมหอหญิงคนหนึ่งฝากซื้อผ้าพันคอผืนใหม่

เมื่อเห็นว่าหล่อนเป็นเพื่อนร่วมหอพักของมารดา เขาก็รับปากว่าจะซื้อให้ต่อให้ความสัมพันธ์ของพวกหล่อนจะกลาง ๆ ก็ตาม เพราะหล่อนอยู่ในหอพักเดียวกับแม่ของเขา

หลินชิงเหอไม่มีอะไรอยากได้ เธอให้เงินค่าขนมจำนวนหนึ่งกับเขาไปเพื่อที่เขาจะสามารถซื้ออะไรที่อยากซื้อได้ที่นั่น

โจวข่ายกลับมาหลังจากไปที่นั่นไม่กี่วัน เขามอบผ้าพันคอให้กับเพื่อนร่วมหอพักคนนั้นของแม่ก่อนจะดึงตัวแม่มากระซิบถาม “แม่ คราวที่แล้วที่แม่ซื้อนาฬิกาให้ผม คนขายได้โกงแม่หรือเปล่าครับ? ผมไปตรวจดูมาแล้ว นาฬิกาที่แม่ซื้อให้ผมคราวที่แล้วมันราคาราวร้อยหยวนเองนะครับ”

“ก็ไม่ได้โดนโกงนี่” หลินชิงเหอเลิกคิ้ว

โจวข่ายอึ้งไป เมื่อเห็นแม่ตอบแบบนี้เขาก็ลดเสียงลงต่ำ “แม่ บอกความจริงมานะครับ แม่แอบเอาไปขายต่อหรือเปล่า?”

“เจ้าเด็กตัวเหม็นที่ไม่ตั้งใจเรียน” หลินชิงเหอดึงหูของเด็กหนุ่ม “ลูกคิดว่าแม่เป็นคนแบบนั้นได้ยังไงกัน?”

เธอขายต่อสินค้าจริง ๆ แต่ไม่สามารถให้ลูกชายล่วงรู้ได้ ไม่ใช่ว่ากลัวว่าเขาจะรับไม่ได้ ลูกชายที่เธอเลี้ยงมามีจิตใจที่เข้มแข็งอยู่แล้ว

เธอแค่กังวลว่าเขาจะอาจหาญลอกเลียนแบบเธอบ้าง

เธอมีมิติส่วนตัวอยู่ จึงไม่กลัวว่าจะถูกใครตรวจสอบ ซึ่งเธอปล่อยให้ลูกชายของเธอทำแบบนั้นไม่ได้หรอก

“แม่อย่าปิดบังผมเลย ผมตะหงิดอยู่ในใจมานานแล้ว ตอนที่อยู่ในหมู่บ้านเรา ครอบครัวเราก็มีเนื้อกินเยอะแยะ ทุกครั้งหลังสิ้นสุดการเก็บเกี่ยวฤดูร้อน แม่ก็ส่งธัญพืชไปให้คุณอาเล็ก ของพวกนั้นถูกส่งเข้าตลาดมืดทั้งหมดเลยใช่ไหมครับ?” โจวข่ายกระซิบ

“แม่คิดว่าลูกวอนโดนตีแล้วล่ะ!” หลินชิงเหอถลึงมอง

“แม่ ผมเป็นลูกชายแท้ ๆ ของแม่นะ ยิ่งกว่านั้นผมโตขนาดนี้แล้ว คิดอะไรเองได้แล้วด้วย” โจวข่ายบอก

หลินชิงเหอได้ยินก็เอ็ดลูกแบบขำ ๆ “ลูกตั้งใจเรียนไปเถอะ แม่จะไม่ทำอะไรเทา ๆ หรอกน่า ไม่อย่างนั้นผู้ชายหัวโบราณพ่อของลูกคนนั้นคงเป็นคนแรกที่คัดค้านไปแล้ว”

“พ่อไม่ใช่พ่อคนเดิมเหมือนในตอนนั้นแล้วครับ เขาถูกแม่เป่าหูเรียบร้อยแล้ว” โจวข่ายยกยิ้ม

ในอดีตพ่อของเขาอาจจะห้าม แต่หลังจากนั้นไม่ว่าแม่จะพูดอะไรเขาก็ทำตามหมด ไม่มีการคัดค้านใด ๆ

“อย่าคิดถึงสิ่งทั้งหลายที่ไม่เกี่ยวข้องและตั้งใจขยันเรียนซะ หลังเรียนจบแล้วลูกยังอยากจะเข้ากองทัพอยู่หรือเปล่า? ลูกอย่าได้นิ่งนอนใจเชียวนะ” หลินชิงเหอเตือนด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“แม่ เราโตกันหมดแล้วนะครับ แม่ไม่ต้องทำอะไรแบบนี้หรอก ในอนาคตเราสามพี่น้องยังเลี้ยงดูแม่ได้ แม่ไม่ต้องทำงานหนักขนาดนี้หรอกครับ” โจวข่ายตอบเสียงจริงจัง

แม้แม่ของเขาจะไม่ยอมรับ แต่เขาก็รู้อยู่แก่ใจดี

ต่อให้เธอได้กำไรมันก็ถือว่าไม่มากนัก นอกจากนี้มันยังเป็นสินค้าของไห่หนาน มันจะไม่แพงได้อย่างไรเมื่อนำมาขายในตัวอำเภอ?

มันจะมีต้นทุนในการขนย้ายไปมาเท่าไหร่? ต้องใช้เวลากับกำลังคนมากเท่าใดกัน?

โจวข่ายรู้สึกว่าแม่ของเขากระทำการนี้ก็เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของครอบครัว

“แม่ไม่ต้องการให้ลูกมาเลี้ยงดูแม่หรอก พ่อของลูกเองก็เลี้ยงดูแม่ได้ ลูกรู้ไหมว่าเงินบำนาญที่พ่อได้หลังลาออกจากกองทัพมีเยอะขนาดไหน? ลูกถึงคิดว่าแม่ทำเรื่องแบบนั้น” หลินชิงเหอคำราม

“เงินบำนาญจะมีเยอะขนาดไหนกันเชียวครับ? อย่างมากก็แค่พันหนึ่ง” โจวข่ายตอบ

“สามพัน” หลินชิงเหอเหลือบมองเขาด้วยสายตาเรียบเฉย

คราวนี้โจวข่ายตกตะลึงไปถึงแก่นวิญญาณ “พ่อกลับมาพร้อมกับเงิน 3,000 หยวนเหรอครับ?”

ในตอนนั้นสามพี่น้องยังเด็กนัก และมันก็เป็น 10 ปีที่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงเมื่อ 10 ปีที่แล้วเลย ต่อให้เป็นตอนนี้ เงิน 3,000 หยวนก็เป็นเงินจำนวนมากอยู่ดี!

“ถูกต้อง” หลินชิงเหอบอก “พ่อไม่โกหกในเรื่องนี้หรอก ลูกไปถามพ่อได้เลยตอนที่ได้กลับบ้าน”

“ไม่ใช่มาจากธุรกิจเทา ๆ แน่นะครับ?” โจวข่ายเริ่มเชื่อเธอแล้ว

“แม่พูดไปแล้วนี่ว่าไม่ได้ทำ ลูกยังจะสวมหมวกให้แม่หาว่าแม่ทำอีกเหรอ?” หลินชิงเหอถลึงมอง

โจวข่ายหัวเราะร่า “แล้วตอนนี้เหลือเงินอยู่เท่าไหร่ครับ?”

“พอที่จะใช้ก็แล้วกัน” หลินชิงเหอโบกมือ

เมื่อสิ้นปีที่แล้วเธอทำเงินไปได้มหาศาล ต่อให้ใช้จ่ายไปกับของสะสมบางอย่างเช่นโลหะมีค่า แต่เธอก็ไม่ได้จ่ายไปมากนัก ตอนนี้ในมิติของเธอมีเงินอยู่เกือบ 6,000 หยวนแล้ว

ไม่เพียงแต่เงิน 3,000 หยวนในอดีตจะไม่ลดลง แต่มันเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าตัว

ยิ่งกว่านั้น มันยังเกิดขึ้นแม้ว่าเธอจะ ‘ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย’ อีกด้วย

“แม่ ผมซื้อนาฬิกาเรือนนี้กลับมาด้วยล่ะครับ ผมไม่ได้จะเลียนแบบนะครับ แม่ดูได้เลย” โจวข่ายเอ่ยก่อนหยิบนาฬิกาออกมา

หลินชิงเหอรับรู้ในทันทีเมื่อเห็นนาฬิกาผู้หญิงเรือนนี้ เธอบังเกิดความอยากรู้ขึ้นมานิดหน่อยและเอ่ยถามไป “ลูกไปได้เงินจำนวนมากขนาดนั้นมาจากไหน?”

“ผมเก็บเงินเองครับ แล้วก็มาจากเงินที่แม่ให้ผมด้วย แม่ครับ นอกจากนมและอุปกรณ์การเรียนแล้วผมก็ไม่รู้จะใช้จ่ายไปกับอะไรอีก ในการเดินทางครั้งนี้ผมก็เลยเอาเงินที่มีซื้อมันมา” โจวข่ายบอก

เขาจึงซื้อนาฬิกาเรือนนี้กลับมา

“เจ้าเด็กตัวเหม็น แค่ครั้งนี้พอนะ ไม่มีครั้งหน้าอีกแล้ว!” หลินชิงเหอจ้องมองเขา

“เข้าใจแล้วครับ” โจวข่ายบอก “แม่ ผมขอเงินหน่อยสิครับ ผมต้องเอาไปจ่ายค่านมพรุ่งนี้”

หลินชิงเหอจึงให้เขาไป 10 หยวน

โจวข่ายคุ้นเคยกับความใจดีของแม่ไปแล้ว เขาคิดว่าเพื่อนของเขาจะเป็นแบบเขา แต่หลังจากนั้นก็พบว่าพวกเขาไม่ได้เป็นแบบนั้น

ต่อให้เพื่อนของเขามาจากเมืองหลวง แต่เวิงกั๋วเหลียงก็ได้รับเงินค่าขนมอย่างมาก 5 เหมา

มีแต่แม่ของเขาคนเดียวเท่านั้นที่ให้เงินเขา 10 หยวน

เงินที่เขาได้รับช่างห่างชั้นกับคนอื่นมาก แต่โชคดีที่เขาเป็นลูกชายผู้มีเหตุผล ไม่อย่างนั้นก็เป็นเรื่องง่ายมากที่จะเป็นการเลี้ยงลูกชายมือเติบสุรุ่ยสุร่ายคนหนึ่ง

โจวข่ายส่ายหน้าและจากไปในทันที

“ทำท่าทางแบบนั้นมันหมายความว่ายังไงน่ะ เจ้าเด็กตัวเหม็นเอ๊ย?” หลินชิงเหอพึมพำ

จากนั้นหญิงสาวก็เดินกลับหอพัก การให้เงินค่าขนม 10 หยวนกับลูกชายคนโตที่เข้ามหาวิทยาลัยแล้วถือว่าไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดสำหรับหลินชิงเหอ

ต่อให้ในยุคนี้ยังใช้ระบบแต้มค่าแรงอยู่ เงิน 10 หยวนก็ยังเป็นเงินจำนวนมากอยู่ดี

เงินเดือนของผู้คนในยุคนี้ส่วนมากมีค่าเพียง 30 หยวนเท่านั้น

มันยังคงเป็นวลีนั้นอยู่ คือการขัดแย้งทางความคิด ซึ่งสำหรับเธอแล้วการให้เงิน 10 หยวนกับลูกชายคนโตไว้ใช้เองนั้นเป็นเรื่องปกติ

ในเมื่อไม่มีอะไรแล้ว หลินชิงเหอก็เดินกลับหอพัก และเก็บนาฬิกาไว้ เมื่อใดที่ได้กลับไปที่บ้านเกิดในช่วงปิดภาคการศึกษาฤดูร้อน เธอก็จะเอามันไปขายต่อ

“ชิงเหอ ฉันต้องขอบคุณลูกชายเธอมากเลยนะ ฉันชอบผ้าพันคอผืนนี้มากเลย” เพื่อนร่วมหอพักของเธอเอ่ยด้วยความดีใจจนแทบลอย

“ดีแล้วจ้ะที่เธอชอบ ฉันล่ะกังวลเกี่ยวกับรสนิยมของเขาเหลือเกิน” หลินชิงเหอตอบอย่างสุภาพ

เธอจำได้ว่าเหมยเจี่ยขอให้เธอซื้อกลับมาฝาก นั่นก็ไม่เป็นปัญหาใหญ่ เมื่อปิดภาคการศึกษาฤดูร้อนมาถึง เธอจะเดินทางไปไห่หนานก่อน จากนั้นก็ค่อยมุ่งหน้ากลับไปที่บ้านเกิด

ไหน ๆ เธอก็ต้องซื้อของเอามาขายต่ออยู่แล้วนี่

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

Status: Ongoing

<strong>*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน</strong>

<strong>จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 …</strong>

<strong>ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย</strong>

<strong>ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…</strong>

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท