ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม – บทที่ 322 ไร้ความปรานี

บทที่ 322 ไร้ความปรานี

บทที่ 322 ไร้ความปรานี

หลินชิงเหอไม่สนใจหรอกว่าหู่จือและสวี่เชิ่งเหม่ยจะคิดอย่างไรกับเธอ เธอเป็นแบบนี้มาโดยตลอด

แต่เมื่อคุยกับโจวชิงไป๋ในตอนกลางคืน น้ำเสียงของเธอกลับนุ่มนวลลง

“ฉันให้ลิ่วนีกลับไปแบบนี้ คุณจะกล่าวโทษฉันไหมคะ?” หลินชิงเหอถาม

“ไม่หรอกครับ” โจวชิงไป๋สั่นศีรษะ

เขาเองก็ไม่พอใจกับสิ่งที่หลานสาวของเขาทำ

แน่นอนเขาไม่ได้โกรธเรื่องที่หล่อนมาหาที่พึ่ง แต่โกรธในเรื่องที่หล่อนทำตัวสิ้นคิด ไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ดีไป แต่ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นแล้วจะทำอย่างไร?

“ถ้าพวกเขาเป็นเด็กที่รู้ความแล้วละก็ ในฐานะที่เป็นอาและอาสะใภ้ เราย่อมเต็มใจอยากช่วยพวกเขา เอ้อร์นีไม่ได้พูดอะไรเลยฉันยังต้องการให้เธอมาด้วย แต่กับลิ่วนีที่เป็นอย่างนี้ ใครจะกล้าดูแลเธอกันคะ?” หลินชิงเหอบ่น

เธอไม่เคยพบเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน กล้าจะใช้แผนประหารก่อนรายงานทีหลัง(1) คิดหรือว่าเธอจะไม่ไล่กลับไป?

ไม่มีทาง เธอไม่ลังเลเลย

ครั้งนี้เธอก็ไม่มีความปรานีให้เช่นกัน มิเช่นนั้นมันจะต้องเกิดขึ้นซ้ำอีก จะไปพูดกันว่าเธอเป็นคนแล้งน้ำใจหรือว่าพอเธอรุ่งเรืองแล้วไม่เห็นหัวผู้อื่นก็ไม่เป็นไร เธอจะไม่ยอมให้ใช้วิธีการแบบนี้

“อย่าโมโหไปเลยนะครับ ส่งหล่อนกลับไปก็ดีแล้ว” โจวชิงไป๋ปลอบ

ภรรยาของเขาเป็นคนคอยดูแลเรื่องในภายในบ้าน เขาจะไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่ง ถ้าพี่รองของเขาไม่พอใจแล้วละก็ เขาจะเป็นคนจัดการเรื่องนี้เอง

ส่วนทางด้านโจวข่ายและโจวลิ่วนี พวกเขากลับไปถึงหมู่บ้านชนบทในเวลาไม่กี่วัน

โจวข่ายทำตามคำสั่งของแม่ เขาพาโจวลิ่วนีไปที่บ้านตระกูลโจวและส่งเธอให้กับคุณลุงรองโดยตรง

“ลุงรอง ผมพาลิ่วนีมาส่งคืนให้ลุงครับ วันหน้าลุงรองต้องคอยดูหล่อนไว้ให้ดี ๆ นะครับ อย่าปล่อยให้หนีออกจากบ้านไปอีก” โจวข่ายพูด

พี่ชายรองถึงกับตะลึงไป “นี่มันเรื่องอะไรกัน? ลิ่วนีไม่ได้ไปที่บ้านคุณตาคุณยายหรอกหรือ?”

จากนั้นเขาก็มองตรงไปที่สะใภ้รอง

สะใภ้รองเม้มปากและด่าโจวลิ่วนีออกมา “นังลูกเวร แกไปไหนมา? แกไปหาอาสี่กับอาสะใภ้สี่ของแกที่เมืองหลวงมาใช่ไหม?”

พี่ชายใหญ่ สะใภ้ใหญ่ พี่ชายสามและสะใภ้สามเดินออกมา พวกเขาต่างได้ยินกันทุกคน

จากนั้นพวกเขาก็มองไปที่โจวลิ่วนี

สะใภ้ใหญ่เป็นคนแรกที่เอ่ยปากออกมาด้วยหน้าตาบูดบึ้ง “เจ้าใหญ่ ลิ่วนีไปเมืองหลวงมาคนเดียวจริง ๆ เหรอ?”

“ใช่ครับ พ่อผมบอกให้ผมมาส่งหล่อนคืนให้กับลุงรองกับป้าสะใภ้รองครับ” โจวข่ายตอบ

เขาเอ่ยออกมาง่าย ๆ ว่าเป็นคุณพ่อของเขา ไม่ใช่คุณแม่

สีหน้าของสะใภ้ใหญ่ไม่สามารถดำทะมึนยิ่งไปกว่านี้ได้อีกแล้ว

“พี่สะใภ้รอง ไม่ใช่ว่าฉันอยากจะตำหนิอะไรพี่หรอกนะ แต่พี่จะต้องสั่งสอนลิ่วนีให้ดี มันเป็นเรื่องที่เกินขอบเขตมากเกินไปแล้ว เมืองหลวงเป็นสถานที่ประเภทไหน? หล่อนยังกล้าไปจริง ๆ หรือ?” สะใภ้สามหันไปพูดกับสะใภ้รอง

สะใภ้รองไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าครอบครัวสาขาสี่จะไม่ให้หน้ากับครอบครัวสาขารองอย่างเช่นตอนนี้ หล่อนแสดงหน้าตาฉุนเฉียว จากนั้นหันไปคว้าก้านไม้ไผ่และเริ่มเฆี่ยนตีโจวลิ่วนี “นังตัวดี ดูสิว่าฉันจะฆ่าแกไหม วันทั้งวันคอยแต่จะคิดปีนขึ้นไปที่สูง ๆ คนอื่นเขาจะยอมให้แกปีนขึ้นไปหรือ? แกดั้นด้นไปตั้งไกลถึงเมืองหลวงแล้วก็ยังโดนเขาไล่กลับมา ดีใจไหมล่ะ? ก็พวกเขาไม่ชอบแก แกยังดื้อด้านจะไปหาถึงที่นั่นอีก คิดว่าฉันจะไม่ฆ่าแกหรือไง!”

คำพูดพวกนี้ นอกเหนือจากการเฆี่ยนตีและดุด่าลิ่วนีแล้ว มันยังมีนัยยะหมายความว่าครอบครัวสาขาสี่นั้นไม่มีน้ำใจ พวกเขาไม่ยอมอดกลั้นอดทนแม้แต่กับหลานสาวของตนเอง

“ป้าสะใภ้รองครับ ถ้าป้ามีอะไรจะพูดก็พูดออกมาตรง ๆ เลยครับ ไม่ต้องพูดกระทบกระเทียบ พวกเราไม่ได้บอกให้ลิ่วนีไปที่นั่น อีกอย่างค่าเดินทางก็ไม่ได้ราคาถูก ๆ ป้าไม่ได้เป็นคนให้ค่าเดินทางไปหรอกหรือครับ?” โจวข่ายมีนิสัยตาต่อตาฟันต่อฟัน ในเมื่อคุณป้าสะใภ้รองของเขาพูดออกมาอย่างนี้ เป็นธรรมดาที่เขาจะกล้าถามกลับออกไป

หล่อนช่างพ่นคำพูดคำจาออกมาไม่ระวังปากจริง ๆ!

สะใภ้รองถึงกับชะงักไป

“ครั้งนี้ที่ลิ่วนีเดินทางไกลไปถึงที่นั่นทำให้มีคนหลายคนต้องพลอยลำบากไปด้วย ผมต้องขอลาหยุดเรียน มีตั้งกี่วิชาที่ผมต้องเรียนล่าช้าออกไป!”

“เจ้าใหญ่ เกิดอะไรขึ้น?” หลังจากเขาพูดจบ ท่านพ่อโจวและท่านแม่โจวก็เดินเข้ามาในห้อง

โจวข่ายตรงมาที่บ้านครอบครัวโจวเลย เขายังไม่ได้กลับไปที่บ้านของตนเอง ตอนนี้ทั้งท่านพ่อและท่านแม่โจวอาศัยอยู่ที่บ้านของเขา

เมื่อพวกท่านทราบข่าวก็รีบตรงมาที่นี่ทันที

“คุณปู่ คุณย่า” โจวข่ายเอ่ยทักทายและจากนั้นจึงอธิบายว่า “ไม่มีอะไรครับ แค่ลิ่วนีไม่รู้ความไปที่เมืองหลวงตามลำพัง ผมเลยมาส่งหล่อนกลับ ลุงรองครับตอนนี้ผมส่งหล่อนคืนให้ลุงแล้วนะครับ จากนี้ไปหล่อนจะไปที่ไหนก็ได้ แต่ไม่ต้องมาหาพวกเรา”

ประโยคสุดท้ายพูดให้คุณลุงรองฟัง

พี่ชายรองกำลังเดือดดาลด้วยความโมโหจึงประกาศว่า “ต่อไปถ้าหล่อนไม่ทำตัวดี ๆ อยู่ที่บ้านอีก ลุงจะหักขาหล่อนเสียเอง!”

“ลิ่วนีไปเมืองหลวงมาหรือ?” ท่านพ่อโจวได้ข้อสรุป เขาหน้าตึงมองไปที่โจวลิ่วนี

โจวลิ่วนีหลบมุมอยู่และกล่าวว่า “หนูแค่อยากไปเห็นเท่านั้น ใครจะรู้ว่าพอหนูไปถึงที่นั่น อาสะใภ้สี่ไม่ยอมให้หนูค้างคืนด้วยแม้แต่คืนเดียว และยังให้พี่ใหญ่พาหนูกลับมาอีก!”

“ตลกดี เธอยังไม่ได้ถามแล้วก็ไปที่นั่นเลย อาสะใภ้สี่ของเธอจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเธอวางแผนอะไรไว้? คนทั้งหมู่บ้านรู้นิสัยอาสะใภ้สี่ของเธอกันทั้งนั้น ถ้าเธอคิดจะประหารก่อนแล้วค่อยรายงาน เธอต้องดูด้วยว่าอาสะใภ้ของเธอมีนิสัยอย่างไร หล่อนจะยอมให้เธอทำได้สำเร็จไหม?” สะใภ้สามเอ่ย

“ไม่เอาน่า พูดให้มันน้อย ๆ หน่อยคุณ” พี่สามตำหนิหล่อน

“พูดให้น้อยอะไรกันคะ? ในที่สุดตระกูลโจวก็มีครอบครัวสาขาที่ประสบความสำเร็จ ทั้งตระกูลต่างรอคอยความสำเร็จ แต่ยังมีคนที่ไม่รู้จักประมาณตน ลิ่วนีมีคุณงามความดีอะไรบ้าง? ที่บ้านหลังนี้มีใครเห็นไม่ชัดเจนบ้าง? แต่คนบางคนกลับคิดว่าลูกสาวของพวกเขาเป็นที่รักของทุกคนที่ได้เห็นและคิดว่าทุกคนต้องทำตามวิธีของเธอ ไม่มองบ้างละว่าใครเป็นคนแนะนำเรื่องของเซี่ยเซี่ยให้ ไม่เป็นอะไรหรอกถ้าความจำจะไม่ดี แต่ทำอย่างกับว่าครอบครัวสาขาสี่เป็นหนี้หล่อนและจะต้องทำตามความต้องการของหล่อนงั้นแหละ”

สะใภ้สามเย้ยหยันออกมาตรง ๆ ครั้งนี้หล่อนไม่ต้องการจะทนอีกต่อไปแล้ว หล่อนกล่าวแล้วก็ชี้หน้าสะใภ้รอง

ช่วยไม่ได้นี่นะ พวกหล่อนอาศัยอยู่ใต้หลังคาเดียวกัน สะใภ้สามและสะใภ้รองมีเรื่องขุ่นข้องใจระหว่างกันมานาน แต่มีความคิดได้ว่าพวกหล่อนต้องอยู่บ้านหลังเดียวหัน พวกหล่อนจึงปล่อยผ่าน

แต่เมื่อคนบางคนเสแสร้งทำเป็นสับสนในเรื่องที่พวกเขารู้แก่ใจดี หล่อนจึงไม่รังเกียจที่จะทำให้สะใภ้รองได้รู้ว่าไม่มีใครเป็นคนโง่!

“ผมบอกไม่ให้คุณพูดไง!” พี่ชายสามกล่าว

สะใภ้สามกลอกตา “คุณคิดว่าฉันอยากจะพูดนักหรือไงคะ!”

หลังจากพูดจบ หล่อนก็หันไปหาโจวข่าย “หลานต้องหยุดเรียนไปกี่วิชาที่ทางโน้น? ตอนที่กลับไปแล้วไม่รู้ว่าหลานจะเรียนตามเขาทันไหม? ป้าได้ยินอู่นีเคยพูดให้ฟังมาก่อนว่าตอนที่หล่อนไม่ตั้งใจเรียนแค่บทเรียนเดียวในชั้นเรียน หล่อนก็เรียนตามไม่ทัน”

“ยังไม่เป็นไรครับ” โจวข่ายพูด

ท่านพ่อโจวยังคงนิ่งเงียบหน้าตาบึ้งตึง

ท่านแม่โจวที่ยืนอยู่ติดกันแทบจะเข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น นางมองไปที่สะใภ้รองด้วยสีหน้าเย็นชา “เมียอารอง แต่แรกฉันก็คิดว่ามันเป็นความคิดที่ดีที่จะให้ลิ่วนีไปที่นั้น แต่พอฉันได้เห็นในตอนนี้ เด็กสาวที่เธอสั่งสอนมาไม่สามารถทำเรื่องอะไรที่ดีได้จริง ๆ เธอเลิกล้มความคิดนั้นไปเสียเถอะ!”

ถ้าเป็นเรื่องอื่น ๆ ท่านแม่โจวอาจจะยอมปล่อยและลืมมันไป

แต่ตราบใดที่เป็นเรื่องที่กระทบผลประโยชน์ของหลานชายทั้งสามคนของนางแล้ว นางจะไม่แสดงความเมตตาไม่ว่ากับใครก็ตาม

………………………………………………………………..

(1) ทำลงไปโดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตแล้วจึงค่อยรายงานผลทีหลัง

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

Status: Ongoing

<strong>*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน</strong>

<strong>จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 …</strong>

<strong>ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย</strong>

<strong>ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…</strong>

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท