ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม – บทที่ 329 ประกาศผลสอบ

บทที่ 329 ประกาศผลสอบ

บทที่ 329 ประกาศผลสอบ

หม่าเสี่ยวตั้นดีใจมาก เขารีบเก็บลูกแก้วแล้วเดินเข้าไปหา

โจวกุยหลายสังเกตเห็นว่ามือของหม่าเสี่ยวตั้นสกปรกมากจึงบอกว่า “ไปล้างมือก่อน ถ้านายไม่ล้างมือพยาธิจะเข้าไปอยู่ในท้องของนายได้เลยนะ”

หม่าเสี่ยวตั้นเคยมีพยาธิตัวกลมในร่างกายมาก่อน ต้องกินยาขับออกมาถึงจะหาย เขาจึงไปล้างมืออย่างเชื่อฟังในทันที จากนั้นก็มากินเกี๊ยวกับพี่ใหญ่คนนี้ทันที

คุณป้าหม่ารู้สึกยินดีเป็นอันมากและเอ่ยว่า “นี่เป็นพี่ชายของหลานนะ ต่อไปต้องเรียกเขาว่าพี่นะจ๊ะ”

“พี่?” หม่าเสี่ยวตั้นมองไปที่โจวกุยหลาย

โจวกุยหลายยิ้มยิงฟันออกมา “ถูกต้อง ฉันเป็นพี่ชายของนาย จากนี้ไปนายสามารถมาดูทีวีที่บ้านฉันตอนค่ำได้ ตราบใดที่นายเรียกฉันว่าพี่”

“พี่มีทีวีด้วยเหรอครับ?” หม่าเสี่ยวตั้นถาม

“แน่นอน มันมีอะไรน่าสนใจเยอะแยะเลยนะ คืนนี้ตอนนายได้ไปดูนายก็จะรู้เองละ” โจวกุยหลายพยักหน้าบอก

คุณป้าหม่ากลับไปล้างจานต่ออย่างร่าเริง ปล่อยให้เด็ก ๆ นั่งกินและคุยกันต่อที่นั่น

หลินชิงเหอและลูกชายคนโตของเธอมากินอาหารเย็นที่นี่ เฒ่าหวังไม่ได้มาด้วย

เมื่อถึงเวลาคุณป้าหม่าก็พาหม่าเสี่ยวตั้นกลับ หม่าเสี่ยวตั้นยังสนใจอยากรู้เรื่องทีวีที่โจวกุยหลายเอ่ยให้ฟังอยู่จึงไม่ลืมหันไปบอกว่า “พี่ครับ รีบกลับบ้านนะครับ”

“ได้เลย” โจวกุยหลายโบกมือ

เมื่อหม่าเสี่ยวตั้นออกไปแล้วโจวกุยหลายก็กลับไปพูดเรื่องเดิม ๆ อีกครั้ง เขาหันไปหาแม่ของเขา “แม่ครับ ถ้าแม่ยอมมีน้องชายหรือน้องสาวอีกคนให้ผมตั้งแต่ตอนนั้น เขาก็น่าจะอายุประมาณนี้แล้วละครับ”

“นี่ลูกไม่รู้เหรอว่าฟืนไฟและข้าวสารมันแพงมากขนาดไหน? ไม่รู้เหรอว่าการต้องดูแลลูกสามคนพี่น้องมันไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลยนะ?” หลินชิงเหอย้อนกลับอย่างหงุดหงิด

“พวกเราดูแลยากยังไงครับ? พวกเราก็ถูกเลี้ยงปล่อยให้เป็นอิสระ” โจวกุยหลายตอบ

“เลี้ยงแบบอิสระ เลี้ยงแบบอิสระมาก ต้องตัดเสื้อผ้าให้ทุกปี แล้วยังมีนมผง นมผงมอลต์แล้วก็ลูกอมนมอีก พอโตขึ้นมาก็ต้องซื้อลูกฟุตบอล สั่งนมสดให้กิน กินไข่กันทุกวัน กินเนื้อทุก ๆ 3 ถึง 5 วัน ทั้งยังมีอุปกรณ์การเรียนต่าง ๆ อีก…” หลินชิงเหอร่ายรายการทุกอย่างแต่ละอันให้เขาฟัง

หู่จือและสวี่เชิ่งเหม่ยที่ปิดร้านเสื้อผ้าแล้ว และมากินข้าวเย็นที่นี่ถึงกับตะลึง

ในขณะที่โจวเอ้อร์นีนั้นรู้เรื่องพวกนี้อยู่แล้ว

หล่อนไม่สามารถหาคำพูดไหนมาใช้สำหรับการใช้ชีวิตของคุณอาสะใภ้สี่ของหล่อนได้เลย ไม่เพียงแต่เด็ก ๆ ในบ้านครอบครัวโจวที่รู้สึกอิจฉาความเป็นอยู่ของโจวข่ายและน้อง ๆ ของเขา แม้กระทั่งเด็ก ๆ ในหมู่บ้านต่างก็อิจฉาด้วยกันทั้งสิ้น

คุณอาสะใภ้สี่ของเธอเป็นเจ้าของป้ายกำกับว่า ‘คุณแม่คนนั้น’

แต่หู่จือกับสวี่เชิ่งเหม่ยไม่เคยรู้เรื่องนี้ ของบางอย่างที่คุณอาสะใภ้ของพวกเขาเอ่ยถึงยังถือว่าเป็นของหายากอยู่เลยในสมัยนี้

หลินชิงเหอตรวจนับบัญชีและพูดว่า “อย่าว่าแต่ในหมู่บ้านของเราเลย แม้แต่ในเขตรอบ ๆ และเด็กที่อยู่ในเมืองยังไม่ได้รับสิ่งดี ๆ เหมือนที่พวกลูกสามคนพี่น้องได้เลย”

ริมฝีปากของโจวกุยหลายกระตุกแล้วพูดว่า “ครอบครัวของเราตอนนั้นรวยมากเลยหรือครับ?”

“ในเวลานั้นครอบครัวของเราเรียกได้ว่า ตบหน้าตัวเองจนบวมเพื่อให้ดูอ้วน(1) ตอนนั้นคุณปู่คุณย่าไม่ได้อยู่รวมกับครอบครัวของเรา ทั้งบ้านมีแต่ป๊าคนเดียวที่ออกไปทำงานในทุ่งนา จะหาเงินมาได้สักเท่าไหร่กันกับแต้มค่าแรงแต้มเดียว? ถ้าไม่เป็นเพราะตอนนั้นป๊าได้เงินจากการเกษียณมาบ้างหลายร้อยหยวน การต้องหาเลี้ยงพวกลูกคงมีปัญหาแน่ ลูกยังกล้ามาบอกให้ม้ามีน้องอีกคน เจ้าเด็กเหลือขอนี่ ลูกไม่รู้สึกเจ็บปวดแทนป๊ากับม้าเลยเหรอ?” หลินชิงเหอพูด

“เจ็บปวดสิครับ ผมจะไม่รู้สึกเจ็บปวดได้ยังไง? พอผมโตขึ้นแล้ว ผมจะเป็นคนทำงานทั้งหมดเอง แม่กับพ่อสามารถเดินทางไปรอบโลกได้เลยครับ ที่ไหนก็ได้ที่อยากไป ถ้าแม่ขาดเงินแม่ไม่จำเป็นต้องมาบอกผม แต่ผมจะโอนเงินไปให้แม่เองทุกเดือนเลยครับ” โจวกุยหลายรับปากทันที

“ค่อยเข้าท่าขึ้นมาหน่อย” หลินชิงเหอพอใจเมื่อได้ยิน ถึงตอนนี้เธอจึงยอมปล่อยเขาไปโดยไม่บ่นว่าเขาต่อ

“นายมีชีวิตวัยเด็กที่ดีมากเลย” หู่จือพูดขึ้นมาอย่างอิจฉา

ไม่เพียงแต่เขา สีหน้าของสวี่เชิ่งเหม่ยก็ยังเต็มไปด้วยความอิจฉา

“มันเป็นอดีตไปแล้วละ” โจวข่ายหัวเราะ

แต่เขาก็รู้ดีว่าไม่มีคำไหนมาอธิบายวัยเด็กของพวกเขาได้ คนอื่นไม่มีทางจะมาเปรียบเทียบกับพวกเขาได้เลย

หลังอาหารเย็นของครอบครัว โจวชิงไป๋ก็เอ่ยขึ้นว่า “เฝ้าร้านด้วย” ตอนนี้ยังไม่ถึงสองทุ่มเลย แต่เขาจะไปดูหนังกับภรรยาของเขา

ปกติแล้วร้านเกี๊ยวจะปิดตอนราว ๆ สองทุ่มครึ่ง ซึ่งยังไม่ดึกมาก

หลินชิงเหออารมณ์ดีและออกไปดูหนังกับโจวชิงไป๋

“พ่อกับแม่ของเราออกไปดูหนังกันอีกแล้ว พวกเขาช่างรู้วิธีใช้ชีวิตให้มีความสุขพอ ๆ กับที่รักใคร่กันอย่างดูดดื่มจริง ๆ” โจวกุยหลายตั้งข้อสังเกตด้วยอารมณ์

เขายังไม่เคยเห็นใครเหมือนกับพ่อแม่ของเขาเลยจริง ๆ พวกเขาพี่น้องโตจนอายุขนาดนี้แล้ว แต่พวกเขายังคงมีความสัมพันธ์ที่ดีได้ถึงขนาดนี้ พวกเขามักจะออกไปดูหนังด้วยกันอย่างสม่ำเสมอ และไม่เปิดโอกาสให้พวกลูก ๆ ไปรบกวนพวกเขาเลย

รู้วิธีที่จะหาความสุขจริง ๆ

“พวกนายกลับไปก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันเฝ้าร้านให้เอง” โจวข่ายโบกมือไล่

โจวกุยหลายกลับไปดูทีวีที่บ้านกับหู่จือและสวี่เชิ่งเหม่ย ส่วนโจวเอ้อร์นียังอยู่ช่วยที่ร้าน

“พี่เอ้อร์นี กลางคืนร้อนไหมครับ?” โจวข่ายถาม

“ไม่ร้อนหรอกจ้ะ พอเปิดพัดลมแล้วก็เย็นมากเลย” โจวเอ้อร์นีตอบ

ที่ร้านเกี๊ยวก็มีพัดลมไว้ใช้ด้วย ในระหว่างวันมันจะถูกใช้อยู่ในร้านเกี๊ยวและจะเอาไปใช้ที่ห้องชั้นสองในช่วงกลางคืน

ไม่ได้ผิดอะไรสำหรับการใช้ชีวิตเช่นนี้

โจวเอ้อร์นีล้างจานกับตะเกียบเสร็จ จากนั้นก็ไปอ่านหนังสือต่อ

แม้ว่าหล่อนจะได้เรียนถึงชั้นประถมปีที่สาม แต่หล่อนก็รู้ตัวหนังสือไม่มากนัก คุณอาสะใภ้สี่บอกหล่อนไว้ว่าให้อ่านหนังสือให้มากขึ้นเมื่อมีเวลา ถ้าหล่อนเจอตัวอักษรคำไหนที่อ่านไม่ออกก็ให้มาถาม

หล่อนจึงอ่านหนังสือเป็นประจำตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ ตอนนี้หล่อนแทบจะไม่เจอคำที่หล่อนอ่านไม่ออกเลย ถึงแม้ว่าจะยังมีอยู่บ้างบางคำแต่ก็นับว่าน้อยมาก

โจวข่ายก็อ่านหนังสือของตัวเองด้วยเช่นกัน พอถึงเวลา 20.30 น. ลูกค้าสองคนสุดท้ายที่มาออกเดทกันก็กินเกี๊ยวเสร็จ จากนั้นโจวข่ายจึงปิดร้าน

เขาพาโจวเอ้อร์นีกลับมาดูทีวี หลังจากนั้นจึงไปส่งหล่อนและสวี่เชิ่งเหม่ยกลับร้านเกี๊ยว

ตอนที่หลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋ดูหนังเสร็จและกำลังมุ่งหน้ากลับบ้านเป็นเวลาที่ค่อนข้างดึกมากแล้ว

เมื่อทั้งคู่เดินผ่านเข้าไปในตรอกเล็ก ๆ ของชุมชน พวกเขาได้พบกับจางเหมยเหอที่กำลังยืนส่งผู้ชายคนหนึ่งออกไป ชายคนนั้นยังตบก้นของจางเหมยเหอก่อนจะกลับออกไปอีกด้วย

เมื่อจางเหมยเหอสังเกตเห็นคนทั้งคู่โดยเฉพาะโจวชิงไป๋ ใบหน้าของหล่อนก็แข็งค้างไป

หลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋เดินออกมาโดยไม่ได้ชำเลืองตาไปมองเลย ทำราวกับว่าพวกเขาไม่ได้เห็นหล่อน จางเหมยเหอเม้มปากแน่น จากนั้นก็หันกลับเข้าไปข้างใน

“ฉันคิดว่าหล่อนจะได้บทเรียนแล้วเสียอีก” หลินชิงเหออดไม่ได้ เธอพูดพึมพำออกมากับโจวชิงไป๋

กลายเป็นว่าการที่หล่อนย้ายออกมาอยู่ตามลำพังกลับทำให้หล่อนสามารถรับลูกค้าได้อย่างสะดวก

โจวชิงไป๋ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา จะพูดอะไรออกมาได้อีกละเมื่อเป็นเรื่องของคนอื่น

อย่างไรก็ตาม การที่หล่อนถูกจับได้คาหนังคาเขาในคืนนี้ทำให้หล่อนรู้สึกเสียหน้าอย่างไม่มีชิ้นดี หลังจากนั้นเมื่อจางเหมยเหอเห็นหลินชิงเหอเมื่อไหร่หล่อนจะคอยเดินหลบอ้อมไป

แต่ถ้าหล่อนบังเอิญได้พบโจวชิงไป๋คนเดียว หล่อนจะทำตัวน่ารักน่าสงสารราวกับว่าหล่อนถูกบังคับให้เดินไปในเส้นทางนี้

แม้ว่าร่างกายของหล่อนจะถูกขาย แต่หัวใจของหล่อนยังบริสุทธิ์ผุดผ่อง

ในชั่วเวลาเพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปอีกครึ่งเดือน

ปลายเดือนมิถุนายนผลสอบก็ประกาศออกมา ซึ่งไม่มีอุปสรรคสำหรับมหาวิทยาลัยปักกิ่งที่โจวเฉวี่ยนตั้งความหวังไว้

ขณะที่ผลสอบออก เด็กคนนี้ยังอยู่ที่บ้านเกิดของเขาและยังไม่ได้กลับมา หลินชิงเหอจึงโทรศัพท์กลับไปแจ้งผลสอบให้เขารู้

เขาขอให้พี่ใหญ่เป็นคนไปกรอกแบบฟอร์มเลือกมหาวิทยาลัยให้กับเขา เขาจะเรียนที่มหาวิทยาลัยปักกิ่งเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องไปคิดถึงที่เรียนที่อื่นเลย แบบฟอร์มการเลือกของเขาจึงค่อนข้างง่ายมาก

ในขณะเดียวกันโจวข่ายก็เตรียมตัวสำหรับพิธีจบการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยของเขา

………………………………………………………………………..

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

Status: Ongoing

<strong>*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน</strong>

<strong>จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 …</strong>

<strong>ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย</strong>

<strong>ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…</strong>

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท