บทที่ 332 ความก้าวหน้าในเมือง
ถ้าเป็นคนที่ทำการค้าซื้อมาขายไปแบบเต็มกำลังแล้ว เงินจำนวนนี้ถือว่าไม่มากเลย แต่สำหรับหลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋แล้วกำไรจากการซื้อมาขายไปเช่นนี้เป็นเพียงอาชีพเสริมเท่านั้น
เดินทางมาที่นี่และหาเงินได้สักก้อนหนึ่งก็เพียงพอแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้กำไรมามากมายนักแต่ก็ไม่นับว่าได้น้อยเช่นกัน คิดแค่ว่านี่เป็นความร่ำรวยที่ได้มาโดยไม่ได้คาดหวังมาก่อนก็ไม่จำเป็นต้องไปสนใจถึงเรื่องอื่นอีก
แค่ตอนนี้เงินเก็บในมิติของหลินชิงเหอก็มีเกือบจะถึง 70,000 หยวนแล้ว
ในยุคสมัยของครัวเรือน 10,000 หยวน นี่นับเป็นครอบครัวที่มั่งคั่งครอบครัวหนึ่งเลยทีเดียว
“เมื่อเรากลับไปแล้วคุณจะต้องไปสืบถามให้ดีนะคะ” หลินชิงเหอสั่งการ ก็เรื่องเรือนสี่ประสานในฝันของเธอในปักกิ่งไง!
จนถึงตอนนี้ พวกเขาได้เป็นเจ้าของร้านค้า 2 ร้าน บ้านหนึ่งหลังและอะพาร์ตเมนต์อีกหนึ่งห้อง …แต่ด้วยอพาร์ตเมนต์นี้ได้รับมาจากทางมหาวิทยาลัย พวกเขาจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของมัน
พวกเขาได้สิทธิ์สำหรับใช้เป็นที่อยู่อาศัยเท่านั้น แต่ไม่มีสิทธิ์ในการซื้อขาย
ความจริงแล้วพวกเขาจะไปซื้อร้านค้าและบ้านหลังอื่นเพิ่มต่อไปอีกก็ได้ แต่หลินชิงเหอกลับใฝ่ฝันที่จะได้เรือนสี่ประสาน
พวกเขามีร้านค้า 2 แห่งและบ้านที่มีสวนอีก 1 หลัง นับได้ว่าตอนนี้มีความมั่นคงในชีวิตมากพอ ซึ่งมันก็เกือบจะเพียงพอแล้ว
ดังนั้นตอนนี้การซื้อเรือนสี่ประสานของเธอถือว่าเป็นเรื่องสำคัญลำดับต้น ๆ
อย่านึกว่าราคาของเรือนสี่ประสานในตอนนี้จะไม่แพงล่ะ มันยังคงแพงอยู่
หลินชิงเหอสอบถามไปทางสำนักงานจัดการที่อยู่อาศัยแล้ว เธอสามารถซื้อเรือนสี่ประสานแบบบ้านหนึ่งวงได้ แต่ราคาของมันก็ยังสูงกว่า 10,000 หยวนอยู่ดี และยังไม่รู้ราคาขายที่แน่นอนเพราะราคาจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับทำเลที่ตั้งและช่วงเวลาที่มันถูกสร้างขึ้นมา
และสำหรับเรือนสี่ประสานแบบสองวงนั้น หลังจากที่เจ้าหน้าที่ที่สำนักงานจัดการที่อยู่อาศัยได้รับลูกอมจากเธอไปหนึ่งถุงแล้ว ถึงได้บอกกับเธอว่าราคาของมันอย่างต่ำอยู่ที่ราว ๆ 50,000 หยวน
หลินชิงเหอเองก็ไม่ได้โลภอยากได้สิ่งที่เกินตัว เธอไม่กล้าคิดไปถึงแบบสามวง สี่วงหรือกระทั่งห้าวงอย่างที่ท่านแม่เจี่ยในเรื่องความฝันในหอแดงอาศัยอยู่หรอก
แต่เธอยังพอจะตั้งเป้าไว้ที่แบบสองวงได้
ดังนั้นถึงแม้หลินชิงเหอจะมีเงินเก็บมากกว่า 70,000 หยวนแล้วก็ตาม เธอก็ยังไม่กล้าใช้เงินที่มีนี้อยู่ดี ถึงอย่างไรเรือนสี่ประสานก็ไม่ได้มีราคาที่ถูกเลย
อีกไม่กี่วันต่อมาพวกเขาก็มาถึงเทศบาลมณฑล หลังจากที่พักค้างคืนที่เทศบาลมณฑลอยู่หนึ่งคืน ทั้งคู่ก็ขึ้นรถเข้าไปในเมือง
พวกเขาจะแวะไปที่บ้านของโจวเสี่ยวเหมยและซูต้าหลินกันก่อน
ตอนนี้เป็นเดือนสิงหาคม ซึ่งซูต้าหลินได้ลาออกจากงานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ความจริงเรื่องการลาออกจากงานเพื่อไปตั้งตัวที่เมืองหลวงของเขานั้น คุณลุงและคุณป้าของเขาต่างก็ไม่เห็นด้วยเลย
แม้จะบอกพวกท่านไปแล้วว่าพวกเขาจะไปเปิดร้านซาลาเปาในเมืองหลวง ซึ่งไม่ว่าอย่างไรธุรกิจจะไม่แย่อย่างแน่นอน กระนั้นพวกท่านก็ยังไม่วางใจอยู่ดี เนื่องจากพวกเขาไม่เคยมีประสบการณ์ในการทำธุรกิจมาก่อน
ถ้าเขาไม่ต้องการทำงานที่ได้เงินเดือนสูงอย่างนี้อีกต่อไป แล้วเขาจะไปทำอะไรต่อได้อีก?
ผู้คนต่างพูดกันไปว่าโรงงานกำลังจะล้มละลาย แต่โรงงานที่ใหญ่โตขนาดนี้จะล้มละลายไปง่าย ๆ ได้อย่างไรกัน?
แต่ถึงอย่างไรซูต้าหลินก็ได้ตัดสินใจไปเรียบร้อยแล้ว
ซูต้าหลินเป็นคนแบบนี้ ไม่ว่าเขาจะตัดสินใจไม่ทำแบบนี้หรือไม่ก็ตาม แต่ถ้าเป็นเรื่องที่เขาตัดสินใจไปแล้วว่าจะทำ เขาก็จะไม่มีวันเปลี่ยนใจ
พวกเขาวางแผนกันไว้แล้วว่าจะเดินทางไปเมืองหลวงในเดือนนี้ ซึ่งตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้ว ข้าวของต่าง ๆ ได้ถูกบรรจุหีบห่อจัดเตรียมไว้เรียบร้อย
โจวเฉวี่ยนและโจวหยางได้ช่วยกันขนผ้านวมและของใช้จำพวกนี้ไปให้ตั้งแต่ครั้งก่อนแล้ว มีสัมภาระที่จะต้องเอาไปด้วยเยอะมากทีเดียว
ตอนนี้พวกเขาแค่กำลังรอเวลาเท่านั้น
เมื่อหลินชิงเหอและโจวชิงไป๋เดินทางมาถึงที่อำเภอก็ไม่ได้รีบไปหาซูต้าหลินและโจวเสี่ยวเหมยในทันที
พวกเขาเอาจักรยานออกมาจากมิติแล้วขี่ไปที่ร้านของน้องชายสามตระกูลหลิน
ร้านค้าของน้องชายสามตระกูลหลินได้เปิดอย่างเป็นทางการไปแล้วในปีนี้
ของที่เอามาขายล้วนแต่เป็นของที่ธรรมดามาก ๆ ในตอนที่พวกเขาไปถึงที่ร้านก็สังเกตเห็นว่าสินค้าภายในร้านได้ถูกขายไปจนหมดแล้ว มีแต่ขนไก่เท่านั้นที่ยังเหลืออยู่
สะใภ้สามตระกูลหลินและลูก ๆ เป็นคนเฝ้าร้านอยู่
สะใภ้สามตระกูลหลินชะงักงันไปชั่วขณะเมื่อได้เห็นหลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋มาถึง จากนั้นหล่อนก็รีบตะโกนเข้าไปทางด้านใน “พ่อต้ายา พี่สาวสามกับพี่เขยกลับมาหาแน่ะ”
จากนั้นไม่นานน้องชายสามตระกูลหลินก็เดินนัยน์ตาแดงก่ำออกมาจากด้านใน เห็นได้ชัดว่าเขากำลังนอนหลับอยู่
“ทำไมนายถึงดูหมดเรี่ยวแรงได้ขนาดนี้ล่ะ?” หลินชิงเหอตกใจเมื่อได้เห็นสภาพของน้องชายสามตระกูลหลิน
“ผมไม่ได้เหนื่อยอะไรครับ พี่ พี่เขยรีบนั่งลงเร็วเข้าครับ” น้องชายหยิบม้านั่งมาให้พวกเขาและหันไปบอกลูกสาวของเขาให้รินน้ำมาให้
“ไม่ต้องรินน้ำมาให้หรอกจ้ะ พวกเราเพิ่งดื่มน้ำกันมา จะมานั่งสักพักก็จะไปแล้ว แค่แวะมาหานายเท่านั้นละ” หลินชิงเหอกล่าว
เธอหยิบถุงลูกอมออกมาจากกระเป๋า 2 ถุงแล้วส่งไปให้น้องสะใภ้สามตระกูลหลินพร้อมบอกว่า “เอาให้พวกเด็ก ๆ”
“ไม่เห็นต้องเอามาให้เลยค่ะ” สะใภ้สามตระกูลหลินพูด
“ธุรกิจตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?” หลินชิงเหอไม่ได้เอ่ยอะไรกลับไป แต่หันไปถามน้องชายสามตระกูลหลินแทน
น้องชายสามตระกูลหลินตอบกลับด้วยรอยยิ้มกว้าง “พี่ครับ โชคดีจริง ๆ ที่ผมฟังคำพี่แล้วรวบรวมความกล้ามาเปิดร้านนี้”
เดิมทีภรรยาของเขาไม่ได้มาอยู่ที่นี่ด้วย แต่ธุรกิจที่ร้านไปได้ดีมากจริง ๆ โดยทั่วไปแล้วสินค้าที่เขาขนมาขายในตอนเช้าจะถูกขายหมดเกลี้ยงในช่วงเวลาอันสั้น
ของเหล่านี้ไม่ได้มีค่าอะไรในชนบท แตงกวา ต้นหอมและกะหล่ำจะมีค่าอะไรกันล่ะ? ของพวกนี้เพื่อนบ้านต่างก็มอบให้แก่กันเปล่า ๆ
แต่มันจะต่างออกไปเลยเมื่อเอาพวกมันเข้ามาขายในเมือง ต้นหอมทุก ๆ ต้นก็คือเงิน แน่นอนว่าคนอาจจะไม่ได้ใส่ใจอะไรกับมันมากนัก นั่นเป็นเพียงแค่สิ่งที่พูดกันเท่านั้น
แค่ผลไม้และผักต่าง ๆ หนึ่งคันรถ ซึ่งแม้กำไรที่ได้ในของแต่ละอย่างจะน้อยมาก แต่เมื่อนำมาทั้งหมดมารวมกันแล้วน้องชายสามตระกูลหลินสามารถทำเงินได้ถึงเกือบ 5 หยวนต่อหนึ่งคันรถ
สิ่งนี้บ่งบอกถึงอะไร?
มันหมายถึงว่าถ้าทำสิ่งนี้ไปสักหนึ่งเดือน พวกเขาจะสามารถหาเงินได้ราว ๆ 150 หยวนเลยทีเดียว
และนี่เป็นเพียงแค่ในช่วงเช้าเท่านั้นเอง แล้วถ้าเขาไปเก็บไข่แล้วเอามาขายในช่วงบ่ายด้วยละ?
คำนวณได้คร่าว ๆ ว่าในหนึ่งวันน่าจะมีรายได้อยู่ที่ 7 หยวนเป็นอย่างต่ำ ซึ่งเท่ากับว่าจะหาเงินได้มากถึง 200 หยวนต่อเดือนเลยทีเดียว!
ดังนั้นหลังจากการเก็บเกี่ยวในฤดูร้อนนี้เสร็จสิ้นลง สะใภ้สามตระกูลหลินจะไม่นั่งอยู่เฉย ๆ ที่บ้านอีกต่อไปแล้ว แต่ทั้งครอบครัวจะพากันย้ายเข้ามาอยู่ในเมือง
นี่นับว่าเป็นเรื่องสั่นสะเทือนของหมู่บ้านหลินเจี่ยเลยทีเดียว
บ้านสามแห่งตระกูลหลินที่จะย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองเพื่อทำธุรกิจจะต้องเจริญก้าวหน้าไปได้ไกลแน่
แต่ก็มีบางคนเช่นกันที่กล่าวถึงเรื่องนี้ไปในทางตรงกันข้ามว่า ไม่รู้จักอยู่ทำงานในทุ่งนาให้ดีแต่กลับไปวุ่นวายขายของ ถ้าเกิดเหตุถังแตกร้ายแรงขึ้นมาในอนาคต พวกเขายังจะได้รับผลดีอยู่อีกหรือ?
แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ธุรกิจของน้องชายตระกูลหลินก็เฟื่องฟูมาก
แต่มันก็เหนื่อยมากเช่นกัน
ในตอนเช้าเขาจะต้องขนสินค้าเข้ามาในเมือง จากนั้นในตอนบ่ายก็เดินทางไปอีกรอบเพื่อเอาไข่และไก่ตัวเป็น ๆ กลับมา บนถนนที่ระยะทางไกลขนาดนี้เมื่อต้องถีบจักรยานด้วยสองขาของตนเอง เขาจะไม่เหนื่อยล้าได้อย่างไรกัน?
แต่ไม่ว่าเขาจะเหนื่อยสักแค่ไหน น้องชายตระกูลหลินก็รู้สึกมีความสุขและเต็มไปด้วยพลัง
เขาหยิบเงินหลายร้อยหยวนที่เขาติดหนี้พี่สาวของตนออกมาเพื่อจ่ายคืน แล้วชายหนุ่มก็รู้สึกโล่งใจ
เขาไม่ใช่คนที่ชอบติดหนี้ใคร
“ปีนี้พี่ไปลองสอบถามมาให้นายแล้ว มอเตอร์ไซค์ที่นั่นราคาประมาณ 700 หยวน เมื่อถึงเวลาพี่จะซื้อมาให้นายคันหนึ่ง” หลินชิงเหอเอ่ยขึ้นมา
น้องชายสามตระกูลหลินมุมปากกระตุก “พี่ครับ มันจำเป็นด้วยหรือครับ?”
เงินมากถึง 700 หยวน นั่นมันเกือบจะเท่ากับราคาของร้านนี้เลยนะ
“นี่นายโง่หรือเปล่า? ถึงนายจะทำงานหนักจนเหลือแต่กระดูกแต่นายจะขนของกลับมาขายได้สักมากเท่าไหร่กันเชียวในหนึ่งวันถ้านายเอาแต่พึ่งกำลังขาของตัวเองเพียงอย่างเดียว? แต่ถ้านายซื้อมอเตอร์ไซค์มาใช้ ถึงตอนนั้นนายก็จะสามารถขนของได้มากขึ้น ของพวกนี้จะทำให้ได้เงินมาเพิ่มอีกตั้งเท่าไหร่? ไม่เพียงแต่ประหยัดแรงของตัวนายเอง แต่ยังช่วยให้นายหาเงินได้มากขึ้นด้วย ถึงแม้ว่ามันจะมีราคาสูงกว่า 700 หยวน แต่นายก็จะสามารถหาเงินคืนกลับมาได้โดยเร็วในเวลาเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้นละ” หลินชิงเหออธิบายให้ฟัง
……………………………………………………………………………