ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม – บทที่ 365 ญาติพี่น้อง

บทที่ 365 ญาติพี่น้อง

บทที่ 365 ญาติพี่น้อง

นี่เป็นอาหารเย็นวันสิ้นปีมื้อแรกของพวกเขาในเมืองหลวง

พวกเขาเปิดทีวีดูละครทีวีไปด้วย ในยุคนี้ยังไม่มีสิ่งที่เรียกว่าเทศกาลกาล่าฤดูใบไม้ผลิ ดูเหมือนว่าเทศกาลกาล่าฤดูใบไม้ผลิจะยังไม่จัดขึ้นจนกว่าจะถึงปี 1983

มันเพิ่งจะเป็นปี 1981 เท่านั้น

แม้จะไม่มีเทศกาลกาล่าฤดูใบไม้ผลิ แต่อาหารเย็นก็ยังนับว่าอุดมสมบูรณ์เหลือแสน ทั้งโต๊ะล้วนมีแต่อาหารนานาชนิดวางอยู่เต็ม

นอกจากอาหารจานเนื้อกับอาหารจานผักแล้วก็ยังมีเครื่องดื่มด้วย เป็นโซดารสสาลี่ยี่ห้อต้าไป๋(1) กับน้ำอัดลมยี่ห้อเอเชี่ยน(2) ทั้งสองอย่างต่างเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมในยุคนี้ และยังมีราคาแพงเสียด้วย

เมื่อหลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋พาเด็ก ๆ มา พวกเขาได้แวะซื้อมันระหว่างทาง

ในบ้านจึงมีครอบครัวของโจวเสี่ยวเหมย ครอบครัวของหลินชิงเหอ โจวเอ้อร์นีผู้เป็นหลานสาว และเฒ่าหวังที่ท่านพ่อโจวพามาจากมหาวิทยาลัยปักกิ่ง

พวกเขาจะไม่ให้เฒ่าหวังมาร่วมงานเลี้ยงอาหารเย็นวันสิ้นปีแบบนี้ได้อย่างไรล่ะ?

ดังนั้นทั้งครอบครัวจึงมารวมตัวกันกินอาหารเย็นวันสิ้นปีมื้อนี้อย่างอุ่นหนาฝาคั่ง

คนทั้งประเทศล้วนรวมตัวเป็นปึกแผ่น ต่อให้พวกเขาจะสามัคคีกลมเกลียวกันหรือไม่ ทุกคนต่างก็มานั่งกินอาหารเย็นในวันสิ้นปีด้วยกัน

อย่าว่าแต่หลินชิงเหอกับโจวเสี่ยวเหมยที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันเลย

“เอ้อร์นี วันนี้หนูโทรศัพท์ไปที่บ้านนี่ แม่หนูได้ว่าอะไรไหม?” โจวเสี่ยวเหมยถามขณะร่วมโต๊ะอาหารเย็น

วันนี้โจวเอ้อร์นีโทรศัพท์ไปหาที่บ้าน เธอโทรไปที่บ้านของเลขาธิการสาขาย่อยของหมู่บ้านแล้วพวกเขาก็ตามแม่ของหล่อนให้มารับโทรศัพท์

“ทุกอย่างปกติดีค่ะ พวกเขาฝากสวัสดีคุณปู่ด้วยนะคะ” โจวเอ้อร์นีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

หลินชิงเหอยิ้ม “แล้วผลผลิตปีนี้ที่บ้านเป็นอย่างไรบ้างล่ะ?”

“หนูได้ยินแม่พูดถึงนิดหน่อย แม่บอกว่าผลผลิตปีนี้ยอดเยี่ยมมากและทั้งหมู่บ้านก็เก็บเกี่ยวได้เยอะทีเดียวค่ะ” โจวเอ้อร์นีพยักหน้า

“ตอนนี้พวกเขาต้องทำงานด้วยตัวเองแล้ว ทุกคนต่างต้องขยันทำงาน อย่าหวังว่าจะได้ขี้เกียจลอยชายอย่างเมื่อก่อนเลย” ท่านแม่โจวพูด

ท่านแม่โจวเองก็มีนิสัยเสียอยู่บ้าง แต่ตอนที่นางยังทำงานให้กับฝ่ายผลิตนั้นนางเป็นคนขยันขันแข็ง หญิงชราจึงไม่ชอบใจนักที่เห็นใครสักคนทำตัวเกียจคร้าน

พวกเขาพุ่งตัวไปข้างหน้าเมื่อเห็นว่าเป็นของกิน แต่กลับชะงักเท้าไว้เมื่อเห็นว่าต้องทำงาน ตอนนี้มันก็เป็นแบบนี้ เมื่อมีระบบสัญญางานแบบแยกครัวเรือนเข้ามา ทุกคนต่างก็มีความรับผิดชอบในที่ดินของตัวเอง ไม่ได้ทำงานรวมกันเป็นกลุ่มอีก หากพวกเขาไม่ทำงานแล้วจะเอาอะไรกิน? มันไม่มีอาหารร่วงลงมาจากท้องฟ้าหรอกนะ

หลังเสียภาษีจำนวนหนึ่งให้ประเทศแล้ว รายได้ส่วนที่เหลือก็จะเป็นของพวกเขา เป็นแบบนี้ทุกคนย่อมทำงานด้วยความเต็มใจ

ท่านแม่โจวรู้สึกว่านโยบายใหม่นี้นับว่าดียิ่ง ดูยอดเยี่ยมเสียด้วยซ้ำ

ท่านพ่อโจว เฒ่าหวัง ซูต้าหลิน และโจวชิงไป๋ต่างกินและดื่มกัน ส่วนท่านแม่โจวก็เอ่ยขึ้นมา “ฉันล่ะอยากรู้จริงว่าครอบครัวอาสามเป็นอย่างไรบ้าง”

“พี่สามทำธุรกิจในเมืองแล้วค่ะ พวกเขาคงจะทำได้ไม่เลวนัก” โจวเสี่ยวเหมยเอ่ย

หล่อนรู้สึกว่าพี่ชายสามกับพี่สะใภ้สามเป็นคนขยันขันแข็ง แน่นอนว่าพวกเขาต้องทำได้ไม่เลว หากมีการจัดการดี ๆ ธุรกิจนี้ก็จะทำกำไรได้อย่างมาก

“ตอนนี้พี่สามกับพี่สะใภ้สามของแกอยู่ที่บ้านเก่าของแกอยู่ แต่ภายหลังพวกเขาต้องออกไปหาที่อยู่ใหม่กันเองแล้วนะ” ท่านแม่โจวเอ่ย

บ้านนั้นเป็นของลูกเขยนาง ในเมื่อพวกเขายังไม่กลับไปอยู่ ครอบครัวพี่สามก็สามารถอยู่อาศัยได้ หากพวกเขาต้องอยู่เป็นเวลานานเรื่องนี้คงจะไม่ได้

“จะต้องรีบร้อนอะไรกันคะ? ให้พี่สามอยู่ที่นั่นเถอะ เราไม่มีเวลากลับไปที่นั่นในระยะเวลาสั้น ๆ นี้หรอกค่ะ” โจวเสี่ยวเหมยเอ่ยอย่างไม่ทุกข์ร้อน

พวกเขาฝากกุญแจไว้กับคุณลุงของต้าหลิน พี่ชายสามจึงต้องไปรับมันที่นั่น

หลินชิงเหอไม่เอ่ยอะไรในเรื่องนี้ เธอฟังโจวเสี่ยวเหมยที่กำลังพูดว่า “แม่คะ แม่พูดถึงพี่ใหญ่กับพี่สามแล้ว แต่แม่ยังไม่พูดถึงพี่รองเลยนะคะ”

ท่านแม่โจวไม่ได้มีท่าทางโกรธเคืองแต่อย่างใด นางตอบลูกสาวไปว่า “ทำไมฉันต้องพูดถึงพี่รองของแกด้วย? ในเมื่อพี่สะใภ้รองของแกคิดการใหญ่โตแบบนั้นแล้ว ฉันก็คร้านที่จะสนใจ”

ความจริงแล้วนางไม่มีปัญหาเลยถ้าสะใภ้ทั้งหลายจะมีความคิดเป็นของตัวเอง สะใภ้สี่มักมีความคิดเป็นของตัวเองเสมอ แต่จะคิดการใหญ่ได้หรือไม่ คน ๆ นั้นต้องมีความสามารถนั้นด้วย

ถ้าคน ๆ นั้นไม่มีความสามารถแต่ยังคิดการใหญ่โตอยู่ เช่นนั้นไม่ใช่เป็นการก่อเรื่องวุ่นวายหรือ?

แน่นอนว่านี่เป็นสิ่งที่พูดกัน สะใภ้รองไม่ได้ก่อเรื่องวุ่นวายแต่อย่างใด

แต่ในเมื่อพวกเขาอายุมากขึ้นและหล่อนเองก็ไม่อยากได้ยินนางพูดอะไร งั้นนางก็ไม่พูด

โดยเฉพาะคราวที่แล้วที่ลิ่วนีถูกส่งกลับไป แทนที่สะใภ้รองจะทักทายนาง หล่อนกลับเย็นชาใส่นางนับแต่บัดนั้น

หล่อนคิดว่าท่านแม่โจวไม่รู้เรื่องนี้จึงไปเที่ยวโพนทะนากับคนอื่นว่าท่านแม่โจวมีความลำเอียงต่อหล่อน

“แม่ของหนูบอกว่าช่วงที่กำลังยุ่งในปีหน้า ครอบครัวเราอาจจะสร้างบ้านอิฐน่ะค่ะ” โจวเอ้อร์นีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“เยี่ยมไปเลยจ้ะ” หลินชิงเหอพยักหน้าหลังได้ยินดังนี้

ทางฝั่งบ้านตระกูลโจว การมีสะใภ้รองอยู่ในบ้านเป็นเรื่องที่น่ารำคาญมาก จากคำพูดของสะใภ้สาม หล่อนบอกว่าถ้าใครได้กินอะไรดี ๆ พวกเขาก็จะต้องกินแบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ ไม่อย่างนั้นก็ต้องทนฟังคำพูดไม่รื่นหูของสะใภ้รองที่หาว่ามีแล้วไม่แบ่งกันบ้าง

อย่างเช่น ‘ครอบครัวเรายากจน เทียบไม่ได้กับครอบครัวคนอื่นเขา ซื้อหมั่นโถวขาวกับเกี๊ยวกินไม่ได้หรอก’

ซึ่งคำพูดเหล่านี้สะใภ้สามได้ยินจนเหม็นเบื่อ หลินชิงเหอจึงเดาว่าเหตุผลนี้เองที่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้พี่ชายสามมีความกล้าจะทำธุรกิจในเมือง

พวกเขาไม่อยากอยู่ร่วมชายคาเดียวกันอีกต่อไปแล้วจริง ๆ

“จากเงินเดือนที่หนูส่งกลับไปรวมกับรายได้ที่พวกเขามี พี่ชายใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่ก็สร้างบ้านใหม่ได้นะ เพราะทุกคนต่างขยันทำงานกัน” โจวเสี่ยวเหมยพยักหน้าเช่นกัน

“สร้างบ้านใหม่สักหลังคงต้องใช้เงินเยอะมากทีเดียว” ท่านแม่โจวแสดงความเห็น

“ปีหน้าฉันจะขึ้นเงินเดือนเป็น 40 หยวนต่อเดือนแล้วค่ะ เอ้อร์นีเป็นคนประหยัด นอกจากอุปกรณ์การเรียนแล้วหล่อนก็ส่งเงินที่เหลือกลับบ้านหมด แล้วก็ยังมีเงินจากพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่ด้วย ดังนั้นไม่ต้องกังวลมากนะคะ” หลินชิงเหอพูด

พี่ชายใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่จะไม่มีเงินเก็บได้อย่างไร? แถมยังมีเงินเดือนของโจวเอ้อร์นีอีก ต่อให้พวกเขาต้องเลี้ยงโจวหยางลูกชายคนโตและจ่ายค่าเล่าเรียนให้เขา แรงกดดันก็มีไม่มากนัก เขาจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยในปีหน้า ทันทีที่เข้ามหาวิทยาลัย เขาก็จะได้รับทุนการศึกษาแล้ว

“สร้างบ้านหลังหนึ่งต้องใช้เงินเท่าไหร่คะ?” โจวเสี่ยวเหมยถาม

“ถ้าเป็นบ้านอิฐก็อยู่ที่ 700 หรือ 800 หยวนนี่ล่ะ” ท่านแม่โจวตอบ

แน่นอนว่าราคานี้เป็นราคาตั้งต้นสำหรับบ้านที่ไม่ใหญ่มาก หากเป็นบ้านหลังใหญ่อีกหน่อย ราคาเริ่มต้นจะอยู่ที่ 1,000 หยวน

“ถ้าพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่ขาดเงินในตอนนั้น พวกเขาก็คงจะเอ่ยปากขอเองล่ะค่ะ หากเป็นไปได้ ฉันจะให้พวกเขายืมไว้เผื่อฉุกเฉินนะคะ” หลินชิงเหอเอ่ย

ท่านแม่โจวรีบเอ่ยขึ้นมา “ช่างเถอะ ครอบครัวเราแยกกันอยู่แล้ว แต่ละคนมีเส้นทางเป็นของตัวเอง ใครมีเงินเท่าไหร่ก็ขึ้นกับว่าพวกเขาทำอะไรได้บ้าง ถ้ามียืมเงินสักคน เดี๋ยวคนอื่น ๆ ก็จะยืมตามกันหมด”

“พี่สะใภ้สามกับพี่สามเข้าไปอยู่ในเมืองแล้ว อนาคตพวกเขาคงไม่ยืมเงินจากฉันหรอกค่ะ” หลินชิงเหอเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“มันก็ยังเป็นการยืมกันอยู่ดีนั่นและ ไม่มีเงินที่เธอให้อาหนึ่งไว้แล้ว พวกเขาจะไปหาเงินจากไหนมาซื้อร้านในเมืองเพื่อทำธุรกิจกัน” ท่านแม่โจวชี้แจง

นางรู้สึกพอใจในตัวสะใภ้สี่มาก จนเปิดใจให้เธอเป็นพิเศษ

หลินชิงเหอยิ้ม

จากนั้นพวกหล่อนก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปพูดถึงน้องชายสามตระกูลหลินแทน

ท่านแม่โจวมีความประทับใจต่อน้องชายสามตระกูลหลินเป็นพิเศษ “อนาคตน้าเจ้าใหญ่จะต้องก้าวหน้าแน่นอน เขาเป็นคนดี ทุกคนทั้งในและนอกหมู่บ้านล้วนชอบซื้อขายของกับเขา”

หลินชิงเหอยิ้มกริ่มเมื่อน้องชายสามตระกูลหลินเป็นที่กล่าวถึง แน่นอนว่าน้องชายของเธอไม่ใช่คนที่จะทะเลาะกับใคร เขามักจะสร้างความเบิกบานใจให้กับทุกคน

ยิ่งกว่านั้นเขายังมีจิตใจดี เธอจึงรักน้องชายคนนี้

แต่เธอย่อมทนไม่ได้ที่จะเห็นเขาใช้สองขาปั่นจักรยานไปชั่วชีวิต

การซื้อมอเตอร์ไซค์จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

Status: Ongoing

<strong>*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน</strong>

<strong>จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 …</strong>

<strong>ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย</strong>

<strong>ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…</strong>

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท