ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม – บทที่ 377 ส่งเสริมคนของตัวเอง

บทที่ 377 ส่งเสริมคนของตัวเอง

บทที่ 377 ส่งเสริมคนของตัวเอง

เมื่อไม่สามารถระบายให้เฒ่าจูฟังได้ แม่เฒ่าจูจึงมาหาเพื่อนบ้านเก่าแก่อย่างแม่เฒ่าหู

หลังจากที่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเช้านี้จบ แม่เฒ่าหูก็เหลือบมองนางแล้วเอ่ยว่า “ปีนี้เธอไม่ได้ปลูกอะไรไว้เองเลยเหรอ”

“ก็ปีนี้ฉันรู้สึกขี้เกียจขึ้นมาไม่ได้หรือ?” แม่เฒ่าจูพูด “หล่อนปลูกผักผลไม้ไว้ที่บ้านตั้งเยอะแยะจนกินไม่หมด พวกเราต่างก็เป็นเพื่อนบ้านกัน ฉันขอแบ่งมาบ้างก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลย แต่หล่อนกลับไม่ยอมแบ่งให้เลยสักนิดจริง ๆ”

ปีนี้นางคิดว่าทั้งสองครอบครัวจะได้เกี่ยวดองกัน ต่อไปในอนาคต อย่าว่าแต่แตงกวา กะหล่ำและมะเขือเทศเลย แม้แต่ไข่นางก็สามารถเอ่ยปากขอจากท่านแม่โจวได้ ท่านแม่โจวเลี้ยงไก่ไว้หลายตัว ซึ่งก็ออกไข่อย่างสม่ำเสมอมาก

นางมักจะได้ยินเสียงไก่ร้องตอนออกไข่เป็นครั้งคราว

ใครจะไปคิดว่าครอบครัวที่ทำอาชีพอิสระอย่างครอบครัวตระกูลโจวจะกล้าปฏิเสธหลานสาวของนาง

ทุกวันนี้แม้แต่แตงกวาและมะเขือเทศนิด ๆ หน่อย ๆ ก็ให้นางไม่ได้

แม่เฒ่าหูไม่อยากจะคุยกับแม่เฒ่าจูต่อ พวกนางเป็นเพื่อนบ้านกันมาหลายปี จะไม่รู้นิสัยของกันและกันได้อย่างไร?

แม่เฒ่าหูแค่ไม่ได้พูดออกมาเท่านั้น หลานสาวของแม่เฒ่าจูที่เป็นแบบนี้ ก็มีแต่แม่เฒ่าจูเท่านั้นแหละที่คิดว่าหล่อนดีราวกับนางฟ้า สำหรับแม่เฒ่าหูแล้ว หล่อนไม่คู่ควรกับหลานชายร่างสูงบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยปักกิ่งเอาเสียเลย

แม้ว่าท่านแม่โจวจะไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้นางฟัง แต่พวกนางต่างก็เป็นเพื่อนบ้านกัน แล้วจะไม่รู้เรื่องได้อย่างไร?

โดยเฉพาะเมื่อจูเจินเจินมาที่นี่ทุกวันเพื่อรอเจอหลานชายของท่านแม่โจว

“ที่สวนฉันยังพอมีอยู่บ้าง ถ้าเธออยากได้ก็ตามเข้ามาเอาสิ” แม่เฒ่าหูบอก

แค่แตงกวาไม่กี่ลูก ไม่ได้มีค่ามากมายขนาดนั้นหรอก

บ้านของทั้งคู่ต่างก็มีสวน เพียงแต่มีพื้นที่เล็กกว่าของบ้านท่านแม่โจวนิดหน่อย นั่นคือเหตุผลว่าทำไมพวกหล่อนถึงไม่ได้เลี้ยงไก่หรือทำอย่างอื่นอีก นอกจากปลูกแตงกวากับบางอย่างเอาไว้กินเองภายในบ้านเท่านั้น

แม่เฒ่าจูเดินเข้าไปเด็ดแตงกวา 7-8 ลูกแล้วแยกจากไป

แม่เฒ่าหูไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก แต่แล้วหลังจากนั้น เมื่อนางสังเกตเห็นว่าแตงกวา 3 ลูกที่ยังโตไม่เต็มที่ได้ถูกเด็ดไปด้วยและไม่มีแตงกวาเหลือไว้อีกเลยสักลูกเดียว นางก็อดก่นด่าออกมาไม่ได้

แม่เฒ่าหูจึงต้องมาขอจากท่านแม่โจว ถึงแม้ท่านแม่โจวไม่คิดจะติดต่อกับแม่เฒ่าจูก็จริง แต่นางก็ยังรักษามารยาทกับแม่เฒ่าหูอยู่

นางฟังแม่เฒ่าหูบ่น “ที่จริงที่สวนฉันก็ปลูกเอาไว้นะ แต่บ้านที่อยู่ติดกันมาบอกว่าหล่อนไม่มี ฉันก็เลยให้หล่อนเข้ามาเก็บที่สวนของฉัน ไม่คิดเลยว่าหล่อนจะเอาไปจนไม่เหลือไว้ให้ฉันสักลูก เด็ดเอาไปทั้งหมดเลย”

ตอนนี้ท่านแม่โจวไม่เหลือความรู้สึกดี ๆ ให้กับแม่เฒ่าจูอีกแล้ว นางไม่ได้แสดงความเห็นอะไรออกมา แค่บอกว่า “ฉันเพิ่งไปเก็บมา แบ่งเอาไปสิ”

แม่เฒ่าหูหยิบมา 4 ลูกสำหรับแค่พอรับประทาน

ตอนเย็นหลังจากเลิกงานแล้วสวี่เชิ่งเหม่ยก็มาที่นี่ ตอนนี้หล่อนมักจะมากินอาหารเย็นและค้างคืนที่นี่ด้วย ซึ่งโจวเอ้อร์นีอยู่ที่ร้านเกี๊ยวเพียงคนเดียว

“เสี่ยวเหม่ยมาแล้วเหรอ?” แม่เฒ่าหูยิ้มอย่างยินดีที่ได้เจอหล่อน

“ค่ะ คุณยายหูกินอะไรหรือยังคะ?” สวี่เชิ่งเหม่ยทักทายอย่างสุภาพ

“กินแล้วละจ้ะ” แม่เฒ่าหูตอบพลางมองไปรอบ ๆ พอแน่ใจว่าไม่มีใคร หล่อนก็ยื่นไข่ต้มมาให้พร้อมกับกระซิบว่า “เก็บไว้กินนะ”

“คุณยายหู ทำอย่างนี้ไม่ได้หรอกค่ะ รีบเอาคืนไปเร็ว เก็บไว้กินเองเถอะนะคะ” สวี่เชิ่งเหม่ยปฏิเสธ

อาหารการกินของหล่อนอุดมสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นทางบ้านคุณน้าสี่หรือทางบ้านคุณยาย ไข่ไม่ใช่ของหายาก

แต่ใครบ้างจะไม่ชอบของฟรี?

“เด็กน้อย แค่ไข่เท่านั้นเอง ไม่ได้มีค่าอะไร ครั้งก่อนเธอก็ช่วยกวาดพื้นให้ฉัน” แม่เฒ่าหูยืนกรานพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นหล่อนก็ยัดเยียดไข่ให้พลางกระซิบ “แอบกินนะ อย่าให้คุณยายเธอเห็นล่ะ”

“คุณยายหูคะ ทำแบบนี้ไม่เหมาะนะคะ” สวี่เชิ่งเหม่ยพูด

“วันพรุ่งนี้ตอนช่วงเวลานี้ ยายจะทำรองเท้าสักคู่ ฝีมือเย็บปักถักร้อยของเธอเป็นยังไงบ้าง? พอจะมาช่วยฉันทำหน่อยได้ไหม?” แม่เฒ่าหูถาม

“งานฝีมือของหนูก็พอใช้ได้ค่ะ ถ้าคุณยายหูไม่รังเกียจ พรุ่งนี้หนูจะไปช่วยทำให้นะคะ” สวี่เชิ่งเหม่ยยิ้มหวาน

“ตกลงจ้ะ” แม่เฒ่าหูพยักหน้า

สวี่เชิ่งเหม่ยรับไข่มาแล้วขอตัวจากไป แม่เฒ่าหูอารมณ์ดีมาก วันพรุ่งนี้หลานชายของนางจะมาหา ได้เวลาให้เขาได้เจอแล้ว

วันรุ่งขึ้น สวี่เชิ่งเหม่ยมาช่วยตามที่บอกเอาไว้ ทันทีที่หล่อนเดินเข้าไปก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งสวมรองเท้าหนังกำลังหวีผมอยู่…

หลินชิงเหอไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นเหล่านี้เลย สวี่เชิ่งเหม่ยชอบไปที่บ้านคุณยาย เธอก็ไม่เคยห้ามปราม ก็มันไม่ได้มีอะไรนี่

ช่วงนี้เธอกำลังวางแผนว่าเธอควรจะจ้างคนมาดูร้านเสื้อผ้าผู้ชายหรือไม่ เพื่อที่หู่จือจะได้เป็นอิสระแล้วสามารถไปตั้งร้านแผงลอยของตัวเองได้

เธอไม่คิดจะให้หู่จือต้องเป็นคนดูแลร้านไปตลอดชีวิต สำหรับเด็กหนุ่มอย่างเขา เธออยากจะให้โอกาสได้ออกไปเห็นโลกกว้างเพื่อเรียนรู้

คืนนั้นครอบครัวกำลังดูทีวีกันอยู่ หลินชิงเหอก็ถามหู่จือขึ้น “หู่จือ น้องชายของเธอชื่อกังจือใช่ไหม?”

“อ๊า? ใช่ครับ” หู่จือตัวแข็งพร้อมกับพยักหน้ารับ

“ตอนนี้กังจือทำอะไรอยู่?” หลินชิงเหอถาม

“ช่วยงานในทุ่งนาครับ” หู่จือตอบ ถึงแม้เขาจะไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ดี ๆ คุณน้าสะใภ้ถึงได้ถามเรื่องนี้ขึ้นมา แต่เขาก็พอจะเดาเรื่องได้ราง ๆ เขาอดไม่ได้ที่จะมองไปที่คุณน้าสะใภ้

หลินชิงเหอหัวเราะพลางพูดว่า “เธอก็รู้นิสัยของน้าดี ถ้าน้าเห็นว่าใครไม่เหมาะ น้าจะไล่กลับไปทันที ไม่มีเหตุผลทางด้านมนุษย์สัมพันธ์จะให้ด้วย ฉะนั้น หู่จือ เธอบอกน้ามาตามตรง กังจือเป็นคนยังไง? เขาเหมาะที่จะมาที่นี่เพื่อดูแลร้านหรือเปล่า? ถ้าไม่เหมาะ ก็อย่าไปทำให้ผู้อื่นมีความหวังตั้งแต่แรก”

“น้าสะใภ้ครับ เขาทำได้ครับ!” เมื่อหู่จือได้ยินว่าหลินชิงเหอต้องการตัวน้องชาย เขาก็รีบพูดขึ้นมาทันที เขาอดรู้สึกตื้นเต้นขึ้นมาไม่ได้ ตอนที่เขากลับไปช่วงปีใหม่ น้องชายของเขาอยากตามเขากลับมาด้วย

แต่แม่ของพวกเขาไม่อนุญาต บอกว่าเขาได้มาอยู่ที่นี่แล้ว ดังนั้นน้องชายไม่ควรจะมาสร้างภาระให้อีก ทั้งที่ความจริงแล้วถ้าที่นี่ขาดแรงงาน เขาก็รู้สึกว่าน้องชายของเขาสามารถทำงานให้ได้

“ปีนี้กังจืออายุ 16 แล้วครับ เขาเป็นคนฉลาด ไม่เคยขโมยหรือขี้เกียจเลย ถ้าเขาเป็นอย่างนั้น น้าสะใภ้ก็ส่งเขากลับไปได้ทันทีโดยไม่ต้องลังเลใจอะไรเลยครับ” หู่จือกล่าว

“ปีนี้สวี่เชิ่งเฉียงญาติผู้น้องของเธอก็อยากจะตามพี่สาวของเขามา แต่น้าไม่อนุญาต ตอนนี้น้าจะให้กังจือมาที่นี่ ป้าใหญ่ของเธอคงจะต้องคัดค้านแน่” หลินชิงเหอบอก

หู่จือชะงักไป เขาไม่เคยรู้ว่ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น

“แต่น้ารับมือด้วยวิธีนี้มาโดยตลอด เต็มใจจะส่งเสริมคนของตัวเองก็จริง แต่ก็ต้องเป็นคนที่เหมาะสมด้วย ดังนั้นน้าต้องพูดกับเธอให้ชัดเจน ภายหลังจะได้ไม่มาพูดว่าน้าเห็นแก่คนอื่น เมื่อกังจือมาที่นี่แล้วน้าไม่พอใจ น้าก็จะส่งเขากลับไป” หลินชิงเหอมองหน้าเขาพร้อมกับย้ำเตือน

“น้าสะใภ้ไม่ต้องเป็นห่วงครับ ผมจะสอนเขาเอง เขาจะได้รู้ว่าควรทำตัวยังไง!” หู่จือรีบพยักหน้ารับรอง

“งั้นก็ตกลงตามนี้ หยางหยางกับอู่นีใกล้จะสอบเสร็จแล้ว เมื่อถึงตอนนั้นพวกเขาจะมาที่นี่ น้าจะโทรศัพท์ไปบอกน้าสะใภ้ใหญ่ของเธอให้น้าใหญ่ไปคุยกับกังจือ” หลินชิงเหอกล่าว

หู่จือยิ้มออกมาอย่างสดใส

…………………………………………………………………………….

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

Status: Ongoing

<strong>*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน</strong>

<strong>จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 …</strong>

<strong>ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย</strong>

<strong>ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…</strong>

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท