บทที่ 385 ความเป็นจริง
สะใภ้ทั้ง 2 คนออกมาจากห้องหลังจากที่คุยกันจบแล้ว หลินชิงเหอหยิบนาฬิกาของผู้หญิงออกมาจากกระเป๋าผ้าแล้วพูดว่า “ฉันเตรียมนาฬิกาเรือนนี้มาให้อู่นีด้วยค่ะ หล่อนกำลังจะเข้าไปเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว ต้องมีนาฬิกาไว้ใช้”
“นี่…รับไว้ไม่ได้หรอกจ้ะ” สะใภ้สามเอ่ยขึ้นอย่างกระดาก
หล่อนซื้อนาฬิกาเรือนหนึ่งในราคาที่แพงกว่า 100 หยวนมาให้พี่ชายสาม เรื่องนี้ทำให้หล่อนรู้สึกปวดใจไปพักใหญ่ทีเดียว
แต่กระนั้นก็ไม่มีทางอื่น เขาจำเป็นต้องมีนาฬิกาไว้สำหรับดูเวลา
เมื่อเทียบกันแล้ว น้องชายสามตระกูลหลินและน้องสะใภ้ตระกูลหลินใช้เงินอย่างกระเหม็ดกระแหม่กว่ามาก พวกเขาเริ่มทำร้านก่อนพี่ชายสามเสียอีก ถ้าเธอที่เป็นพี่สาวไม่ได้ซื้อนาฬิกามาให้ เขาก็คงยังลังเลที่จะซื้อมันมาใช้เองเป็นแน่
นาฬิการาคามากกว่า 100 หยวนถือว่าเป็นของที่แพงมาก
“หยางหยางกับอู่นีได้กันคนละเรือนค่ะ ถือว่าเป็นของขวัญสำหรับพวกเขาที่ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย” หลินชิงเหอคะยั้นคะยอ
หลินชิงเหอและโจวชิงไป๋ต้องการจะกลับไปที่บ้านเก่าของพวกเขา ในเมื่อธุรกิจของพี่ชายสามที่นี่กำลังไปได้สวย เช่นนั้นไม่มีอะไรให้ต้องเป็นกังวลอีก
เมื่อไม่ค่อยมีโอกาสได้กลับมา พวกเขาจึงต้องการกลับไปดูบ้านของตนที่หมู่บ้าน ในตอนที่กลับไปถึงปักกิ่งแล้ว ถ้าท่านแม่โจวถามขึ้นมาจะได้ตอบคำถามได้
“จะทำอย่างนั้นได้ยังไง? เธอต้องอยู่กินข้าวเย็นด้วยกันที่นี่ก่อน กินเสร็จแล้วค่อยกลับไปก็ยังไม่สาย” สะใภ้สามรีบพูด
“พอเรากลับไปถึงบ้าน สะใภ้ใหญ่จะปล่อยให้พวกเราต้องหิวได้หรือคะ?” หลินชิงเหอบอกยิ้ม ๆ
“ไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละจ้ะ ครั้งนี้เธอกลับมาแล้วไม่อยู่กินข้าวที่บ้านเราจะได้ยังไงกัน?” สะใภ้สามไม่ยอม
“ตอนเย็นกินให้เร็วขึ้นมาหน่อย อิ่มแล้วค่อยกลับไปสิ” พี่ชายสามเอ่ยสนับสนุน
คงจะไม่ดีถ้าไม่ตอบรับคำเชื้อเชิญของทั้ง 2 คน ดังนั้นพวกเขาจึงอยู่รับประทานอาหารเย็นกับพี่ชายสามและสะใภ้สาม
หลังอาหารเย็นเพิ่งเป็นเวลา 5 โมงเย็นเท่านั้น น้องชายสามตระกูลหลินก็ขี่มอเตอร์ไซค์มาให้พี่เขยของเขาใช้ขี่พาพี่สาวกลับบ้าน พรุ่งนี้เขาจะใช้จักรยานขนของต่อไปก่อน
หลินชิงเหอจึงไม่เกรงใจ ดังนั้นโจวชิงไป๋เลยขี่มอเตอร์ไซค์พาเธอกลับหมู่บ้าน
พี่ชายสามอดอิจฉาขึ้นมาไม่ได้ แสดงความเห็นออกมาว่า “มอเตอร์ไซค์คันนี้เร็วดีจริง และช่วยประหยัดแรงไปได้มากเลย”
“ฉันได้ยินชิงเหอบอกว่าคันหนึ่งราคามากกว่า 700 หยวนแน่ะค่ะ แพงมากจริง ๆ” สะใภ้สามบอก
“มากกว่า 700 หยวน?” พี่ชายสามอุทานเสียงจิ๊จ๊ะออกมา
ตอนนี้เขาอาจจะทำเสียงขัดใจอย่างนี้ออกมา แต่รอจนกระทั่งเขาได้เห็นน้องชายสามตระกูลหลินเปลี่ยนจากจักรยานเป็นมอเตอร์ไซค์ที่ขนของมากมายไปกลับได้อย่างรวดเร็วราวกับสายลมเสียก่อนเถอะ ตอนนั้นเขาจะรู้สึกว่าชีวิตของตนเองช่างยากลำบากนัก
เมื่อโจวชิงไป๋และหลินชิงเหอกลับมาถึงหมู่บ้าน สะใภ้ใหญ่กับพี่ชายใหญ่ก็เสร็จงานแล้ว และกำลังกินข้าวกันอยู่ที่บ้าน
โจวชิงไป๋ขี่มอเตอร์ไซค์ตรงกลับไปที่บ้านครอบครัวโจว
มอเตอร์ไซค์คันนี้เป็นของหายาก จึงเป็นเรื่องเกรียวกราวกันไปทั้งหมู่บ้าน ตอนนี้เป็นช่วงเวลาอาหารเย็นในชนบท ทุกคนต่างมาที่บ้านครอบครัวโจวพร้อมกับถ้วยข้าวในมือ
หลินชิงเหอไม่เคยต้องการยุ่งเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้ จึงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของโจวชิงไป๋จัดการต่อ ส่วนตัวเธอเดินเข้าไปในลานบ้านกับสะใภ้ใหญ่
อันดับแรก เธอหยิบลูกอมกับขนมออกมาจากถุงผ้าแล้วส่งให้พวกเด็ก ๆ ของบ้านสายหลักและบ้านสายรองเอาไปแบ่งกัน จากนั้นจึงเข้าไปในบ้านพร้อมกับสะใภ้ใหญ่
สะใภ้รองชำเลืองดูของที่พวกเด็ก ๆ นำกลับมา แต่ไม่ได้พูดอะไร
โจวลิ่วนีเคี้ยวลูกอมอยู่ในปากพลางพูดขึ้นว่า “ทุกปี มีแค่ลูกอม 2 ถุงกับขนมอีกกล่อง ตอนนี้หล่อนหาเงินมาได้ตั้งเยอะ ยังให้ของเราแค่นี้เอง ขี้เหนียวจริง ๆ เลย”
โจวซานนีตวัดตามองไปที่หล่อน ก่อนที่จะก้มหน้ากินข้าวต่อ ปกปิดสายตาที่แสดงความรังเกียจของตนเอาไว้
หลินชิงเหอไม่ได้ใส่ใจกับบ้านสายรองเลย
หล่อนเข้าไปในห้องเพื่อคุยกับสะใภ้ใหญ่
ตอนนี้ที่หมู่บ้านมีไฟฟ้าใช้แล้ว ทุกบ้านต่างก็มีหลอดไฟส่องสว่าง
“พี่ได้ยินหยางหยางบอกว่าเธอกับอาสี่ของเขาเดินทางไปตอนใต้กันอีกแล้ว ก็เลยรู้เลยว่าเธอจะต้องกลับมาที่นี่” สะใภ้ใหญ่พูดอย่างรื่นเริง
“ก่อนจะสิ้นสุดช่วงวันหยุด ฉันต้องกลับมาค่ะ ตลอดทั้งปีเราสามารถเดินทางกลับมาได้ก็แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น” หลินชิงเหอกล่าว
“นั่งลงก่อน พี่จะไปทำบะหมี่มาให้” สะใภ้ใหญ่เอ่ย
“ไม่ต้องลำบากหรอกค่ะ ก่อนกลับมาที่นี่เรากินข้าวที่บ้านพี่สะใภ้สามกันมาแล้ว” หลินชิงเหอยิ้ม
“ในเมื่อเธอกลับมา ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องไปกินทางนั้นเลย ทางพี่ฆ่าไก่ไว้เลี้ยงต้อนรับเธอ 2 คนเอง” สะใภ้ใหญ่บอก
“พี่สะใภ้สามยืนกรานจะให้กินทางนั้นให้ได้น่ะค่ะ ไม่อย่างนั้นชิงไป๋กับฉันคงจะกลับมากินอาหารของพี่สะใภ้ใหญ่คืนนี้ไปแล้ว” หลินชิงเหอพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
ครั้นแล้วเธอก็คุยกับสะใภ้ใหญ่ถึงเรื่องโจวเอ้อร์นี “พี่สะใภ้ใหญ่ ไม่ต้องเป็นห่วงเอ้อร์นีนะคะ หล่อนมีรากฐานที่ดีแล้ว ต่อไปในอนาคตจะไม่ลำบากอย่างแน่นอนค่ะ”
สะใภ้ใหญ่ยิ้มกว้างแล้วกล่าวว่า “เป็นเพราะได้เธอคอยช่วยแนะนำสั่งสอน ถ้าเป็นเพราะพี่ หล่อนคงจะมีลูกไปแล้วตอนนี้”
ถ้าหล่อนไม่ได้ไปปักกิ่งกับหลินชิงเหอคุณอาสะใภ้สี่ของหล่อนแล้ว โจวเอ้อร์นีน่าจะได้แต่งงานไปแล้วในตอนนี้
“ฉันได้ยินพี่สะใภ้สามบอกว่าซานนีได้หมั้นหมายไปแล้วหรือคะ?” หลินชิงเหอเอ่ยขึ้น
“หล่อนหมั้นแล้วจ้ะ ไม่เลวเลย” สะใภ้ใหญ่ตอบ
“ได้ยินว่าเขาอายุมากกว่าถึง 10 ปี ขาพิการด้วยนิดหน่อย แล้วยังเป็นคนอารมณ์ร้อนด้วยไม่ใช่เหรอคะ?” หลินชิงเหอขมวดคิ้ว
“ก็เป็นความจริงทั้งหมดนั่นละ แต่ว่าเขาห่วงใยซานนีมาก” สะใภ้ใหญ่พูด
พอเห็นท่าทางของหลินชิงเหอว่าไม่พอใจ หล่อนก็ถอนใจ “เธอไม่รู้เรื่องอะไร การแต่งงานครั้งนี้ตกลงกันไปเรียบร้อยแล้ว ถึงอย่างนั้นก็ตาม พูดได้ว่ามันไม่ได้เป็นการแต่งที่แย่อะไรขนาดนั้นหรอกนะ”
สะใภ้ใหญ่รู้เรื่องดีกว่าสะใภ้สาม ต้องไม่ลืมว่าสะใภ้สามย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองแล้ว ฝ่ายชายก็อยู่ที่ภูเขา ซึ่งอยู่ไกลจากที่นี่ ต้องใช้เวลาเกือบทั้งวันในการเดินไปที่นั่น
“พี่ขอให้พี่ใหญ่ของเธอขี่จักรยานไปที่แถว ๆ หมู่บ้านนั้นเพื่อไปสอบถามมาแล้วละจ้ะ” สะใภ้ใหญ่บอก
กล่าวได้ว่าหล่อนและพี่ชายใหญ่เป็นห่วงหลานสาวคนนี้มากกว่าพี่ชายรองและสะใภ้รอง พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดเสียอีก
ฝ่ายชายอายุ 28 ปีนี้ อายุมากกว่าโจวซานนีที่มีอายุ 18 ปี อยู่ 10 ปีเต็ม
แต่เขาไม่ได้เป็นคนที่แย่ถึงขนาดนั้นจริง ๆ
มันเป็นเพราะหมู่บ้านเขาอยู่ในสภาพที่ไม่ค่อยจะดีนัก ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เลวร้ายมาก แต่การจะไปที่นั่นได้ต้องใช้เส้นทางบนภูเขา ดังนั้นพวกเด็กสาวทั่วไปจึงไม่ยินดีที่จะแต่งเข้าไปอยู่ในหมู่บ้านนั้น
เนื่องจากว่าถ้าพวกหล่อนต้องการจะกลับไปที่บ้านฝั่งมารดา ก็จะต้องเดินไปตามถนนบนภูเขา คนที่ไม่ระวังก็สามารถตกเขาลงไปได้ ซึ่งถือว่าอันตรายมาก
“ไม่ใช่ว่าไม่มีใครมาเป็นแม่สื่อให้กับเขาหรอกนะ เพียงแต่ว่าเขาไม่อยากจะแต่งงานกับพวกหญิงหม้ายที่สูญเสียสามีไป ดังนั้นพอเวลาผ่านไป เขาก็เลยยังไม่ได้แต่งงานจนกระทั่งบัดนี้ และก็เป็นเพราะพวกแม่สื่อชอบแนะนำหญิงม่ายเหล่านั้นให้เขาอยู่บ่อยครั้ง เขาก็เลยไล่ตะเพิดพวกแม่สื่อกลับไปเท่านั้นเอง เลยเป็นสาเหตุว่าทำไมเขาถึงมีชื่อเสียงในแง่ที่ว่าเป็นคนอารมณ์ร้ายน่ะจ้ะ” สะใภ้ใหญ่อธิบาย
“แล้วซานนีถูกเขาเลือกมาได้ยังไงคะ ในเมื่อเขาอยู่ไกลออกไปขนาดนั้น?” หลินชิงเหอขมวดคิ้วขึ้นมาอีกรอบ
“ซานนีเป็นคนเลือกเขาด้วยตัวเองจ้ะ” แม้ว่าในห้องจะมีเพียงแค่สะใภ้ใหญ่และหลินชิงเหอเท่านั้น แต่สะใภ้ใหญ่ก็ลดเสียงพูดลง
“ห้ะ?” หลินชิงเหอไม่อยากจะเชื่อ
“พี่สะใภ้สามของเธอไม่รู้เรื่องนี้ พี่ถามมาจากซานนีน่ะจ้ะ” สะใภ้ใหญ่บอก
โจวซานนีและฝ่ายชายได้พบกันตอนที่พวกเขาไปที่ตลาด ซึ่งอยู่ที่อำเภอติดกัน ไม่ใช่อำเภอเดียวกันกับพวกเขา แต่เป็นอีกอำเภอหนึ่ง
มันเป็นเรื่องบังเอิญด้วย โจวซานนีแบกถั่วเหลืองถุงหนึ่งเข้าไปในเมืองเพื่อดูว่ามีใครต้องการจะซื้อหรือไม่ ซึ่งในเรื่องนี้ย่อมต้องเป็นคำสั่งของสะใภ้รอง
หล่อนเองก็ต้องการจะขายให้สะใภ้สาม แต่เนื่องจากหล่อนมีความสัมพันธ์ที่ย่ำแย่กับสะใภ้สาม จึงไม่มีหน้าจะไปขายให้ ฉะนั้นจึงเรียกใช้งานโจวซานนีลูกสาวที่ขยันขันแข็งของตน
โจวซานนีไม่ได้พูดอะไรมากนัก หล่อนแค่แบกถุงถั่วเหลืองขึ้นหลังแล้วเข้าไปในเมือง แต่ถุงถั่วเหลืองหนักหลายสิบชั่ง แม้ว่าโจวซานนีจะคุ้นเคยกับการทำงาน แต่มันจะง่ายดายขนาดนั้นได้อย่างไร?
………………………………………………………………………………