ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม – บทที่ 453 พบหน้าหลี่อ้ายกั๋ว
บทที่ 453 พบหน้าหลี่อ้ายกั๋ว
หลินชิงเหอไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับแผนการของสะใภ้ใหญ่ พวกเขานั่งคุยอยู่ในบ้าน จนกระทั่งเวลาประมาณ 20.00 น. จึงได้กลับไปที่บ้านของตัวเอง
โจวชิงไป๋กล่าวว่า “เอาธูปกันยุงมาจุดหน่อยสิครับ”
ก่อนจะกลับมาที่นี่ หลินชิงเหอได้เตรียมการซื้อธูปและพิมเสนน้ำกันยุงไว้แล้ว
เธอส่งธูปไปให้โจวชิงไป๋จุด แล้วก็หยิบพิมเสนน้ำออกมาทาด้วย ช่วยไม่ได้นี่นะ ในชนบทมียุงชุมมากจริง ๆ มันกัดผู้คนอย่างดุเดือด
ทั้งคู่กางมุ้งกันยุงและเสียบปลั๊กพัดลม ก่อนที่จะขึ้นไปนอนบนเตียงเตา
“นี่คุณไม่รู้สึกอึดอัดเหรอคะ ขยับห่างออกไปอีกนิดเถอะค่ะ” หลินชิงเหอพูด
“เสียงข้างนอกดีจังเลยนะครับ” โจวชิงไป๋บอกพร้อมกับกอดเธอไว้โดยไม่ยอมขยับออก
ด้านนอกมีแต่เสียงจิ้งหรีดดังระงม และยังมีเสียงสุนัขเห่าแว่วมาเป็นระยะ ๆ ได้ยินแล้วให้ความรู้สึกดีมากทีเดียว เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของชนบทโดยแท้
หลินชิงเหอดันหน้าอกของเขาพลางถามขึ้น “ไม่ร้อนเหรอคะ?”
ถ้าเป็นฤดูหนาวก็ไม่เป็นไร แต่ในฤดูร้อนเธอไม่อยากจะนอนโดยที่ถูกเขากอดไว้อย่างนี้จริง ๆ เมื่อไม่มีเครื่องปรับอากาศแล้วมันช่างไม่สบายตัวเอาเสียเลย
“คุณนอนไม่หลับเหรอครับ?” โจวชิงไป๋ถามกลับ
“มันร้อนเกินกว่าจะนอนได้ค่ะ” หลินชิงเหอบ่นอุบอิบ
โจวชิงไป๋จึงทำให้เธอรู้ว่าสิ่งที่เรียกว่าร้อนจริง ๆ นั้นเป็นอย่างไร หลังจากนั้นหลินชิงเหอก็หยุดแสดงอาการงอแงออกมา
การได้กลับมาที่บ้านเกิดเป็นโอกาสที่หาได้ยากของพวกเขา ดังนั้นทั้งคู่จึงนอนหลับอย่างเป็นสุข
เมื่อตื่นขึ้นมาในตอนเช้า พวกเขาได้ยินเสียงคนกำลังทะเลาะกันอยู่
“พี่สะใภ้ใหญ่ เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอคะ?” เมื่อสะใภ้ใหญ่มาตามคนทั้งสองให้ไปกินอาหารเช้า หลินชิงเหอได้เอ่ยถามขึ้น
เนื่องจากโจวชิงไป๋ยังอยู่ด้วย สะใภ้ใหญ่จึงไม่ได้พูดอะไรออกมา จนเมื่อโจวชิงไป๋เดินมุ่งหน้าออกไปก่อน หล่อนจึงตอบหลินชิงเหอ “น่าจะเป็นคนพวกนั้นที่มาทำร้ายหวังหลิงมั้งนะ?”
“หวังหลิง?” หลินชิงเหอจำไม่ได้แล้วว่าคนผู้นี้คือใคร
“ภรรยาเก่าของหม่าสามที่หล่อนสนิทสนมกับแม่ลิ่วนีไงจ๊ะ” สะใภ้ใหญ่ทวนความจำให้
ในตอนนั้นเอง หลินชิงเหอถึงจำได้ว่าหล่อนคือคนที่เป็นชู้กับลูกชายคนที่สี่แห่งตระกูลหม่าซึ่งเป็นน้องชายของสามีตนเอง และถูกคนทั้งครอบครัวจับได้ตอนอยู่บนเตียง ต่อมาหล่อนก็ไปมีความสัมพันธ์กับผู้ชายอีกคนในหมู่บ้าน จึงถูกจับกล้อนผมและถูกลากไปประจานบนถนน ว่ากันว่าผู้ชายคนนั้นถูกซ้อมจนกลายเป็นขันที
ทั้งหมู่บ้านผลิตของชั้นเลวแบบนี้ออกมาได้เพียงคนเดียวเท่านั้น ดังนั้นหลินชิงเหอจึงจำได้ เมื่อสะใภ้ใหญ่พูดเตือนความทรงจำให้ฟัง
“แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องอะไรกับหล่อนด้วยคะ นั่นไม่ใช่ครอบครัวตระกูลหวงหรอกหรือคะ?” หลินชิงเหอถาม
คุณป้าหวงเคยแลกเปลี่ยนน้ำตาลทรายแดงกับเธอมาก่อน ครอบครัวตระกูลหวงมีชื่อเสียงที่ค่อนข้างดีเสมอมา วันนี้กลับมีเรื่องเกิดขึ้นตั้งแต่เช้าตรู่โดยที่ไม่ทราบสาเหตุ เธอจึงได้ถามถึงเรื่องนี้
สะใภ้ใหญ่จึงเล่าให้เธอฟังถึงเรื่องงามหน้าที่ลูกชายสามแห่งตระกูลหวงทำ เขาแอบไปที่บ้านของหวังหลิงเพื่อกินอาหารป่า ซึ่งทุกคนต่างรู้ดีว่า อาหารป่า มีความหมายว่าอย่างไร
เรื่องไม่ได้จบตรงที่กินอาหารป่าเท่านั้น แต่เขายังนำโรคกลับมาติดสะใภ้สามตระกูลหวงด้วย
สะใภ้สามตระกูลหวงไปตรวจโรคมาเมื่อวานนี้ หล่อนกลับมาไม่ทันจึงได้ค้างอยู่ในเมือง 1 คืน เช้านี้หล่อนจึงกลับมาพร้อมกับพี่ชายจากครอบครัวทางบ้านแม่ของหล่อน และตรงเข้าไปทำร้ายร่างกายลูกชายสามตระกูลหวงทันที
“หวังหลิงผู้หญิงคนนั้นเลวมากจริง ๆ หวงสามก็เคยดูเหมือนจะดีมาก่อน ใครจะไปคิดว่าเขาจะเป็นคนอย่างนี้ได้” สะใภ้ใหญ่ด่า
ที่ทางของหวังหลิงคือสถานที่ซึ่งพวกผู้ชายไร้ศีลธรรมไปหาความบันเทิง ตราบใดที่มีเงิน 3-5 หยวน พวกเขาก็สามารถไปได้แล้ว หล่อนควรจะดีใจที่อยู่ในยุคนี้ ถ้าย้อนกลับไปเป็นเมื่อครั้งอดีต ใครจะยอมปล่อยหล่อนเอาไว้
เดาได้ไม่ยากเลยว่าผู้หญิงคนนั้นติดโรค แต่หวงสามนั้นก็เป็นอะไรที่น่าประหลาดใจโดยแท้
หลินชิงเหอรู้จักกับสะใภ้สามตระกูลหวงและรู้ว่าหล่อนเป็นผู้หญิงที่ดี เธอไม่คาดคิดเลยว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้ เธอจึงเอ่ยเย้ยหยันขึ้น “ผู้ชายพวกนี้อุจจาระข้างนอกยังหอมเลยค่ะ ถ้าพวกเขายังไม่เคยได้กินมัน”
“ตอนนี้พวกเขากำลังทะเลาะเพื่อที่จะหย่ากันน่ะจ้ะ” สะใภ้ใหญ่ถอนใจ
“แน่นอนสิค่ะ พวกเขาจะต้องหย่า ทำไมถึงจะไม่หย่าล่ะ?” หลินชิงเหอคิดว่านี่เป็นเรื่องปกติที่ต้องทำอยู่แล้ว
สะใภ้ใหญ่ตกใจ “นี่มัน…จะทำอย่างนั้นได้ยังไงกัน? ยังมีลูก ๆ อยู่อีก 3 คน ถ้าพวกเขาหย่า แล้วเด็ก ๆ ทั้ง 3 คนจะทำยังไงกันล่ะจ๊ะ?”
“ช่างชั่วช้าอะไรอย่างนี้นะ!” หลินชิงเหอสาปแช่ง
เธอไม่สามารถพูดอะไรได้ แต่ในชนบทเป็นเช่นนี้จริง ๆ ผู้หญิงไม่มีรายได้เป็นของตนเอง ถึงแม้จะมีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้น แต่ 9 ใน 10 คนที่อยู่รอบ ๆ ก็จะต้องเกลี้ยกล่อมพวกเขาไม่ให้หย่า
หลินชิงเหอและโจวชิงไป๋มากินอาหารเช้า เมื่อกินเสร็จ พวกเขาก็ออกเดินทางไปหมู่บ้านหลี่เจี่ยที่ซึ่งโจวซานนีและหลี่อ้ายกั๋วอาศัยอยู่
โจวชิงไป๋ขี่จักรยานคันหนึ่ง และหลินชิงเหอก็ขี่จักรยานอีกคันไปด้วยตัวเอง เนื่องจากเธอไม่อยากให้เขาต้องแบกน้ำหนักเธอไปด้วยในเส้นทางที่ไกลขนาดนี้
ครั้นแล้ว หลินชิงเหอก็เล่าเรื่องของครอบครัวหวงสามให้โจวชิงไป๋ฟัง
“นี่มันเป็นเรื่องน่าละอายจริง ๆ!” หลังจากที่ได้ฟัง โจวชิงไป๋ทำเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นชา หวงสามกับเขาเคยเป็นเพื่อนเล่นกัน แต่ในเวลานี้ เขาไม่ลังเลเลยที่จะตำหนิหวงสาม ความปรารถนาที่จะเอาตัวรอดของเขานั้นแข็งแกร่งมากจริงๆ
เนื่องจากทัศนคติของเขา หลินชิงเหอจึงใจเย็นลงและกล่าวว่า “ถ้าสะใภ้สามตระกูลหวงเป็นผู้หญิงที่มีความสามารถ หล่อนจะต้องหย่าขาดจากเขาและพาลูกทั้ง 3 คนย้ายออกไปด้วยกัน จากนั้นก็หาคนใหม่ที่ดีกว่าแล้วก็ให้ลูกทั้ง 3 คนของหวงสามเรียกอีกคนว่าพ่อไปเลย ให้มันรู้กันไปว่าใครดีกว่าใครและใครแย่กว่าใคร!”
มุมปากของโจวชิงไป๋กระตุก ภรรยาของเขาช่างมีจิตใจที่อำมหิตดีจริง ๆ
ให้ลูกทั้ง 3 คนเรียกอีกคนว่าพ่อและแต่งงานใหม่กับอีกคน…
โจวชิงไป๋อยากจะถามขึ้นมาทันทีว่า เธอก็วางแผนไว้ว่าจะไม่ใช้ชีวิตร่วมกับเขา ตอนที่เธอมาถึงในครั้งแรก และต้องการจะหย่ากับเขาพร้อมทั้งพาลูก 3 คนไปด้วยใช่หรือไม่? เมื่อคิดดูแล้ว ในเวลานั้น เธอไม่ยอมให้เขาผ่านประตูห้องเธอเข้าไปด้วยซ้ำ
โจวชิงไป๋จ้องหน้าภรรยาของตน หลินชิงเหอเชิดหน้าขึ้นพลางเอ่ย “คุณมองอะไรหรือคะ?”
“ไม่มีอะไรครับ” โจวชิงไป๋หันกลับไปมองที่ถนนต่อแล้วพูดว่า “หวงสามทำเรื่องที่ผิดก็จริง แต่ไม่ใช่ว่าผู้หญิงทุกคนจะมีความสามารถ การต้องเลี้ยงลูก 3 คนไม่ใช่เรื่องง่ายนะครับ”
หลินชิงเหอรู้สึกรังเกียจเรื่องนี้มาก และตอบกลับไปว่า “อย่าพูดเรื่องนี้กับฉันนะคะ ผู้หญิงจะต้องเป็นคนที่ต้องทนทุกข์กับเรื่องอย่างนี้เสมอเลย”
โจวชิงไป๋ไม่ได้พูดอะไรอีก
หลินชิงเหอไม่ยอมปล่อยเขาและกล่าวต่อว่า “คุณมีความคิดแบบนี้ขึ้นมาบ้างไหมคะ? ตอนนี้คุณมีเงินแล้ว ยังดูไม่แก่และยังดูแข็งแรงด้วย พวกผู้หญิงสวย ๆ พวกนั้นส่งจดหมายให้คุณบ้างไหมคะ?”
“คุณป้าหม่าเป็นพยานให้ผมได้ครับ ยิ่งไปกว่านั้น ผมชอบแต่ภรรยาของผมเท่านั้นครับ” โจวชิงไป๋กล่าวโดยที่ไม่ได้หันหน้ามา
หลินชิงเหอจึงทำเพียงแค่นเสียงขึ้นจมูกและยอมปล่อยเขาไป
หมู่บ้านหลี่เจี่ยที่อยู่ในอำเภอติดกันนั้นไม่ได้ใกล้เลย ในตอนนี้ถนนหนทางยังดีอยู่ แต่ถ้าฝนตกเมื่อไหร่ถนนทั้งสายก็จะกลายเป็นโคลน
เมื่อพวกเขาไปถึงที่นั่นก็สายมากแล้ว
“พี่ชายคะ ขอถามหน่อยค่ะ ฉันจะไปหมู่บ้านหลี่เจี่ยได้ยังไงคะ?” หลินชิงเหอเห็นชายคนหนึ่งกำลังขี่เกวียนเทียมวัวมา จึงหยุดจักรยานพร้อมกับโจวชิงไป๋ แล้วถามขึ้น
ชายผู้ซึ่งขี่เกวียนวัวอยู่ มองมาที่พวกเขาแล้วตอบว่า “พวกคุณจะไปที่หมู่บ้านหลี่เจี่ยกันทำไมหรือครับ?”
“ไปหาญาติน่ะค่ะ หลานสาวของฉันแต่งงานไปอยู่ที่นั่น แต่เรายังไม่เคยไปที่นั่นเลย เราก็เลยจะมาหาหล่อนน่ะค่ะ” หลินชิงเหออธิบาย
“บังเอิญว่าผมมาจากหมู่บ้านหลี่เจี่ยพอดีน่ะครับ ตามผมมาได้เลยครับ” หลี่อ้ายกั๋วผู้ซึ่งขี่เกวียนเทียมวัวอยู่ สอบถามพวกเขาแล้วจึงพยักหน้าบอก
“คุณมาจากหมู่บ้านหลี่เจี่ย ถ้าอย่างนั้นคุณรู้จักหลี่อ้ายกั๋วไหมคะ?” หลินชิงเหอถาม
“ฮะ?” หลี่อ้ายกั๋วตื่นตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นก็ตอบโดยที่ไม่ได้แสดงท่าทีผิดปกติใด ๆ ออกมา “คุณมาตามหาหลี่อ้ายกั๋วทำไมหรือครับ?”
“คุณคือหลี่อ้ายกั๋ว?” โจวชิงไป๋ชำเลืองมองไปที่เท้าของเขา จากนั้นเลื่อนสายตาขึ้นมองไปที่เขา
…………………………………………………………………………………….