ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม – บทที่ 566 สะใภ้สี่ใจกว้างจริง ๆ

บทที่ 566 สะใภ้สี่ใจกว้างจริง ๆ

บทที่ 566 สะใภ้สี่ใจกว้างจริง ๆ

ความหมายของโจวชิงไป๋คือให้เขาไปคนเดียวก็ได้ ตอนนี้ครรภ์ยังเล็ก ๆ ไม่มีปัญหา เขายังสามารถออกไปทำธุระได้หนึ่งหรือสองเดือน หาซื้อที่ดินเสียหน่อย

หลังจากนั้นเขาก็ให้ภรรยาของเขาไปนั่งเล่นที่บ้านยายเฒ่าเจียง หรือไม่ก็เชิญยายเฒ่าเจียงมาดูทีวีที่บ้านก็ย่อมได้

แต่ถ้ารอจนท้องใหญ่มากกว่านี้ ถึงตอนนั้นแม้แต่ก้าวเดียวเขาก็คงไม่ก้าวออกจากบ้าน และหากถึงตอนนั้นเขาก็ไม่ว่างแล้ว

แต่หลินชิงเหอไม่ตกลง เธออยากจะออกไปกับเขาด้วย ไม่อย่างนั้นหากให้เธออยู่คนเดียวคงจะเบื่อมากแน่ เธอไม่มีทางเบื่อยายเฒ่าเจียงอย่างแน่นอน ก็แค่ไปโรงงานแล้วเอางานฝีมือกลับมาทำ ทำไปด้วยคุยไปด้วยก็ยังได้

แต่หลินชิงเหออยากออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก

โจวชิงไป๋เห็นเธอยืนยันอย่างนั้น ก็ยอมพาเธอไปด้วย

เพียงครึ่งเดือนที่ผ่านมา บ้าน 5 หลังกับที่ดินทำเลดี ๆ จำนวน 3 ผืนก็มาอยู่ในมือ และนั่นย่อมหมายความว่าต้องจ่ายเงินไปไม่น้อยเช่นกัน

หลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋ไม่ได้วางแผนจะทำธุรกิจ พวกเขาคิดง่าย ๆ ว่าเพียงต้องการซื้อเก็บรักษาเอาไว้เท่านั้น ที่จริงมันไม่ใช่ถูก ๆ เลย เพราะทำเลดีมาก ดังนั้นมูลค่าจึงแพงมากเช่นกัน

“ยุ่งอะไรอยู่จ๊ะ? ช่วงนี้อากาศยิ่งร้อนขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว” ยายเฒ่าเจียงมาหาหล่อนที่บ้าน พูดขึ้น

“ชิงไป๋ไปหาที่ดินดูน่ะค่ะว่าจะทำกิจการกันดีไหม” หลินชิงเหอรินชาดอกเก๊กฮวยให้นางแล้วพูดขึ้น

“ทำธุรกิจก็ไม่เลวเหมือนกัน ฉันได้ยินว่ากำไรสูงมากเชียวละ หลานชายคนหนึ่งของฉันเปิดร้านขายเฟอร์นิเจอร์อยู่เหมือนกัน” ยายเฒ่าเจียงพูด

“เป็นเฟอร์นิเจอร์ที่ทำเองหรือว่าเฟอร์นิเจอร์นำเข้าคะ” หลินชิงเหอพูด

“ก็ต้องเป็นเฟอร์นิเจอร์นำเข้าสิ เปิดโรงงานเฟอร์นิเจอร์ใครว่าเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ กันล่ะ เงินทุนก็ไม่ใช่น้อย ๆ เลย” ยายเฒ่าเจียงพูด

หลินชิงเหอไม่ค่อยเข้าใจเรื่องพวกนี้ แต่ว่าโจวเซี่ยบ้านพี่ชายรองโจวทำเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ ชิงไป๋ของเธอก็อยากจะให้เขาออกมาทำด้วยตัวเองมาก ๆ

แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่เรื่องง่ายเสียแล้ว

โจวเซี่ยเป็นคนไม่เลว ถ้าเขามีความกล้าพอที่จะยืมเงินกับบรรดาลุงและอาของเขา เพื่อเปิดร้านเฟอร์นิเจอร์ไม้ละก็ หากค่อย ๆ ขยายกิจการมันจะต้องไม่เลวมากแน่

เนื่องจากจะให้เป็นลูกน้องของอาจารย์เขาตลอดไปได้อย่างไร? เช่นนั้นชีวิตนี้เขาคงไม่ได้ลืมตาอ้าปากแล้ว

แต่หลินชิงเหอไม่คิดจะเอ่ยปากพูดเรื่องเปิดกิจการนี้ด้วยตัวเองหรอก ภรรยาคนนั้นของโจวเซี่ยไม่ใช่คนที่น่าคบหาเท่าไหร่นัก เธอไม่จำเป็นต้องเอาเข้าหาก่อน เรื่องนี้ต้องดูที่โจวเซี่ยเองแล้วล่ะ

“ช่วงนี้เฟอร์นิเจอร์ไม้กำลังเป็นที่นิยมมาก หลานชายของฉันน่ะพูดเก่ง ช่วยสั่งของสองสามอย่างจากโรงงานเฟอร์นิเจอร์ แล้วก็ยังได้ค่าคนกลางด้วย” ยายเฒ่าเจียงพูด

หลินชิงเหอพยักหน้า ถ้ามีฝีมือแบบนั้นอย่าพูดถึงความนิยมในตอนนี้เลย ต่อไปในภายหน้าก็จะยังคงนิยมอยู่ โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้ามีเงิน เก้าอี้ตัวหนึ่งก็ขายได้ราคาเท่าไรแล้ว?

อีกครึ่งเดือนต่อมาหลินชิงเหอก็ไม่ออกไปไหนแล้ว เธอหาเวลาโทรศัพท์กลับไปหาโจวเสี่ยวเหมย

เพราะว่านี่เป็นเวลาบ่ายโมง เป็นเวลาว่างของโจวเสี่ยวเหมยพอดี หล่อนจึงเดินมารับโทรศัพท์

น้องสามีและพี่สะใภ้สองคนคุยกันอยู่พักหนึ่ง ทั้งหมดยังคงเหมือนเดิม โจวเสี่ยวเหมยเอาเรื่องสำคัญมาพูด เป็นเรื่องธุรกิจหน้าร้าน

“ฉันได้ยินกังจือบอกว่า เจ้ารองกับเจ้าสามเปลี่ยนแปลงร้าน จนตอนนี้กิจการใหญ่ขึ้นแล้วเท่าหนึ่งน่ะค่ะ” โจวเสี่ยวเหมยพูด

“เปลี่ยนแปลงอะไรเหรอ?” หลินชิงเหอนิ่งอึ้งไปสักพัก

“ดูเหมือนจะทำโปรโมชั่นอะไรเนี่ยแหละ คนต้นคิดก็เป็นเจ้าสามเนี่ยแหละ ขยันจัดโปรโมชั่นทุกวัน ทั้งยังเอาโทรโข่งวางไว้หน้าทางเข้า แล้วก็ติดป้ายลดราคาตัวใหญ่ ๆ ไว้ด้วย แล้วยังไปซื้อพัดลมกลับมา 10 ตัว ทุกร้านเสื้อผ้าก็จะวางเอาไว้ร้านละ 2 ตัว บอกว่าอีกเดี๋ยวก็จะร้อนแล้ว เวลาลูกค้ามาซื้อก็จะสามารถเข้ามาตากลมได้” โจวเสี่ยวเหมยพูด

หลินชิงเหออึ้งไปแล้วจริง ๆ คิดไม่ถึงว่าเจ้าสามเด็กดื้อนั่นจะมีพรสวรรค์ด้านการบริการขนาดนี้ ถึงขั้นเริ่มที่จะรู้จักทำโปรโมชั่นลดราคากับบริการลูกค้าแล้ว

“ให้เขาจัดการไปเถอะจ้ะ” หลินชิงเหอพูด

โจวเสี่ยวเหมยได้ยินถึงกับสำลักอากาศพูด “พี่สะใภ้สี่พี่ไม่ว่าเจ้าสามเหรอ? คุณพ่อคุณแม่รู้แล้ว ยังพูดว่าเขาหาเรื่องมาทำลายร้าน บอกว่าถ้าพวกพี่รู้จะต้องโมโหแน่”

“เรื่องนี้มีอะไรให้ต้องโมโหด้วยเหรอ ได้ฟังแล้วฉันยังคิดว่าเป็นความคิดที่ไม่เลวเลย แล้วกิจการดีขึ้นไหมละจ๊ะ?” หลินชิงเหอยิ้มพูด

“ฉันได้ยินว่ารายได้สูงขึ้นหนึ่งเท่าตัวเลยค่ะ แต่คุณพ่อกับคุณแม่ไม่เชื่อ” โจวเสี่ยวเหมยพูด

“พวกเขาสองคนมีความตั้งใจดี ก็ให้พวกเขาจัดการไปเถอะจ๊ะ” หลินชิงเหอพูด

ไม่พูดไม่ได้ว่าเพราะนิสัยรู้จักปล่อยวางของหลินชิงเหอ ดังนั้นลูกชายสามคนไม่ว่าจะคนไหน ล้วนมีความสามารถและความคิดเป็นของตัวเอง

พอคิดแล้วก็ถูก หลินชิงเหอเป็นแม่ที่ไม่เหมือนใคร เมื่อก่อนไม่เคยมีความรัก ก็กลายมาเป็นแม่คนเลย

ถ้าให้เธอเลี้ยงดูอย่างพินอบพิเทาก็คงทำไม่เป็นจริง ๆ จึงคอยทำอาหารอร่อย ๆ สวมเสื้อผ้าอุ่น ๆ ไม่ให้พวกเขาออกไปรังแกคนอื่น ลงเล่นน้ำก็ให้ระวังความปลอดภัยไว้หน่อยอะไรพวกนั้น

ไม่ต่างอะไรกับการปล่อยให้พวกเขาเติบโตขึ้นมาด้วยตัวเองได้

ระหว่างที่เธอพาเจ้าลูกชายคนโตออกมาเรียนหนังสือไกลบ้าน แล้วให้ลูก ๆ ที่เหลืออยู่กับพ่อของพวกเขา พวกเขาก็อยู่ในบ้านพึ่งพาตัวเองได้

หลังจากวางสาย โจวเสี่ยวเหมยก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกนับถือในตัวพี่สะใภ้สี่ของตัวเอง ก่อนหน้านี้หล่อนรู้ว่าพี่สะใภ้สี่เป็นคนใจกว้าง แต่หล่อนไม่คิดว่าเธอจะใจกว้างขนาดนี้

ธุรกิจเยอะขนาดนี้กลับกล้าที่จะให้ลูกชายเข้ามายุ่งวุ่นวายได้

โจวเสี่ยวเหมยกลับมาบ้าน ท่านแม่โจวก็ถามเธอเรื่องนี้

“พี่สะใภ้สี่บอกว่าไม่ต้องกังวล พวกเขาสองคนไม่ได้ทำอย่างไม่มีแผนการ ให้พวกเขาทำไปเถอะค่ะ” โจวเสี่ยวเหมยพูด

ท่านแม่โจวนิ่งอึ้งไปแล้ว “เจ้ารองยังพอได้ เจ้าสามยังเป็นเด็กไม่ใช่คนที่จะหาเงินเป็น ให้เขามายุ่งวุ่นวายได้อย่างไร”

นี่ก็ซื้อพัดลมมา 10 ตัวเอาไปวางไว้ร้านละ 2 ตัว บอกว่าเอาไว้ให้ลูกค้าใช้ ไหนจะยังมีโปรโมชั่นลดราคาอะไรนั่นอีก

ได้ยินว่าเสื้อตัวหนึ่งราคา 7-8 หยวน เขาลดราคาเหลือเพียง 5-6 หยวน เอาสินค้าเข้ามาไม่ใช่ถูก ๆ แล้วนี่พวกเขาจะได้กำไรเท่าใดกัน? ยังมีค่าจ้างของพนักงานที่แพงมากอีก เดือนหนึ่งเงินเดือนของพวกเขาได้คนละ 70 หยวน ทุกร้านพวกเขาต้องจ่ายค่าจ้างเดือนละ 200 กว่าหยวนเลยนะ

เพราะท่านแม่โจวกลัวว่าหลานชายจะไปทำให้กิจการดี ๆ ถูกพวกเขาวุ่นวายจนเละ โจวเสี่ยวเหมยก็รอให้หวังหยวนกับโจวเอ้อร์นีพาเจ้าเด็กแฝดมากินข้าวที่นี่ แล้วถามพร้อมกัน

“คุณย่ากังวลไปทำไมครับ นี่มันเรื่องปกติ ผมยังคิดเลยว่าเจ้าสามน่ะมีหัวการค้าดีทีเดียว รู้จักทำการค้าขายไม่เบา” หวังหยวนพูด

“ได้กำไรจริงเหรอ? ฉันดูแล้วไม่ค่อยน่าเชื่อถือ กลัวว่าเด็กนั่นจะทำเรื่องวุ่นวายเปล่า ๆ” ท่านแม่โจวพูด

“ไม่เละหรอกครับ เขามีหัวการค้าทีเดียว ตอนนี้ราคาขายลดลงต่ำก็จริง แต่เมื่อนับปริมาณเสื้อผ้าที่ขายออกไปแล้ว กำไรยังมากกว่าเดิมด้วยซ้ำครับ ผมไม่รู้ว่าเขาคิดวิธีนี้ได้ยังไง” หวังหยวนพูด

ท่านแม่โจวได้ยินเขาพูดอย่างนั้น จึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก และพูดขึ้น “ตอนนี้บ้านของอาสี่ไม่มีงานทำแล้ว ยังไงก็ต้องพึ่งพาร้านค้าเหล่านี้ ฉันเลยกลัวว่าจะถูกเขาทำลายมันน่ะ”

“พวกเขาล้วนเป็นเด็กเรียนจบมหาวิทยาลัย ยังต้องให้คุณย่ากังวลเรื่องพวกนี้อีกเหรอคะ” โจวเอ้อร์นีพูด

ท่านแม่โจวหัวเราะ “พูดมาได้ว่าเป็นเด็กเรียนจบมหาวิทยาลัย พวกเขายังเป็นเด็กน้อยอยู่เลย”

“ไม่เด็กแล้วค่ะ โจวเซี่ยปีนี้ก็จะแต่งงานแล้ว” โจวเอ้อร์นีพูด

“เมื่อไหร่กัน” ท่านแม่โจวอึ้งไปสักพัก

“วันก่อนหนูโทรศัพท์ไปหาคุณแม่น่ะค่ะ คุณแม่บอกว่าตกลงฤกษ์งานแต่งกันแล้ว รอให้ทำบ้านใหม่สำเร็จก่อน ถึงตอนนั้นค่อยพาเจ้าสาวเข้าบ้าน และเชิญแขกมาพร้อมกัน” โจวเอ้อร์นีพูด

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เจ้าสามหัวการค้าดีจริง ๆ ค่ะ กิจการไม่เละหรอกค่ะคุณย่า

โจวเซี่ยจะแต่งงานแล้ว เฮ้อ คิดแล้วเราก็เดินทางกันมาไกลเหมือนกันนะคะเนี่ย ตอนนั้นยังมาขอนมเจ้าสามกินอยู่เลย

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

Status: Ongoing

<strong>*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน</strong>

<strong>จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 …</strong>

<strong>ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย</strong>

<strong>ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…</strong>

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท