ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม – บทที่ 609 อยากจะหย่า

บทที่ 609 อยากจะหย่า

บทที่ 609 อยากจะหย่า

ตระกูลเฉินย่อมต้องเต็มใจช่วยเหลือคนทั้งคู่อย่างแน่นอน เนื่องจากลูกเขยของพวกเขาไม่ใช่คนปักกิ่ง ดังนั้นพวกเขาก็ต้องช่วยเหลือเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ นี่เป็นธรรมดา

โดยเฉพาะบ้านที่เป็นเรื่องชีวิตในอนาคตของเฉินซานซานลูกสาวพวกเขาด้วยแล้ว

ดังนั้นหู่จือจึงมาที่นี่เพื่อขอความช่วยเหลือ หลี่อวิ้เฟิ่งแม่ยายที่ตกงานของเขาพูดขึ้น “เธอวางใจเถอะ เรื่องนี้ให้เป็นธุระของป้าเอง ป้าจะหาที่ดี ๆ ให้เธอกับซานซานสักหลังหนึ่งเอง ข้างบ้านเธอจะไม่มีเพื่อนบ้านน่ารำคาญอยู่แน่นอนจ้ะ”

หลังจากนั้นหล่อนก็ไปถามไถ่คนอื่น ๆ พร้อมกับแม่เฒ่าสวีผู้เป็นแม่สามี

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหญิงชราสองคนนี้มีความสามารถไม่ธรรมดาจริง ๆ เพียงไม่กี่วันก็ไปสอบถามมาได้ที่แห่งหนึ่ง แม้ว่าที่นี่จะไกลไปสักหน่อย แต่ก็ไม่ได้ไกลมากนัก ห่างจากชุมชนเล็ก ๆ ที่นี่เพียง 20 นาทีเท่านั้น

“พวกเขาเก็บเงินได้แล้ว เลยจะทิ้งห้องเล็ก ๆ นี้แล้วย้ายไปอยู่ห้องใหญ่ที่นั่นน่ะจ้ะ ห้องนี้พวกเขาก็คิดว่าจะขายทิ้ง ป้าเคยไปดูมาให้เธอแล้ว ห้องกว้างขวางมากเลยล่ะ เธอกับซานซานแต่งงานกันแล้วเข้าไปอยู่ยังไงก็พอแน่นอน ตอนนี้ไม่เหมือนกับสมัยก่อนแล้ว เพราะต้องทำตามมาตรการลูกคนเดียวกันหมด” หลี่อวี้เฟิ่งพาหู่จือมาดู และพูดขึ้นเช่นนี้

หลังจากนั้นหล่อนก็ถามหู่จือต่อ “ลูกสาวอาจารย์หลินน้าสะใภ้ของเธอน่ะได้ลงทะเบียนแล้วหรือยัง แล้วถ้ามีลูกเกินต้องจ่ายค่าปรับเท่าไหร่?”

“ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่คงไม่ใช่ถูก ๆ แน่ครับ” หู่จือพูด

มี่มี่ลงทะเบียนพลเมืองเรียบร้อยแล้วตั้งแต่กลับมาวันที่สาม เวิงกั๋วต้งก็ช่วยเรื่องลงทะเบียนที่อยู่ให้ แต่เงินค่าปรับมีลูกเกินที่ต้องจ่ายนั้นไม่เล็กน้อยอย่างแน่นอน

จำนวนที่เป็นรูปธรรมนั้นหู่จือไม่รู้ เพราะน้าสะใภ้ของเขาไม่ได้พูดมากไปกว่านั้น แต่น้าของเขาบอกว่าประมาณบ้านหลังหนึ่ง เท่านั้นก็รู้แล้วว่าครอบครัวที่จะมีลูกเกินได้ต้องไม่ใช่คนธรรมดา

“เธอก็ไม่ต้องมีลูกเกินแล้วนะจ๊ะ ตอนนี้กลายเป็นสังคมสมัยใหม่แล้ว จะมีลูกชายหรือลูกสาวก็เหมือนเหมือนกันแหละจ้ะ สิ่งสำคัญคือการเลี้ยงดู เลี้ยงดูดีแล้ว ลูกสาวก็สามารถเป็นความภาคภูมิใจได้ เลี้ยงดูไม่ดี มีลูกชายก็รังแต่จะทำให้เป็นหนี้เสียเปล่า ๆ” หลี่อวี้เฟิ่งพูด

“คุณป้าพูดถูกแล้วครับ” หู่จือยิ้ม

เนื่องจากยังไม่ได้แต่งงานอย่างเป็นทางการเขาจึงเรียกหล่อนว่าป้า รอให้เขากับซานซานแต่งงานกันแล้ว ถึงตอนนั้นเขาจึงจะเรียกหล่อนว่าแม่

หลี่อวี้เฟิ่งถามก็รู้ว่าบ้านเป็นห้อง ๆ แบบนี้นั้นใช้ได้เลยทีเดียว เพื่อนบ้านข้าง ๆ ก็มีงานทำทั้งหมด ไม่วุ่นวายเลย

แม้ว่าห้องจะมีขนาด 30 กว่าตารางเมตร แต่ก็ถือว่าไม่เลวเลย หากอยู่กัน 3 คนอย่างไรก็สามารถอยู่ได้สบาย ๆ

“ต่อไปพอแต่งงานกันแล้ว จะอยู่ไฟหลังคลอดเด็กเมื่อไหร่ฉันจะมาอยู่ช่วยซานซานเอง เธอไม่ต้องกังวลอะไรเลย พอเด็กหย่านมแล้วซานซานก็ค่อยไปทำงานต่อช่วยเธอหางานอีกแรงหนึ่ง ส่วนลูกของพวกเธอเดี๋ยวป้าเลี้ยงให้เอง”หลี่อวี้เฟิ่งเห็นลูกเขยพอใจบ้านหลังนี้มาก ก็พูดขึ้นพร้อมยิ้ม

“ขอบคุณครับคุณป้า!” หู่จือดวงตาเป็นประกาย

ถ้าแม่ยายของเขาเต็มใจยื่นมือมาช่วยล่ะก็ เขากับซานซานคงสบายขึ้นเยอะ

“ขอบคุณอะไรกัน” หลี่อวี้เฟิ่งหัวเราะ “ห้องนี้เป็นอย่างไรบ้างจ๊ะ? ถือว่าผ่านไหม”

“ราคาเท่าไหร่เหรอครับ?” หู่จือถาม

“ 5,300 หยวนจ๊ะ เดิมทีเริ่มต้นที่ 5,600 หยวน ฉันต่อราคาลงมา 300 หยวน นี่ก็ต่อเยอะที่สุดแล้ว น้อยกว่านี้ก็เห็นทีจะไม่ได้” หลี่อวี้เฟิ่งพูด “เธอมีเงินพอไหมจ๊ะ? ถ้าไม่พอล่ะก็ ป้ายังมีอยู่นิดหน่อย ให้เธอยืมก่อนได้”

หล่อนรู้ว่าการที่ลูกเขยย้ายทะเบียนบ้านมาอยู่ที่นี่ เขาต้องเสียเงินไปก้อนใหญ่แล้วหนหนึ่ง

แต่ว่าปีนี้หู่จือสู้ชีวิตมากจริง ๆ โดยเฉพาะช่วงฤดูร้อนเขาจะออกจากบ้านแต่เช้าและกลับมาค่ำตลอด แต่ละวันยังขายเสื้อผ้าได้ไม่น้อย ส่วนอาหารการกินเขากินอะไรก็ได้ อย่างพวกเกี๊ยวหรือซาลาเปาก็เพียงพอแล้ว เลยทำให้เขาเก็บเงินได้เยอะเลยทีเดียว

“ผมมีพอครับ แต่ว่ามันไม่ถูกเลยจริง ๆ นะครับเนี่ย” หู่จือพูดแล้วแล้วถอนหายใจ

“ตอนนี้ข้างนอกก็ราคานี้หมดแล้วล่ะจ้ะ อีกทั้งยังหาซื้อไม่ค่อยได้ ก็ได้ย่าของซานซานหาได้แล้วมาบอกป้าทันทีนี่แหละ ไม่แน่ว่าอีกไม่กี่วันคงจะมีคนอื่นมาซื้อบ้านหลังนี้ไปแล้ว ครอบครัวนั้นเพิ่งจะย้ายไปเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้เอง” หลี่อวี้เฟิ่งพูด

ในช่วงเวลานี้กรมที่ดินยังไม่หยุดนักขัตฤกษ์ ดังนั้นหู่จือจึงมาหาน้าสะใภ้ของเขาเพื่อมาเอาเงิน

หลินชิงเหอนำเงินมาให้เขาทั้งหมดเป็นจำนวนไม่น้อย “เธอมีบัญชีธนาคารของตัวเองแล้วใช่ไหม? เอาไปฝากธนาคารไว้นะ”

หู่จือไม่ได้ปฏิเสธ เขานำเงินไปจ่ายค่าบ้านก่อน ถึงจะนำเงินส่วนที่เหลือแยกออกมา แล้วหลังจากนั้นจึงจะฝากเข้าธนาคาร

สำหรับเงินส่วนหนึ่งที่นำออกมา แน่นอนอยู่แล้วว่าเขาจะเอาไว้ซื้อบ้านใหม่

ขณะที่หู่จือกับซานซานยุ่งวุ่นวายจัดการธุระอยู่นั้น กังจือก็พูดขึ้น “น้าสะใภ้ครับ ปีนี้ผมคิดว่าจะกลับบ้าน ไม่รู้ว่าพี่ซื่อนีกับพี่กั๋วต้งจะกลับตอนไหน? ผมอยากกลับไปพร้อมกัน”

“วันที่ยี่สิบกว่ามั้งจ๊ะ ถ้าอยากกลับพร้อมกันเธอก็ไปถามเวลาพวกเขาเถอะ ให้กั๋วต้งช่วยเธอหาตั๋ว ตอนนี้คงหาซื้อยากแล้ว เขาน่าจะมีเส้นสายหาตั๋วให้ได้” หลินชิงเหอพูด

กังจือจึงไปบอกกับซื่อนี ซึ่งโจวซื่อนีกับเวิงกั๋วต้งคิดไว้ว่าจะกลับวันที่ยี่สิบห้า และกลับไปอยู่ที่บ้านจนถึงวันที่ 7 ของเดือนมกราคมแล้วค่อยกลับมา

โจวซื่อนีบอกกับเวิงกั๋วต้งแล้ว หลังจากนั้นหล่อนก็โทรศัพท์ไปบอกแม่ของเธอว่าจะกลับไป

สะใภ้ใหญ่โจวพูด “แม่ว่าจะโทรหาน้าสะใภ้สี่ของลูกอยู่แล้วเชียว ลูกไปถามน้าสะใภ้สี่ของลูกหน่อยว่ามีเวลาว่างก็โทรกลับมาหาแม่ทีสิ”

“มีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่าคะ?” โจวซื่อนีชะงัก

“ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ แม่แค่อยากคุยกับน้าสะใภ้สี่สักหน่อย” สะใภ้ใหญ่โจวพูด

โจวซื่อนีจึงมาหาน้าสะใภ้สี่ของเธอ หลินชิงเหอได้ยินในใจก็เดาว่าต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่ ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายคงไม่เรียกเธอไปแบบเจาะจงอย่างนี้หรอก เธอจึงเดินมาโทรศัพท์ที่ร้านเกี๊ยว

สะใภ้ใหญ่โจวยังไม่ได้เดินออกจากบ้านของลูกชายหัวหน้าหมู่บ้านไปไหน จึงรับสายได้ในทันที

“พี่สะใภ้ใหญ่ ที่บ้านสบายดีไหมคะ?” หลินชิงเหอพูดยิ้ม ๆ

“บ้านพี่ บ้านสาม แล้วก็บ้านน้องชายสามของเธอน่ะสบายดี ไม่มีอะไรต้องกังวลหรอกจ้ะ” สะใภ้ใหญ่โจวยิ้มพูด

หลินชิงเหอคิดในใจ บ้านรองอีกแล้วเหรอ?

“ชิงเหอ ลิ่วนีทำให้ภรรยาเซี่ยเซี่ยแท้งลูกแล้ว” สะใภ้ใหญ่พูดเสียงเบา

“ห้ะ?” หลินชิงเหอขมวดคิ้ว

สะใภ้ใหญ่โจวจึงยกเรื่องขึ้นมาพูดรอบหนึ่ง

หม่าเหมี่ยวเหมี่ยวภรรยาของโจวเซี่ยไม่ใช่คนที่จะลงรอยกับใคร กลับบ้านมาก็ทำตัวสูงส่ง เปลี่ยนแม่สามีตัวเองให้กลายเป็นคนรับใช้คนหนึ่งได้

โจวลิ่วนีกลับมาบ้านแม่ของตัวเอง หล่อนก็อยากจะลงรอยกับภรรยาน้องชายตัวเองคนนี้เช่นกัน แต่ว่าหม่าเหมี่ยวเหมี่ยวกลับไม่ยินดี

เห็นชัดว่าลงรอยกันไปก็ไม่มีประโยชน์ โจวลิ่วนีจึงไม่เกรงใจหล่อนอีกต่อไป ย่อมต้องมีโทสะเป็นธรรมดาและก็ด่าอีกฝ่ายไปยกหนึ่ง

หล่อนด่าว่าอีกฝ่ายเป็นคนไร้การอบรมทำกับแม่สามีเหมือนเป็นหมูเป็นหมา ด่าว่าครอบครัวไม่สั่งสอน คิดไม่ถึงว่าจะได้คนแบบนี้มาเป็นลูกสะใภ้ หล่อนที่อยู่บ้านสามียังไม่กล้าอวดดีแบบนี้เลย!

คำพูดที่พ่นออกมาหยาบคายจนหม่าเหมี่ยวเหมี่ยวตบหน้าหล่อน โจวลิ่วนีก็ไม่ใช่คนยอมใครง่าย ๆ จึงทะเลาะตบตีกับอีกฝ่ายขึ้นมาทันที

สุดท้ายหม่าเหมี่ยวเหมี่ยวไม่ทันระวังล้มคะมำรุนแรงจนแท้งลูก

“ตอนนี้ภรรยาของเซี่ยเซี่ยต้องการจะหย่า เธอดูเรื่องวุ่นวายนี้สิ ฉันล่ะไม่มีหน้าไปมองใครแล้ว” สะใภ้ใหญ่โจวพูด

หลินชิงเหอได้ฟังก็เข้าใจ ว่าหล่อนกังวลกลัวว่าถ้าโจวซื่อนีกับเวิงกั๋วต้งกลับไปแล้วจะทำให้เวิงกั๋วต้งเข้าใจผิด

“พวกพี่แยกบ้านกันตั้งนานแล้วนะคะ ตอนนี้พวกเราแค่ใช้นามสกุลเดียวกันก็เท่านั้น เรื่องอะไรอื่นเราไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันแล้ว พี่สะใภ้ใหญ่ไม่ต้องกังวลหรอกค่ะ กั๋วต้งก็ไม่ใช่คนไม่มีเหตุผล ลูกสาวคนที่สามของพี่ไม่ด้อยกว่าลูกสาวสองคนของพี่หรอกนะคะ” หลินชิงเหอพูด

สะใภ้ใหญ่โจวจึงค่อย ๆ คลายความกังวลใจลงมา และพูดขึ้น “ถ้าเขาไม่ว่าอะไรก็ดี ฉันน่ะร้อนใจจนกินข้าวไม่ลงแล้ว”

…………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

มีครอบครัวแม่ยายดี อะไรๆ ก็ราบรื่นล่ะค่ะหู่จือ

ส่วนบ้านรองโจวนี่ก็เละเทะสุด คอนทราสต์กันอย่างเห็นได้ชัดเลย

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

Status: Ongoing

<strong>*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน</strong>

<strong>จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 …</strong>

<strong>ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย</strong>

<strong>ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…</strong>

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท