ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม – บทที่ 611 เจ้าก้อนเล็ก ๆ

บทที่ 611 เจ้าก้อนเล็ก ๆ

บทที่ 611 เจ้าก้อนเล็ก ๆ

พอกินเกี๊ยวกันคนละชามจนอิ่ม โจวข่ายกับเวิงเหม่ยเจี่ยถึงค่อยรู้สึกสบายท้อง

แถมพวกเขานั่งรถมาหลายวันขนาดนี้ ถึงอย่างไรตอนนี้ก็จำเป็นต้องไปอาบน้ำอยู่แล้ว

โจวข่ายเอากระเป๋าเดินทางไปไว้ชั้นสอง ส่วนเวิงเหม่ยเจี่ยหยิบเสื้อผ้าส่วนตัวใส่ไว้ในถุง ก่อนจะขี่จักรยานจากร้านเกี๊ยวไปยังโรงอาบน้ำ

พวกเขาแยกกันไปอาบน้ำจนสบายเนื้อสบายตัว ก่อนจะมาเจอกันที่หน้าประตูทางเข้าและขี่จักรยานกลับบ้านกัน

ทั้งสองไม่ได้ไปร้านเกี๊ยว แต่ตรงกลับอะพาร์ตเมนต์เลย

ตอนนี้โจวเฉวี่ยน โจวชิงไป๋ รวมทั้งหลินชิงเหออยู่ในบ้านกันทุกคน โจวเฉวี่ยนกำลังกดขาให้พ่อของเขาออกกำลังกาย ส่วนหลินชิงเหอก็กำลังทำงานแปลอยู่

งานแปลนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้นตรงที่ต้องเชื่อมรูปประโยคให้สมบูรณ์ แต่เธอก็ทำด้วยความยินดีมากเช่นกัน

พอได้ยินเสียงของเจ้าใหญ่ดังมาจากด้านนอก สีหน้าของหลินชิงเหอพลันสดใสขึ้นมา ไม่พูดไม่จาลุกขึ้นไปเปิดประตูทันที

“ฉันคิดไว้แล้วว่าพวกเธอสองคนน่าจะกลับมาแล้ว” หลินชิงเหอพูดอย่างดีใจ

โจวชิงไป๋ไม่ออกกำลังกายต่อแล้วเช่นกัน ถ้าเพียงลูกชายกลับมาก็คงไม่เป็นไรหรอก แต่นี่ว่าที่ลูกสะใภ้กลับมาด้วย ทำให้เขาต้องระวังเรื่องภาพลักษณ์ตัวเองขึ้นมาบ้าง

ต่อหน้าว่าที่ลูกสะใภ้จะให้เขานั่งบนเสื่อโดยมีเจ้ารองจับขาลุกนั่งแบบนี้ได้อย่างไรล่ะ?

“น้าหลินคะ หุ่นคุณน้าไม่เปลี่ยนไปเลยนะคะเนี่ย” เวิงเหม่ยเจี่ยพูดยิ้ม ๆ

“ก็น้ายกเนื้อให้อาโจวเขากินหมดเลยน่ะสิจ๊ะ” หลินชิงเหอพูดยิ้ม ๆ “พวกเธอสองคนกลับมาตอนไหน แล้วกระเป๋าเดินทางล่ะ?”

“ครึ่งชั่วโมงก่อนพวกผมไปกินข้าวที่ร้านเกี๊ยวกันมาน่ะครับ กินเกี๊ยวเสร็จก็ไปอาบน้ำแล้วก็กลับมานี่” โจวข่ายพูด เขาอดรนทนไม่ไหวที่จะเจอกับน้องสาวของเขาแล้ว “ม้าครับ น้องสาวผมอยู่ในห้องใช่ไหม?”

“จ้ะ” หลินชิงเหอตอบรับ

“ป๊า ผมกลับมาอาบน้ำแล้วนะ ขอผมไปดูน้องสาวได้ไหม” โจวข่ายพูดยิ้ม ๆ แต่เท้ากลับก้าวเข้ามาในห้องแล้ว

โจวชิงไป๋เพียงกลอกตามองเขา

โจวข่ายเข้ามาภายในห้องแล้ว ก็เห็นก้อนเล็ก ๆ อยู่บนเตียงทันที ซึ่งหล่อนยังคงหลับอยู่ โจวข่ายเข้าไปมองใกล้ ๆ พร้อมกับเวิงเหม่ยเจี่ยด้วยอีกคน

“หน้าเหมือนน้าหลินเลยค่ะ” เวิงเหม่ยเจี่ยมองแล้วก็รู้สึกถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านเต็มหัวใจ ใครก็ไม่อาจต้านทานเด็กน้อยคนนี้ได้เลยจริง ๆ

โจวข่ายยิ่งไม่ต้องพูดถึง ถ้าไม่ใช่ว่าหล่อนหลับอยู่ เขาจะต้องอุ้มน้องสาวของตัวเองอย่างแน่นอน

หลังจากดูอยู่สักพักใหญ่พวกเขาถึงค่อยออกมา โจวข่ายพูดกับแม่เขา “ม้าครับ เมื่อต้นปีตอนที่พวกผมเพิ่งกลับมา ม้ายังไม่ได้ท้องเลย พอผมกลับมาคราวนี้ ผมกลับมีน้องสาวโตสามเดือนซะแล้ว”

น้ำเสียงของเขาติดเสียใจเล็กน้อย เขาอดเห็นแม่ของเขาตอนท้องเลยว่าเป็นอย่างไร

“เจ้าสามกับผมแล้วก็ป๊าถ่ายรูปเก็บไว้ไม่น้อย เป็นรูปตอนที่ม้าท้องหมดเลย ถ้าพี่อยากดูก็ไปดูได้ มีอยู่เต็มอัลบั้มเลยล่ะ” โจวเฉวี่ยนพูดยิ้ม ๆ

เขาแกะส้มให้เหม่ยเจี่ย “พี่เหม่ยเจี่ย กินส้มสิครับ” เจ้ารองกับเจ้าสามนั้นแตกต่างกัน เจ้าสามขนาดเรียกพี่สะใภ้ใหญ่ยังเรียกไม่เป็นธรรมชาติเอาเสียเลย แต่นั่นก็เพราะเขาคือเจ้าสาม ซนไปสักหน่อยย่อมไม่มีปัญหา

โจวเฉวี่ยนกลับไม่ใช่แบบนั้น

เวิงเหม่ยเจี่ยยิ้มแล้วรับมา โจวข่ายไปหยิบอัลบั้มมาแล้วดูพร้อมกับเวิงเหม่ยเจี่ย เมื่อเปิดอัลบั้มดูรูปหลินชิงเหอตอนกำลังตั้งท้อง เขาก็พูดออกมาด้วยความรู้สึกหลากหลาย “นี่ถ้าไม่ได้เห็นรูปพวกนี้ ผมคงคิดว่าน้องสาวของผมถูกพวกม้าอุ้มกลับมาเฉย ๆ แล้วนะครับ”

“น้องสาวกับน้าหลินออกจะเหมือนกันขนาดนั้น ดูยังไงเหมือนอุ้มกลับมากันคะ” เวิงเหม่ยเจี่ยยิ้มพูด และพูดอีกว่า “ตอนน้าหลินท้องก็ยังดูดีเหมือนเดิมเลยนะคะ”

“ดูดีตรงไหนจ๊ะ อ้วนจนฉันเองยังจำแทบไม่ได้แล้ว” หลินชิงเหอหัวเราะ

“นอกจากท้องใหญ่กว่าเดิมหน่อย นอกนั้นก็ไม่เปลี่ยนไปเลยค่ะ” เวิงเหม่ยเจี่ยพูด “มองออกเลยว่าตอนท้องคุณน้าก็ยังคงดูแลรักษาหุ่นอยู่สินะคะ”

น้าหลินเป็นคนที่รักษารูปร่างหน้าตาเป็นอย่างดีที่สุดที่หล่อนเคยเจอมาคนหนึ่ง ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันทำให้ดูอ่อนวัยมากอย่างเห็นได้ชัด

“ป๊าอ้วนขึ้นไม่น้อยจริง ๆ” โจวข่ายมองพ่อของเขา

โจวชิงไป๋ไม่สนใจเขา และดูโทรทัศน์ของตัวเองต่อ โจวเฉวี่ยนหัวเราะแล้วพูดว่า “ป๊าเริ่มควบคุมอาหารลดน้ำหนักได้แล้วนะครับ ตอนนี้ถือว่าลดลงมาได้หน่อยแล้ว ก่อนหน้าที่พี่จะกลับมาพี่คงยังไม่เห็นป๊าในตอนนั้น ถ้าให้เดาก็น่าจะน้ำหนักเพิ่มเป็นร้อยกิโลขึ้นได้เลยล่ะ”

โจวข่ายอมยิ้ม ส่วนเวิงเหม่ยเจี่ยก็แอบยิ้มมุมปากด้วยเช่นกัน

“พวกลูกนั่งพักกันก่อน ม้าจะไปตุ๋นไก่ห่อกระเพาะหมูให้” หลินชิงเหอลุกขึ้นยืนแล้วพูด

“เดี๋ยวหนูช่วยน้าหลินเองค่ะ” เวิงเหม่ยเจี่ยพูด

“ไม่ต้องหรอกจ้ะ เธอนั่งพักอยู่ในบ้านเนี่ยแหละ นั่งรถมาตลอดการเดินทางคงจะเหนื่อยแย่แล้ว และอีกอย่างเมนูนี้ฉันทำจนชินแล้ว ไม่ได้เหนื่อยอะไรเลยจ้ะ”

เธอออกมาข้างนอกแล้ว สำหรับลูกสาวนั้นเธอไปเดี๋ยวเดียวคงยังไม่ตื่นหรอก เพราะหล่อนเพิ่งจะนอนไปได้ไม่นานนัก

หลินชิงเหอเดินมาถึงที่ร้านเกี๊ยวแล้ว

โจวกุยหลายพูดด้วยรอยยิ้ม “ผมรู้อยู่แล้วว่าม้าจะต้องมาตุ๋นไก่ห่อกระเพาะ”

“แล้วเอาออกมาละลายน้ำแข็งหรือยังล่ะ?” หลินชิงเหอมองเขาแล้วยิ้ม

“ทำไมจะไม่ทำล่ะครับ พอพี่ใหญ่กลับมาเมนูนี้จะต้องจัดเตรียมเอาไว้ให้พร้อมอยู่แล้ว” โจวกุยหลายพูด

ไก่นั้นเชือดเอาไว้อยู่ก่อนแล้ว และก็เพิ่งเชือดไปเมื่อสองวันก่อนด้วย พอเชือดเสร็จจึงเอามาแช่แข็ง บวกกับอากาศในตอนนี้ก็ทำให้มันยังคงสดอยู่ไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่นิดเดียว

ในเมื่อละลายน้ำแข็งหมดแล้วก็เป็นเรื่องง่ายขึ้น หลินชิงเหอจึงเริ่มสับไก่ทำซุปไก่ห่อกระเพาะแล้ว

“ปีหน้าพี่หู่จือจะแต่งงานแล้ว พี่ใหญ่จะแต่งกันเมื่อไหร่เหรอครับ” โจวกุยหลายพูด

“ดูพวกเขาตกลงกันเองก่อนแล้วกันจ้ะ” หลินชิงเหอทำกับข้าวอยู่ แล้วก็พูดไปด้วย

ขอเพียงเจ้าใหญ่กับเวิงเหม่ยเจี่ยคิดว่าตัวเองพร้อมแล้ว นั้นก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ปีหน้าเวิงกั๋วต่งกับซื่อนีจะแต่งงานกัน คงไม่ดีนักถ้าพี่น้องจะจัดปีเดียวกัน ดังนั้นจัดถัดหลังจากนั้นดีกว่า

“คุณย่าบอกว่าจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยพี่เหม่ยเจี่ยเลย” โจวกุยหลายพูด

“งั้นปีนี้ให้พี่ใหญ่พาเหม่ยเจี่ยไปนั่งคุยกับคุณย่าหน่อยแล้วกันจ้ะ” หลินชิงเหอพูด

อย่างไรก็ควรต้องพาไปนั่งพูดคุยกันอยู่แล้ว ดูจากความสนิทสนมของพวกเขาสองคนในตอนนี้ก็รู้ว่าความรู้สึกของพวกเขาก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่ง

เย็นวันนี้เองเธอพูดกับลูกชายเธออีกครั้ง เพื่อดูว่าพวกเขาพัฒนาไปถึงขั้นไหนแล้ว เรื่องแต่งงานคงไม่ได้เร็วขนาดนั้น แต่สามารถหมั้นไว้ก่อนได้

ยังไงก็ต้องให้สถานะกับฝ่ายหญิงในสาเหตุว่าทำไมถึงสนิทสนมกับเขาเพียงนี้ด้วยไม่ใช่หรือ?

“ตุ๋นรออย่างนี้ไปอีกหนึ่งชั่วโมงนะ” หลินชิงเหอพูดกับเจ้าสาม

“ผมเข้าใจแล้วครับ วางใจได้ ผมเห็นม้าทำหลายครั้งแล้วนะ” โจวกุยหลายตอบ เขากำลังยุ่งอยู่กับการห่อเกี๊ยว ตอนนี้ปิดเทอมแล้วเขาจึงมาทำกิจการของครอบครัว

อีกทั้งต่อไปถ้าเขาอยากจะทำธุรกิจเกี๊ยวโดยการเปิดโรงงานเกี๊ยว เขาก็อยากให้พ่อกับแม่ของเขาเห็นความตั้งใจอันแน่วแน่ของตัวเอง

หลินชิงเหอส่งให้เจ้าสามทำต่อ เธอเก็บกวาดสถานที่ก่อนเล็กน้อยแล้วจึงกลับบ้าน

โจวเฉวี่ยนกำลังเล่าเรื่องที่เซี่ยงไฮ้ให้พี่ใหญ่ฟัง ว่ายังมีญาติบุญธรรมด้วยอีกครอบครัวหนึ่ง

หลินชิงเหอเข้ามาแล้วได้ยินเรื่องนี้ก็พูด “เสี่ยวเกิงอยากมาฉลองปีใหม่ที่นี่ด้วยนะ บอกว่ายังไม่เคยเจอพี่ชายใหญ่ตัวจริงเลย”

“งั้นทำไมไม่มาล่ะครับ” โจวข่ายพูด

“แม่เขาไม่ให้มาน่ะสิ” หลินชิงเหอพูด “แต่ว่าปิดเทอมฤดูร้อนปีหน้าเขาน่าจะมานะ”

จากนั้นหลินชิงเหอก็หันไปมองว่าที่ลูกสะใภ้ “เหม่ยเจี่ยจ๊ะ เข้าไปพักในห้องก่อนสักพักดีไหม?”

“ยังไม่เหนื่อยหรอกค่ะ หนูนอนบนรถไฟไปแล้วตื่นหนึ่ง” เวิงเหม่ยเจี่ยพูดยิ้ม ๆ

…………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

มี่มี่ตอนนอนน่าจะน่ารักมา ขดเป็นเจ้าก้อนน้อยของพี่ใหญ่เชียวลูก

เอาล่ะ ได้เวลาเปิดตัวเหม่ยเจี่ยกับบ้านย่าแล้วค่ะ สองแม่เฒ่าข้างบ้านนั่นจะได้เลิกตอแยเด็ดขาดเสียที

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

Status: Ongoing

<strong>*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน</strong>

<strong>จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 …</strong>

<strong>ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย</strong>

<strong>ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…</strong>

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท