ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม – บทที่ 643 มีชีวิตที่อยู่ดีกินดี

บทที่ 643 มีชีวิตที่อยู่ดีกินดี

บทที่ 643 มีชีวิตที่อยู่ดีกินดี

เมื่อเห็นอย่างนั้น ผู้เฒ่าเจียงกับยายเฒ่าเจียงก็พากันเอ่ยชมไม่หยุดปาก

“บ้านใหญ่ระดับนี้เกรงว่าจะราคาไม่น้อยเลยใช่ไหมคะ?” เซวียเหม่ยลี่ลดเสียงลงต่ำ

หลินชิงเหอหัวเราะ เธอไม่ได้พูดราคาอย่างเป็นรูปธรรม เพียงแค่พยักหน้า

บ้านสองวงระดับนี้ ต่อให้มีเงินห้าแสนก็ซื้อไม่ได้แม้ว่าตอนนี้จะเป็นเพียงปี 88 ก็ตาม

หากซื้อเฉพาะตัวเรือนวงที่สอง มันก็จะมีมูลค่าถึง 300,000 หยวน ไม่ต้องพูดถึงเรือนสี่ประสานเต็มวงอันกว้างขวางและน่าอยู่แบบนี้เลย ราคาของมันจะต้องอยู่ในระดับที่ไม่สามารถเอื้อมถึงอย่างแน่นอน

อย่างน้อยหลายปีมานี้แม้ว่าหลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋จะซื้อบ้านหลังอื่นจำนวนหนึ่ง แต่ก็ไม่สามารถเทียบเท่าเรือนสี่ประสานสองวงนี้ได้ ซึ่งบ้านเหล่านั้นกลายเป็นของธรรมดาไปเลย

เรือนสี่ประสานแบบนี้ยากมากที่จะพบเห็นมัน

เซวียเหม่ยลี่พูดด้วยรอยยิ้ม “ถึงว่าทำไมเสี่ยวเกิงถึงไม่อยากกลับบ้านแล้ว ที่แท้เขาก็ได้อยู่บ้านใหญ่แบบนี้นี่เอง ถ้าเปลี่ยนเป็นฉัน ฉันก็ไม่อยากกลับเหมือนกัน”

“ฉันต้องดูแลคุณเหม่ยลี่แล้วก็เหล่าเจียงกับเสี่ยวอวี๋อยู่แล้วค่ะ แต่ฉันคงไม่กล้าให้เธออยู่ที่นี่นานได้ ไม่อย่างนั้นเหล่าเจียงได้พาลูกสาวมาจัดการฉันที่นี่แน่ แต่คุณลุงคุณป้าจะรีบกลับไปเลยก็ได้ หรือจะอยู่ที่นี่นานหน่อยก็ไม่เป็นไรเหมือนกัน” หลินชิงเหอพูด

หลังจากเดินเล่นชมบ้านเสร็จแล้วพวกเธอก็กลับมากินข้าวเช้า มีโจ๊กกระดูกหมูเม็ดบัว ซาลาเปา และก็น้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ อยากกินอะไรก็เลือกเองได้เลย

โจวกุยหลายเองก็ล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้ว อุ้มน้องสาวของเขามากินอาหารเช้าด้วยกัน

หลังจากกินเสร็จ แต่ละคนก็แยกย้ายไปทำธุระของตัวเอง หลินชิงเหอให้เจ้าสามขับรถพาเซวียเหม่ยลี่และผู้เฒ่าทั้งสองไปเที่ยวเล่น ส่วนเธอก็อยู่ที่บ้านทำงานแปลต้นฉบับที่ได้รับมาล่าสุด เธอไม่อยากเอามันไปด้วยตอนลงใต้ ซึ่งเธอไปที่นั่นถึงครึ่งเดือน ก็ควรต้องนำต้นฉบับไปส่งก่อนจึงจะได้ไม่ล่าช้า

ให้เจ้าสามรับแขกไปย่อมไม่มีปัญหาอะไรแน่นอน

ทั้งเช้าวันนั้นเจ้าสามก็พาเซวียเหม่ยลี่กับผู้เฒ่าทั้งสองไปเอ้อระเหยรอบหนึ่ง

เซวียเหม่ยลี่ไม่เคยมาปักกิ่งมาก่อน ส่วนตาเฒ่าและยายเฒ่าเจียงเคยมาเมื่อ 2 ปีก่อนแล้ว แต่ 2 ปีมานี้ปักกิ่งพัฒนาอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนแปลงไปก็มาก

หลังเสร็จจากการเดินเที่ยวแล้ว เซวียเหม่ยลี่ก็มาหาหลินชิงเหอ ส่วนผู้เฒ่าเจียงและยายเฒ่าเจียงก็แวะไปบ้านของท่านพ่อท่านแม่โจวเสียหน่อย

คนแก่อย่างพวกเขานั้นมีเรื่องให้พูดเยอะเชียวล่ะ

เมื่อท่านแม่โจวเห็นว่าเป็นพวกเขามาหาก็ดีใจมาก “ครั้งก่อนมาไม่กี่วันก็กลับแล้ว เพราะว่าเจ้าสี่อยู่ที่นั่นฉันเลยไม่ได้ห้ามพวกคุณ มาคราวนี้ก็อยู่นาน ๆ หน่อยสิคะ เรือนสี่ประสานนั่นกว้างขว้างมากอยู่ได้สบายเชียว”

“พี่สาวนี่ดูเด็กกว่าเมื่อ 2 ปีที่แล้วอีกนะคะ พลังงานแบบนี้ฉันเห็นแล้วก็อิจฉาค่ะ” ยายเฒ่าเจียงประคองมือของนางแล้วยิ้มพูด

ท่านแม่โจวรู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองยิ่งนานวันยิ่งเด็กลงเช่นกัน นี่ต้องยกความดีความชอบให้กับการไปรำพัดที่สวนสาธารณะทุกเช้า แล้วก็เรียนร้องงิ้วต่าง ๆ ถ้าไม่ได้ทำแบบนี้นางจะยิ่งเด็กลงไหมนะ?

ผู้เฒ่าเจียงก็ไปนั่งเล่นหมากรุกกับท่านพ่อโจวแล้ว ผู้เฒ่าหวังก็นั่งดูอยู่ข้าง ๆ อยู่ที่นี่พูดคุยอย่างมีความสุข ตอนเที่ยงก็ไม่ได้ไปกินข้าวที่เรือนสี่ประสาน แต่กินข้าวเสียที่นี่เลย

ส่วนที่เรือนสี่ประสานนั้น เซวียเหม่ยลี่ยิ้มและพูดว่า “พวกคุณมีคนอยู่ที่นี่เยอะ คึกคักดีนะคะ ไม่เหมือนกับพวกฉันที่โน้น ที่อยู่ห่างกับบ้านคุณปู่ของเสี่ยวเกิง ส่วนมากก็ได้เจอกันวันเทศกาลต่าง ๆ วันปกติน้อยมากที่จะเดินไปหา”

“เมื่อก่อนที่อะพาร์ตเมนต์ตรงนั้นน่ะคึกคักสุดค่ะ ตอนนั้นยังเป็นเด็กสาวเด็กหนุ่มยังไม่ได้แต่งงาน มาตอนนี้เงียบยิ่งกว่าเมื่อก่อนอีกค่ะ แต่ละคนต่างก็แต่งงานมีชีวิตเป็นของตัวเองแล้ว” หลินชิงเหอพูด

“นั่นก็ควรต้องเป็นอย่างนั้น นกพอเติบใหญ่ก็ต้องออกจากรัง ใช้ชีวิตได้ด้วยตัวเองได้ด็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลแล้ว” เซวียเหม่ยลี่พูด

หลินชิงเหอยิ้ม “ในที่สุดคุณก็เข้าใจแล้วสินะคะ ก่อนหน้านี้ยังทำใจจากเสี่ยวเกิงไม่ได้อยู่เลย”

เซวียเหม่ยลี่พูดอย่างเกรงใจ “ก็เขาอยู่กับฉันตั้งแต่เล็กนี่ค่ะ เมื่อก่อนฉันถึงทำใจจากเสี่ยวเกิงไม่ได้”

“เป็นเรื่องปกติค่ะ” หลินชิงเหอพยักหน้าพูด

เหมือนกับที่เธอก็ทำใจปล่อยให้เจ้าใหญ่เข้าโรงเรียนทหารเมื่อตอนนั้น เธอก็เฝ้ารอให้เขาโทรหาเหมือนกันไม่ใช่หรือ แม้จะไม่ได้ขัดขวางความคิดของเขาก็ตาม

“แต่ตอนนี้เห็นเขาเป็นแบบนี้แล้ว ฉันก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลแล้วล่ะค่ะ ขอแค่เขาอย่าก่อเรื่องเป็นพอ” เซวียเหม่ยลี่ยิ้มพูด

หลังจากลูกชายเธอเข้ามหาวิทยาลัยก็ดูจะโตขึ้นไม่น้อย สามีของเธอยังพูดว่าเขามาที่นี่มีพี่ชายบุญธรรมอยู่ด้วยสองถึงสามคน และการมาอยู่ที่นี่ก็ทำให้เขาต้องรับผิดชอบอะไรมากขึ้น มันทำให้เขาดูมีความองอาจสมชายชาตรีมากขึ้น

อีกทั้งเขายังสดใสร่าเริงมากขึ้นเยอะ เรียกได้ว่าครอบครัวบุญธรรมนี้หล่อหลอมบุตรของพวกเธอออกมาได้เหนือความคาดหมายของพวกเธอมาก

เมื่อก่อนนิสัยของเขาจะค่อนข้างดื้อ ค่อนข้างซน หล่อนหรือก็กลัวว่าเขาจะเดินเส้นทางผิด แต่ว่าตอนนี้หล่อนไม่กังวลอีกแล้ว

หลินชิงเหอทำให้หล่อนวางใจ ลูกชายของหล่อนทำตัวดีขึ้นมาก ต่อไปจะต้องมีอนาคตอย่างแน่นอน

เจียงเกิงโตขึ้นมาก หล่อนไม่ต้องกังวลเรื่องนี้แล้วจริง ๆ เดิมทีสถานะทางครอบครัวเธอก็ไม่ได้ลำบากอะไร การมาอยู่ที่นี่ทำให้เขาได้รับผลกระทบจากสภาพแวดล้อมครอบครัวของอีกฝ่าย นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงข้อเสียใดอีกเลย

หลังจากกินข้าวเที่ยงเสร็จแล้ว หลินชิงเหอก็พูดว่า “ตอนเย็นฉันกะจะไปแช่น้ำร้อน นั่นเป็นการผ่อนคลายที่ดีเชียวล่ะค่ะ”

“เปลืองเงินเกินไปแล้วค่ะ” แม้เซวียเหม่ยลี่จะยังไม่เคยไปแช่น้ำพุร้อน แต่หล่อนก็รู้ว่ามันไม่ใช่ถูก ๆ อย่างแน่นอน

“ฉันยังไปกับน้องสาวสามี แล้วก็ว่าที่ครอบครัวในอนาคตฉันด้วยค่ะ ไม่ได้มีแค่คุณ” หลินชิงเหอพูด

เซวียเหม่ยลี่ยิ้มพูด “ฉันเคยได้ยินตอนเสี่ยวเกิงกลับบ้านตอนปีใหม่ เขาบอกว่าเขาไปด้วยกันกับพี่รองและพี่ชายสาม สบายสุด ๆ”

“เดี๋ยวอีกสักพักคุณจะรู้เองค่ะ ดีต่อผิวพรรณทีเดียว” หลินชิงเหอพูด

หลังจากนั้นหัวข้อก็เปลี่ยนเป็นเรื่องความสวยความงาม เวลาผู้หญิงคุยเรื่องนี้ล้วนไม่เคยจะหมดเรื่องให้พูด เซวียเหม่ยลี่อายุน้อยกว่าหลินชิงเหอ 7-8 ปี แต่สภาพผิวพรรณของหล่อนกลับเทียบหลินชิงเหอไม่ได้ นี่คือความแตกต่างของคนที่บำรุงผิวอยู่ทุกวันกับไม่บำรุงเลยนั่นเอง

โจวชิงไป๋ยืนฟังอยู่ข้าง ๆ ก็ไม่มีอะไรจะพูด เรื่องพวกนี้มีอะไรให้พูดนักหนา?

“คุณยังไม่รู้ตัวอีกเหรอคะ? ปกติฉันจะทาครีมให้คุณทีไรคุณก็ทำเป็นรังเกียจเสียทุกที คุณไม่รู้หรือว่าหน้าของคุณน่ะดูเด็กกว่าคนอายุเท่ากันตั้งเท่าไหร่?” หลินชิงเหอมองท่าทางของเขาแล้วก็พูด

“คำพูดนี้ไม่ผิดเลยค่ะ เหล่าโจวถ้าไม่รู้อายุจริง ๆ ล่ะก็ฉันก็นึกว่าเขาอายุ 30 กว่า ยังไม่เข้าเลขสี่ด้วยซ้ำ” เซวียเหม่ยลี่พูด

โจวชิงไป๋ดูแลรูปร่างได้ดีมาก ไม่ใช่ร่างเจ้าเนื้ออย่างเมื่อก่อนแล้ว ตอนนี้เขาไม่อ้วนและก็ไม่ผอม และเขาวิ่งหรือเล่นบาสเกตบอลอยู่ทุกวันอย่างต่อเนื่อง ฤดูร้อนเขายังเพิ่มกีฬาว่ายน้ำเข้าไปด้วยอีกหนึ่งอย่าง

ปกติหลินชิงเหอจะมาส์กหน้าให้เขา มีอยู่หลายครั้งที่โจวชิงไป๋ไม่ยินดีเลยสักนิด นี่มันดูผู้หญิงเกินไปแล้ว แต่พอเห็นว่าภรรยาอาจจะทิ้งเขาได้ ดังนั้นในบางครั้งเขาจึงเต็มใจให้เธอเอาแตงกวามาแปะที่หน้า

แต่ต้องบอกว่าคุณภาพผิวของผู้ชายเธอจากที่ดีมากอยู่แล้ว บวกกับตอนนี้เขาได้อยู่ดีกินดีและอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี มันก็ทำให้ชายอายุ 40 กว่าดูไม่แก่ลงเลย กลับยิ่งส่งเสริมกลิ่นอายบุรุษเพศขึ้นไปอีก

จนถึงตอนนี้หลินชิงเหอก็ถูกเขาทำให้หลงมั่วเมาอยู่เลยในบางครั้ง

มุมปากโจวชิงไป๋ยกขึ้น แต่กลับไม่ได้พูดอะไร

หลินชิงเหอพูดคุยกับเซวียเหม่ยลี่ต่อ ที่นี่ยังดีกว่าหน่อย หากกลับไปบ้านเกิดล่ะก็ น้องชายเธอยังดูแก่กว่าเธอเลยด้วยซ้ำ ซึ่งมันก็ไม่มีทางเลือกนี่นะ แม้ว่าตอนนี้ชีวิตความเป็นอยู่จะดีขึ้นแล้ว แต่ทุก ๆ วันเขาต้องไปรับส่งสินค้า ก็ต้องตากแดดตากลมอยู่เสมอ เรื่องนี้จึงไม่สามารถเทียบกันได้

แต่ถ้าจะบอกว่าใครที่ดูแก่ลงอย่างเห็นได้ชัดที่สุด ในบรรดาพี่น้องก็ยังคงเป็นพี่ชายรองโจว

……………………………………………………………………………………………………………………………

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

Status: Ongoing

<strong>*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน</strong>

<strong>จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 …</strong>

<strong>ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย</strong>

<strong>ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…</strong>

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท