เจาะเวลาสู่ต้าถัง – ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน ตอนที่ 15 พิธีที่ยิ่งใหญ่ (สอง)

ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน ตอนที่ 15 พิธีที่ยิ่งใหญ่ (สอง)

หลังจากที่เห็นชายเฒ่าตระกูลเหลียงน้ำลายฟูมปากแล้วล้มลง อวิ๋นเยี่ยอดไม่ได้ที่จะถามจั่งซุนอู๋จี้ว่า “ท่านลุงจั่งซุน ฝ่าบาทให้คนแก่และเด็กๆ เหล่านี้ไปเดินอยู่กลางแดดทำไมกัน”

จั่งซุนดึงผักตบชวาออกมาจากที่คาดเอว บีบหยดน้ำใส่ปากเล็กน้อย เอามาลูบไปบนเคราของเขาแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “นี่คือพิธีที่ยิ่งใหญ่ เป็นการเลียนแบบการเดินของฮ่องเต้หวงตี้ในสมัยนั้น เป็นฉากที่แสดงถึงการเดินทางหลายหมื่นก้าวไปสู่การปกครองราชสำนัก ด้านหน้ามีมังกรมีปีกคอยเปิดทางให้ ด้านหลังมีราชครูทำพิธีเรียกฝน ด้านซ้ายมีเทพสายลม ด้านขวามีเทพเกราะทอง ราษฎรเดินตามเป็นขบวน ยิ่งใหญ่อลังการ พิธีนี้เป็นพิธีที่เขาเรียกกันว่าพิธีศักดิ์สิทธิ์”

ไม่อยากฟังคำพูดที่ไม่แน่นอนของจั่งซุนต่ออีก หากฟังต่อไป เขาก็จะต้องตกหลุมพรางอย่างแน่นอน มองเห็นชายแข็งแกร่งที่อยู่ข้างหน้าถือหัวมังกรที่สานด้วยไม้ไผ่ ด้านหลังเป็นส่วนร่างของมังกร แล้วยังมีอีกสองคนที่ถือปีกสองข้าง เดินไปด้วยเต้นรำไปด้วย ทำเอาฝุ่นตลบเต็มไปหมด นี่คือมังกรมีปีกที่เรียกว่าอิงหลงเช่นนั้นหรือ คนที่สวมใส่หน้ากากสีดำเดินโปรยน้ำอยู่ข้างหลังคือราชครูเรียกฝนเช่นนั้นหรือ จริงๆ เลย อย่างน้อยเจ้าก็ควรเดินอยู่ข้างหลังอิงหลงเพื่อพรมน้ำไม่ให้เกิดฝุ่นสิ

คนทางซ้ายที่ใส่หน้ากากแยกเขี้ยวแลบลิ้นคือเทพสายลมหรือ ไม่เห็นจะมีประโยชน์อะไรเลย อากาศร้อนขนาดนี้ไม่เห็นมีลมเลยแม้แต่นิดเดียว เทพสายลมช่างบกพร่องในหน้าที่เสียจริง เทพเกราะทองคำยังพอดูมีสง่าราศีอยู่บ้าง เดินอยู่บนไม้ค้ำถ่อ ลำตัวสูงกว่าสองเมตร สวมหัวเสือดาวดวงตากลมโต ถือขวานอันใหญ่ไว้ในมือ กะขนาดจากสายตาแล้วหากหนักไม่ถึงห้าร้อยกิโลกรัมคงไม่เอามาถือไว้เช่นนี้ แต่ดูๆ ไปแล้ว เห็นเขาโบกขวานไปมาได้ง่ายๆ มันคงจะไม่หนักเสียเท่าไหร่หรอก เข้าใจได้ว่านี่ก็คงเหมือนกับค้อนที่สหายของซ่านอิงใช้ ข้างในกลวงโบ๋ไม่มีอะไรเลย

“ท่านลุงจั่งซุน เมื่อเปรียบเทียบกับพวกเขาแล้วพวกเราก็เป็นเพียงแค่ทหารทั่วไป แน่นอนว่าในเวลานี้ฝ่าบาทก็คือฮ่องเต้หวงตี้ แต่ไม่รู้ว่าฮองเฮาจะเต็มใจเป็นพระสนมหมัวหมู่ที่หน้าตาอัปลักษณ์หรือไม่”

จั่งซุนอู๋จี้หุบพัดแล้วเคาะลงบนหัวของอวิ๋นเยี่ยแรงๆ หนึ่งที “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไรกัน เจ้าควรถูกติที่เอาผู้อาวุโสมาล้อเล่น ถามอะไรไร้สาระ พระมเหสีของหวงตี้คือเหลยจู่ หมัวหมู่เป็นเพียงแค่พระสนม จำไว้ให้ดีล่ะ”

“ท่านลุงจั่งซุนพูดถูก ว่าแต่ทำไมเราไม่เลือกเดินขบวนในช่วงที่อากาศเย็นสบายล่ะ ทำไมต้องเลือกช่วงเวลาที่ร้อนที่สุด หากช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่หยวนเทียนกังเป็นคนเลือก ข้าจะไม่ปล่อยเขาไว้แน่”

“เจ้าคิดผิดแล้ว สำนักเต๋าไม่ได้เป็นคนเลือกเดินขบวนในช่วงเวลานี้ แต่เป็นสิ่งที่สืบทอดมานานนับพันปีต่างหาก แต่ไหนแต่ไรมาวันที่เก้าเดือนเก้าเป็นวันที่พลังแห่งดวงอาทิตย์อุดมสมบูรณ์มากที่สุด สามารถขจัดปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายได้ทั้งหมด เพราะเหตุนี้จึงได้เลือกเอาวันนี้ ใช่ว่ามีใครตั้งใจจะทรมานใคร ตอนนี้มีหลายแว่นแคว้นเดินทางมาเพื่อกราบไหว้เคารพบูชา ซึ่งถือเป็นฤกษ์งามยามดีของประเทศ ฝ่าบาทต้องการบวงสรวงสวรรค์ และประสงค์ที่จะพบบรรพบุรุษหวงตี้ นี่คือส่วนหนึ่งของพิธีกรรมนี้ ไอ้หนุ่มทนเอาหน่อยนะ อย่างไรก็ต้องเดินกลับมาอีกครั้งจึงจะเสร็จพิธีได้”

สำหรับอวิ๋นเยี่ยที่ไม่มีความรู้เรื่องพิธีโบราณเลย ข่าวนี้ถือเป็นสิ่งที่ทำให้เขาตกใจเป็นอย่างมาก สามสิบลี้นี้หมายถึงระยะทางที่เป็นเส้นตรงบนแผนที่ ไม่ใช่เส้นทางคดเคี้ยว หากระยะทางจริงไม่น้อยกว่าห้าสิบลี้อวิ๋นเยี่ยก็คงเลือดตาแทบกระเด็น ระยะทางไปกลับรวมทั้งหมดแล้วคงถึงหนึ่งร้อยลี้ ไม่มีอาหารให้กิน เช่นนี้อาจทำให้คนตายได้ ตัวเองยังพอทนไหว แต่ท่านย่าจะทนได้อย่างไร เมื่อครู่ที่ชายเฒ่าตระกูลเหลียงเป็นลมล้มไปก็ทำได้เพียงให้หลานชายแบกไว้ คาดว่าเมื่อถึงภูเขาหนานซันก็เอาชายเฒ่าลงหลุมได้เลย

“ท่านลุงจั่งซุน ท่านดูท่าทางของชายเฒ่าตระกูลเหลียงสิ หากเป็นถึงเช่นนี้แล้วยังไม่รักษา คาดว่าเขาคงไม่รอดไปถึงภูเขาหนานซัน หากเป็นลมแดดจะลำบากเอา หากขาดน้ำก็จะแย่เข้าไปใหญ่”

จั่งซุนเหลือบมองผู้เฒ่าเหลียงแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “พิธีนี้ยิ่งใหญ่เท่าฟ้า ยิ่งไปกว่านั้นพิธีที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ต่อให้จะตายก็ต้องเคารพกฎ เจ้าไม่เห็นหรือว่าขุนนางกรมพิธีกรรมแทบไม่กะพริบตาเลย”

อวิ๋นเยี่ยรู้สึกว่าไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ฮ่องเต้คงคำนวณเรื่องการสูญเสียไว้แล้ว เขาโหดร้ายพอที่จะให้ลูกสาววัยสิบเอ็ดปีของตัวเองมาร่วมเดินขบวนหนึ่งร้อยลี้ด้วยก็พอจะรู้ได้ว่าเขาเห็นเกียรติของพิธีสำคัญกว่าชีวิต

เกาหยางมักจะเดินสะเปะสะปะไปมาอยู่ข้างหน้าอวิ๋นเยี่ย แบกถังไม้เล็กๆ อยู่สองถัง ดูเหมือนว่านางจะหวังให้อวิ๋นเยี่ยโยนนางขึ้นไปบนรถม้าของรัชทายาท แต่ว่าอวิ๋นเยี่ยเอาแต่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ดังนั้นสาวน้อยจึงทำได้เพียงส่งสายตาแดงก่ำ นางไม่กล้าปีนขึ้นไปเอง แต่ก็ไม่มีใครยอมเป็นแพะรับบาป

อวิ๋นเยี่ยแอบมองดูปฏิกิริยาของคนโง่ที่อยู่ข้างหลังเขาอย่างเงียบๆ หากเขายังไม่คิดจะทำอะไร อวิ๋นเยี่ยก็คงต้องลงมือเอง เกาหยางเริ่มจะทนไม่ไหวแล้ว

ในที่สุดเจ้าเด็กนั่นก็กัดฟันแล้วรับสัมภาระจากเกาหยางไป อุ้มเกาหยางขึ้นมาแล้ววางนางไว้ที่ข้างหลังรถม้า ตัวเองถือของขวัญของเกาหยางแล้วเดินต่อ

อวิ๋นเยี่ยผิวปากใส่เกาหยางที่กำลังร้องไห้ ทำให้มีคนมองตาขวางใส่ ฝางเสวียนหลิงตบไปที่ท้ายทอยของลูกชาย เขาจึงไม่ได้พูดอะไรต่ออีก

“เจ้าเด็กโง่ เจ้าดูฟางอี๋อ้ายไว้ เขายังรู้จักอุ้มภรรยาในอนาคตขึ้นไปบนรถ เจ้าลองมองดูฉางเล่อ เด็กคนนั้นร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เล็ก ตอนนี้ต้องมาเดินขบวน เจ้าไม่รู้สึกปวดใจหรือ”

“คนเลว เจ้าตั้งใจแกล้งข้า คราวที่แล้วที่หอเอี้ยนไหลโหลวข้าก็แค่โยนความผิดให้เจ้า ช่างใจแคบเสียจริง เจ้าเองก็ขายสหายอย่างพวกเราน้อยเสียเมื่อไหร่ แน่นอนว่าข้าต้องเป็นห่วงภรรยาข้า แต่เจ้าดูสิ บนตัวข้าไม่มีที่ว่างแล้ว เกาหยางกลับให้หลานหลิงขึ้นรถม้าได้เพราะว่ายังเป็นเด็ก แต่ฉางเล่ออายุสิบเจ็ดปีแล้ว จะเสียมารยาทไม่ได้”

แน่นอนว่าอย่างไรก็มีวิธี อวิ๋นเยี่ยช่วยจั่งซุนชงจัดแต่งสัมภาระสักหน่อย จากนั้นก็เอาข้าวของของฟางอี๋อ้ายคืนให้เขา ในเมื่อบรรลุเป้าหมายแล้วก็ไม่จำเป็นต้องไปยุ่งกับเจ้าคนโง่คนนี้ รับสัมภาระของฉางเล่อมา เอาไปไว้กับสัมภาระของจั่งซุนชง ไม่รู้ว่าฉางเล่อโง่หรือว่าอะไร ในสัมภาระเต็มไปด้วยเนยแข็ง ของสิ่งนี้หนักเอาการ อวิ๋นเยี่ยหอบมาเจ็ดแปดชิ้น ส่วนที่เหลือก็ใส่กลับเข้าไปทั้งหมด มองดูจั่งซุนชงออกแรงอย่างหนัก จึงพยักหน้าอย่างพอใจ

ฉางเล่อถูกผู้หญิงและเด็กๆ ล้อบอกว่าอิจฉานางที่มีคนเป็นห่วงใย ฉางเล่ออายจนแทบจะมุดหัวเข้าไปในเสื้อ จั่งซุนชงก้าวไปข้างหน้าด้วยความกระตือรือร้น เมื่อเดินไปได้สักพักก็หันมาถามอวิ๋นเยี่ยว่า “เหตุใดมือเจ้ายังว่างอยู่”

อวิ๋นเยี่ยไม่มีอารมณ์จะตอบคำถามโง่ๆ ของจั่งซุนชง เดินไปที่ข้างหลังขบวนแล้วขอกระเป๋าหนังแกะสองใบจากราชครูเรียกฝน ใช้ปิ่นปักผมเจาะรูเล็กๆ ด้านบน แล้วมัดถุงน้ำไว้บนหัวของชายเฒ่าตระกูลเหลียง มีน้ำลดอุณหภูมิให้เขาเช่นนี้ ไม่แน่เขาอาจรอดไปถึงภูเขาหนานซันได้

ในที่สุดก็มาถึงภูเขาหนานซัน มีร่มเงาบ้างเล็กน้อย ที่ด้านหน้ามีขุนนางกรมพิธีกรรมเดินตรวจตรา คอยตะโกนอยู่เสมอว่าต้องเคารพและให้เกียรติพิธี จะต้องเดินต่อไปให้ถึงจุดบวงสรวงสวรรค์โดยไม่หยุดพัก

หลี่ไท่แบกสัมภาระเดินมาด้วยท่าทางสบายๆ สัมภาระนั้นดูเหมือนว่าจะไร้น้ำหนัก เมื่อออกเดินทางขุนนางกรมพิธีกรรมจะชั่งน้ำหนักก่อน สัมภาระห้ามเบาเกินสิบห้ากิโลกรัม ผู้หญิงและเด็กลดลงได้ครึ่งหนึ่ง อวิ๋นเยี่ยไม่เชื่อว่าขุนนางหัวโบราณเหล่านั้นจะปล่อยหลี่ไท่ไปแล้วช่วยอำนวยความสะดวกให้เขา

ลองใช้มือถือสัมภาระของเขาเพื่อวัดน้ำหนัก น่าแปลก ตราประทับสีแดงด้านบนยังอยู่ดี แต่ว่าสัมภาระเบามาก แทบจะไม่มีน้ำหนัก เทียบไม่ได้กับหลี่เค่อที่ยืนเหงื่อตกอยู่ข้างๆ

“ชิงเชวี่ย เจ้าติดสินบนขุนนางให้เขาหยวนให้เจ้าอย่างนั้นหรือ” อวิ๋นเยี่ยมองดูรอบๆ ไม่กล้าพูดเสียงดัง

“ข้าต้องติดสินบนพวกเขาด้วยหรือ ข้าไม่จำเป็นต้องทำเรื่องขายหน้าเช่นนั้น ข้าได้สืบหาข้อมูลมานานแล้วเกี่ยวกับเรื่องพิธีที่ศักดิ์สิทธิ์นี้ ดังนั้นข้าเลยตั้งใจจะถวายไข่มุกสิบเม็ด ข้าตั้งใจแช่ไข่มุกไว้ในน้ำแข็งโดยเฉพาะ เพื่อให้คงความสวยงาม เมื่อเพิ่มน้ำหนักของน้ำแข็งก็เกินสิบห้ากิโลกรัมแล้ว ส่วนเรื่องที่น้ำแข็งละลายระหว่างเดินทางมันก็ไม่เกี่ยวกับข้า ใครกันที่จะทำให้น้ำแข็งไม่ละลายภายใต้แสงแดดเจิดจ้านี้ได้”

การกระทำของหลี่ไท่ในตอนนี้ทำเอาอวิ๋นเยี่ยพูดไม่ออก วิธีที่ดีเช่นนี้เขาคิดออกมาเองได้อย่างไร ส่วนข้า ยังนับเม็ดข้าวโพดก่อนใส่ลงไปด้วย แค่คิดก็ขายหน้าแล้ว

หลี่ไท่ยังช่วยพวกน้องๆ แบกสัมภาระบ้างเล็กน้อย คนที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะก็ถูกเขาโยนขึ้นรถของรัชทายาทไป องค์รัชทายาทหลี่เฉิงเฉียนมองน้องชายด้วยความซาบซึ้ง การทำเช่นนี้ทำให้เขาคลายความรู้สึกผิดลงไปโดยสิ้นเชิง หยิบห่อขนมออกมาจากเสื้อส่งให้กับหลี่ไท่ หลี่ไท่รับมาแล้วเปิดดู แต่ก็ถูกอวิ๋นเยี่ยหยิบไปครึ่งหนึ่ง หลี่เค่อก็คว้าไปอีกหนึ่งชิ้น ขณะที่กำลังเคี้ยวอยู่ก็พบว่าขุนนางกรมพิธีกรรมกำลังเดินมาจึงต้องรีบหุบปากทันที ทำแก้มป่องหันหน้ารับแสงอาทิตย์

อวิ๋นเยี่ยและหลี่ไท่ถูกขุนนางกรมพิธีกรรมตำหนิอย่างรุนแรงอีกครั้ง เศษขนมตรงมุมปากทำให้ดูไม่น่ามอง ไม่มีท่าทีของชนชั้นสูงที่อกผายไหล่ผึ่ง เห็นว่ารถม้าของหลี่เฉิงเฉียนเต็มไปด้วยเด็กๆ กำลังจะตำหนิแต่ก็ถูกหลี่เฉิงเฉียนมองด้วยสายตาเ**้ยมโหดราวกับหมาป่า เขาเคยเข้าร่วมสนามรบ ทำให้ดูมีรังสีอำมหิตอยู่บ้าง

ขุนนางกรมพิธีกรรมต้องฝืนใจปล่อยไป หันกลับมาแล้วตำหนิหลี่ไท่และอวิ๋นเยี่ยอีกครั้งเพื่อรักษาความเคร่งครัดของตัวเองแล้วจึงหันหลังจากไป หลี่เค่อใช้น้ำลายทำให้ขนมนิ่มแล้วกลืนลงไปอย่างยากลำบาก หันไปพูดกับหลี่ไท่และอวิ๋นเยี่ยว่า “ข้าเป็นถึงฉู่อ๋องเชียนสุ้ยผู้สง่างาม แต่ตอนนี้ต้องขโมยกินขนมอย่างกับโจร เมื่อครู่ข้าตกใจจนหัวใจเต้นแรงด้วยซ้ำ”

อวิ๋นเยี่ยหยิบผงกำมะถันแดงออกมาจากแขนเสื้อแล้วโยนทิ้ง ถึงแม้ว่ากระเป๋าจะสวยมาก แต่เพื่อชีวิตของตัวเองแล้วจึงต้องโยนทิ้งไป กลิ่นแบบนั้นอย่าว่าแต่งูและแมลงไม่กล้าเข้าใกล้ แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่กล้าเลย

“อวิ๋นเยี่ย ผู้หญิงที่เจ้าพามาจากหอนางโลม ทำเอาข้าลำบากเป็นอย่างมาก ตอนนี้ก็เร่งเร้าให้ข้าปรับตารางความหนาแน่นให้สมบูรณ์ เจ้าช่วยบอกนางทีว่า สิ่งนี้ต้องใช้เวลาพอๆ กับขัดหินอ่อน ใช่ว่าวันสองวันจะทำสำเร็จได้ เรื่องดินปืนข้าก็ยังต้องพัฒนา เรื่องเครื่องปั่นฝ้ายข้าก็ต้องเตรียมพร้อม เสด็จพ่อจะใช้หลังจากพิธีอันยิ่งใหญ่นี้ ไม่มีเวลาไปเติมเต็มตารางความแน่นหนาหรอก”

หลี่ไท่บอกปัญหาของเขากับอวิ๋นเยี่ยด้วยความหงุดหงิด มีบางเรื่องที่ไม่สามารถพูดกับไฮปาเทียได้ เมื่อถูกนางเร่งเร้าก็ทำได้แค่เพียงรับปาก แต่กลับไม่มีเวลาไปทำงานเหล่านี้

“เจ้าไปแอบมองหน้าอกนาง มองจนทั้งตัวเปียกไปหมดแล้วยังไม่รู้ตัวอีก จุดอ่อนของเจ้าอยู่ในมือนาง ข้าพูดไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ จะว่าไปการแอบดูผู้หญิงแล้วตื่นเต้นจนฉี่ราดก็เป็นเรื่องที่หาได้ยาก ชิงเชวี่ย ตอนนี้เจ้าต้องหาภรรยาเพิ่มอีกสักคนแล้ว ไม่เช่นนั้นหากฉี่ราดบ่อยๆ จะเป็นผลเสียต่อร่างกาย หากกลายเป็นความเคยชินแล้วจะแย่เอาได้”

ใบหน้าของหลี่ไท่แดงขึ้นมาทันที จากนั้นก็มองดูใบหน้าที่แสดงถึงความสงสารที่อยู่รอบๆ ตัวเอง หลี่เค่อมองเขาไม่โดยกะพริบตาแม้แต่น้อย ขณะที่ฟางอี๋อ้ายทำท่าทางครุ่นคิด จั่งซุนชงถอนหายใจ ส่วนเฉิงฉู่มั่วก็ตบที่ไหล่เขาเบาๆ สองทีอย่างปลอบใจ ช่างเป็นสถานการณ์ที่ดูอบอุ่น

หลี่ไท่ไม่คิดว่าคนพวกนี้จะใส่ใจร่างกายของเขา คาดว่าลับหลังคนเหล่านี้คงจะพากันหัวเราะ นับตั้งแต่วินาทีนี้ เขาได้รู้ว่าฉายาสุภาพบุรุษของเขาได้ถูกทำลายลงแล้ว

สายตามองไปรอบๆ ในที่สุดก็หานางร้ายที่เอาแต่พูดว่าจะเก็บเป็นความลับให้ตัวเองจนเจอ อยากจะเข้าไปถามให้รู้ความ แต่ขากลับก้าวไม่ออกเพราะผู้หญิงคนนั้นหันมาหาเขาแล้วเลียริมฝีปากแดงของนาง…

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

Status: Ongoing
 ถ้ามิใช่เพราะความโลภเป็นเหตุ อวิ๋นเยี่ย หนุ่มช่างเครื่องกลที่กำลังตามหาคนกลางทะเลทรายอยู่ดีๆ ก็คงไม่ต้องตื่นขึ้นมากลางทุ่งหญ้าในร่างเด็กหนุ่มวัยสิบห้า แถมยังทะลุมิติมายุคราชวงศ์ถังอีก!
เมื่อสถานการณ์บังคับให้เขาต้องเอาตัวรอด ความรู้และวิทยาการจากยุคปัจจุบันที่มีจึงเปรียบเสมือนอาวุธติดกาย บุกเบิกเส้นทางชีวิตสายใหม่ นำพาเขาไปสู่ความรุ่งเรืองที่ไม่เคยมีในชีวิตก่อน จนกระทั่งก้าวเข้าสู่วังวนแห่งการชิงอำนาจในราชสำนัก
ทว่าเขากลับหารู้ไม่ว่า ทุกการกระทำของตน กำลังจะเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้แก่ราชวงศ์ถัง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท