เจาะเวลาสู่ต้าถัง – ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน ตอนที่ 25 บีบบังคับ

ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน ตอนที่ 25 บีบบังคับ

อวิ๋นเยี่ยมองดูด้วยความตกใจ คิดไม่ถึงว่าการต่อสู้ระหว่างพวกเขาจะดุเดือดขนาดนี้ ต้วนหงไม่ยอมออมมือจริงๆ เขาทำกับฉิวหรันเค่อราวกับว่าอีกฝ่ายเป็นศัตรูของตัวเอง ฉิวหรันเค่อก็ไม่เบา ลงไม้ลงมือไม่มีความเกรงใจเลยแม้แต่น้อย

ธิดาแส้แดงหลับตาลง ถึงแม้นางจะรู้ว่าต้วนหงพยายามออมมือแล้ว แต่นางก็คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะต่อสู้กันดุเดือดขนาดนี้ สหายคนนี้ของนางมีนิสัยใจร้อน ตอนนั้นหลังจากเอาทรัพย์สินมากมายให้ไปฟรีๆ แล้ว ก็พาคนรับใช้เฒ่าออกไปทะเลหนานไห่อันแสนไกล คิดไม่ถึงว่าเมื่อเจอกันอีกครั้งเขาจะเปลี่ยนไปแบบนี้ โรคภัยไข้เจ็บของตัวเองก็ยังไม่หาย คิดไม่ถึงว่าสหายของตัวเองจะตามมาติดๆ แผนการของวันนี้จะได้ผลหรือไม่ก็คงขึ้นอยู่กับพระเจ้า

เมื่อคิดแบบนี้ นางก็คุกเข่าลงบนพื้น พนมมืออ้อนวอนต่อพระเจ้า ขอให้สหายของตัวเองแคล้วคลาดปลอดภัย นางยอมที่จะสละชีวิตแทน

มีดสั้นของต้วนหงถูกฉิวหรันเค่อคาบอยู่ในปาก ถอนหายใจแล้วจากนั้นก็ถ่มน้ำลายใส่ต้วนหง เห็นต้วนหงกลิ้งออกไปจากศาลา เขาโบกแขนที่แข็งแรงและยกไม้ที่อยู่บนศาลาออก ไล่ตามออกไปด้วยสายตาที่แดงก่ำ

ต้วนหงค่อยๆ ถอยหลัง แต่เขากลับไม่เคยละสายตาออกจากฉิวหรันเค่อ เหวี่ยงมีดสั้นสีขาวที่อยู่หลังศอกออกไป เมื่อฉิวหรันเค่อกำลังจะเข้ามาอยู่ตรงหน้า เขาขดตัวเป็นลูกบอลแล้วพุ่งเข้าไปที่หน้าอกของอีกฝ่าย จริงอยู่ที่ด้านการใช้พละกำลังเขาอาจจะเทียบฉิวหรันเค่อไม่ได้ จะมีก็แค่การต่อสู้ระยะใกล้เท่านั้นที่เขาถนัด

ฉิวหรันเค่อไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย ทันทีที่เขายื่นแขนออกไปก็คว้าแขนข้างหนึ่งของต้วนหงเอาไว้ ก่อนจะหัวเราะจากนั้นก็ขยับถอยหลัง เตรียมที่จะดึงแขนข้างหนึ่งของต้วนหงออกมาก่อน

อวิ๋นเยี่ยเบิกตากว้างและมองดูอย่างละเอียด ทักษะการต่อสู้คืออะไรกันแน่ แบบนี้ฉิวหรันเค่อต้องซวยแล้วใช่หรือไม่

เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ ฉิวหรันเค่อเองก็คิดไม่ถึงว่าแขนของต้วนหงที่บิดเบี้ยวอยู่และเคล็ดไปแล้ว แต่ทำไมเขากลับถึงยังถือมีดแทงเข้ามาที่คอของตัวเองได้ แม้จะพยายามแทงให้ห่างจากส่วนสำคัญของร่างกายที่อันตรายถึงตายก็ตามที มีดสั้นเล่มนั้นแทงเข้ามาที่ไหล่ของฉิวหรันเค่ออย่างรวดเร็ว เขาตะโกนใส่ต้วนหง ทว่าเขากลับเลือกไม่สนใจมีดสั้นที่ปักอยู่บนไหล่ ทำเพียงยักไหล่และวิ่งเข้าไปกระแทกตัวของต้วนหง ต้วนหงหลบอยู่หลังเสาที่หนาเท่าต้นขา ฉิวหรันเค่อไม่คิดจะหลบ ไหล่ของเขาจึงกระแทกเข้าไปที่เสาเต็มๆ เสาที่หนาเท่าต้นขาหักออกเป็นสองท่อน ศาลาพังทลายลงในทันที อิฐและไม้ร่วงจนฝุ่นฟุ้งกระจายทับถมพวกเขาสองคนในพริบตา

ธิดาแส้แดงไม่สนใจสถานการณ์การต่อสู้นี้ สหายของนางมีนิสัยเย่อหยิ่ง หากจะให้เขามีชีวิตอยู่เหมือนคนบ้า ไม่สู้ให้เขาตายไปอย่างสบายใจ เช่นนี้ก็ถือว่าไม่ผิดต่อเขา

อวิ๋นเยี่ยตกใจจนเอามือยัดเข้าไปในปาก กัดนิ้วและเหยียดคอดูปรากฏการณ์ที่มหัศจรรย์นี้ บนโลกใบนี้มีสิ่งมีชีวิตที่เหนือมนุษย์อยู่จริงๆ

ฝุ่นควันยังไม่ทันหายไปก็ได้ยินเสียงคำรามออกมาจากซากปรักหักพัง ฉิวหรันเค่อที่ราวกับยักษ์สะบัดแขน ผลักอิฐและไม้ที่กดทับตัวเขาออก สายตามองหาต้วนหง อยากจะฉีกกระชากผู้ชายที่ทำให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บคนนั้นออกเป็นชิ้นๆ

ในขณะที่ฉิวหรันเค่อกำลังมองหาอยู่ ต้วนหงกลับกระโดดออกมาจากส่วนลึกของซากปรักหักพัง เมื่อเขากระโดดผ่านฉิวหรันเค่อก็ใช้มีดแทงเข้าไปที่ต้นขาของเขาอีกครั้ง เลือกตำแหน่งได้ดีมาก ไม่ทำร้ายกล้ามเนื้อและกระดูกแต่กลับทำให้สูญเสียการใช้งานของขาไปข้างหนึ่ง

แต่ช่างน่าเสียดาย ศอกของฉิวหรันเค่อเองก็กระแทกไปที่ท้องของเขาอย่างแรงเช่นกัน แรงอันทรงพลังเพียงพอที่จะทำให้ต้วนหงที่ผอมบางร่างน้อยกระเด็นออกไปไกล ต้วนหงลุกขึ้นมา พ่นเลือดออกมาจากปากลงพื้น

ฉิวหรันเค่อที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือดและฝุ่นก็ค่อยๆ เดินออกมาจากซากปรักหักพังทีละก้าว สูญเสียแขนข้างหนึ่งไปแล้ว ขาอีกข้างหนึ่งก็ถูกไอ้หมอนี่แทงทำให้ใช้การไม่ได้ กลิ่นอายของความอาฆาตรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

“เห็นว่าเจ้าเป็นยอดฝีมือที่มีชื่อเสียงของยุค ถูกศอกข้ากระแทกแล้วยังไม่ตาย เจ้านับว่าเป็นคนแรก ทักษะการปลดข้อต่อกระดูกของตัวเองไม่ธรรมดา ข้าถูกแทงสองครั้งก็ถือว่าไม่เสียเปล่า มาๆ มาสู้กับข้าอีกสักสามร้อยรอบ”

ธิดาแส้แดงเงยหน้าขึ้นมองฉิวหรันเค่อด้วยความตกใจ คำพูดแบบนี้คือคำพูดที่เขาควรพูดออกมา นางกำลังจะเดินเข้าไปแต่กลับถูกอวิ๋นเยี่ยห้ามเอาไว้ เห็นว่าเขาหยิบขวดเล็กๆ ออกจากแขนเสื้อ โยนออกไปและตะโกนว่า “ช่างเป็นลูกผู้ชายเสียจริง การทำสงครามจะไม่มีเหล้าได้เช่นไร มาๆ มาดื่มเหล้าก่อนสักจอกแล้วค่อยสู้กันต่อ”

ฉิวหรันเค่อยื่นมือใหญ่ๆ ของตัวเองออกไปจับขวดเหล้า ดึงผ้าไหมบนขวดออก แค่ได้กลิ่นหอมของเหล้าที่โชยเข้ามาบนหน้า เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะและพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เจ้าก็ไม่เลวเลยทีเดียว เหล้าดี”

เห็นว่าฉิวหรันเค่อเงยหน้ายกเหล้าของอวิ๋นเยี่ยดื่มลงไป แรงของต้วนหงก็หมดไป เขากางแขนกางขานอนพักผ่อนบนพื้น เขาไม่คิดว่าอวิ๋นเยี่ยเป็นคนดี ตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาเจอกับอวิ๋นเยี่ย เขาก็ไม่ได้เอาชื่อของผู้ชายคนนี้ไว้ในรายการของคนที่เขาจะคบด้วย

ฉิวหรันเค่อพึ่งจะพูดออกมาได้ประโยคเดียวว่าเหล้าดี จากนั้นเขาก็ล้มลงกับพื้น นอนหลับสนิทอยู่บนพื้นไปเสียแล้ว

ธิดาแส้แดงบอกให้คนรับใช้ช่วยพยุงต้วนหงไปพักผ่อนที่ห้องรับแขก และเมื่อนางกำลังจะให้ใครมาช่วยพยุงฉิวหรันเค่อ นางกลับเห็นว่าอวิ๋นเยี่ยนั่งยองๆ อยู่ข้างฉิวหรันเค่อ ท่ามกลางความช่วยเหลือของคนรับใช้ทั้งสอง พวกเขาใช้เส้นไหมมัดตัวของฉิวหรันเค่อ มัดอย่างแน่นหนา มือและเท้ายิ่งมัดแน่นยิ่งกว่า

“อวิ๋นโหว เหตุใดกัน? ด้ายไหมของเจ้ามัดสหายของข้าไม่ได้หรอก สหายของข้ามีพละกำลังมาก แม้แต่เส้นเอ็นยังทำอะไรเขาไม่ได้ เจ้าทำเช่นนี้มันช่างไร้สาระ แกะออกเถอะ เดี๋ยวเขาโมโหขึ้นมามันจะเป็นอันตรายต่อเจ้า”

“สามีภรรยาอย่างพวกเจ้าก็พูดเหมือนกัน คุยโวโอ้อวดให้กับสหายของตัวเองก็ต้องมีขีดจำกัด ข้าไม่เชื่อหรอก เดี๋ยวข้าจะเอาหินหนักหนึ่งหมื่นห้าพันกิโลมาทับบนตัวเขา ดูสิว่าเขาจะทำลายหินแล้ววิ่งออกมาได้หรือไม่”

อวิ๋นเยี่ยเกลียดความเลือดเย็นของธิดาแส้แดงในเวลาเมื่อครู่ก่อนเป็นอย่างมาก หากสหายของเจ้าอยากตาย ฟันคอ โดดแม่น้ำ แขวนคอตาย ล้วนแต่เป็นทางเลือกที่ดี หรือจะระเบิดตัวตายไปก็ได้ ทำไมต้องดึงต้วนหงเข้าไปด้วย ก่อนหน้านี้พูดไว้แล้ว ต้วนหงมาช่วยไม่ใช่ศัตรู เมื่อครู่หากไม่ใช่เพราะว่าเขาใช้ยาสลบของซุนซือเหมี่ยวกับฉิวหรันเค่อ ต้วนหงอาจจะตายไปแล้วก็ได้

ต่อไปต้วนหงจะต้องทำหน้าที่แทนอู๋เสอ ตอนนี้เป็นช่วงฝึกฝนของเขา หากปล่อยให้เขาตายไปโดยไร้สาเหตุ จะไปหายอดฝีมือแบบนี้ได้จากที่ไหน ถึงแม้ว่าหลี่ซื่อหมินจะมียอดฝีมือซ่อนอยู่มากมายนับไม่ถ้วน แต่คนที่มีหน้ามีตาตอนนี้ก็มีแค่ต้วนหงคนเดียว จะหาคนแบบนี้ได้สักคนสองคนมันยากกว่าการถอนฟันเสือเสียอีก จะมาตายเพราะรักษาคนบ้าที่นี่ มันไม่คุ้มกัน

ธิดาแส้แดงพูดไม่ออก นางคิดไม่ออกว่านางทำอะไรให้อวิ๋นเยี่ยไม่พอใจ แต่ต้วนหงที่ถูกแบกไปที่ห้องรับแขกกลับรู้ดี ความเย็นชาในแววตาของเขาลดลงไปไม่น้อย ปรับการหายใจของตัวเองสักหน่อย เตรียมพร้อมที่จะพักผ่อน

บาดแผลของฉิวหรันเค่อพันเสร็จหมดแล้ว ธิดาแส้แดงถึงกับเช็ดหน้าให้ฉิวหรันเค่อด้วยตัวเอง แบบนี้ทำให้อวิ๋นเยี่ยสงสัยในความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสามคน หลี่จิ้งบอกว่าเขาเป็นพี่ใหญ่ แต่ว่าธิดาแส้แดงกลับพูดไม่เหมือนกัน หรือว่า…

กำจัดความคิดที่น่ารังเกียจออกไปจากหัว ต้องทำให้ฉิวหรันเค่อตื่นเต้นให้เพียงพอ การต่อสู้กันเมื่อครู่นั้นดูเหมือนว่าสมองของเขาจะดีขึ้นมาเล็กน้อย ไม่แน่ในนี้อาจจะมีความดีความชอบของเฉิงฉู่มั่วอยู่บ้าง

พึ่งจะใส่ยาให้ฉิวหรันเค่อเสร็จเรียบร้อย อวิ๋นเยี่ยก็เห็นว่ากล้ามเนื้อที่ข้อมือของเขากระตุก พระเจ้า นี่คือคนทดลองยาที่ดีที่สุด มีภูมิต้านทานที่ดี อดทดต่อยาได้ดี มีเจตจำนงที่แข็งแกร่ง และที่หายากที่สุดคือรูปร่างใหญ่โตที่เพียงพอของเขา มันสามารถทดสอบยาได้ในปริมาณที่มากที่สุด หากซุนซือเหมี่ยวเห็นแบบนี้ เขาคงจะมีความสุขมาก แต่ปัญหาก็คือหากเอาผู้ชายคนนี้กลับไปทดสอบยา คงจะถูกหลี่จิ้งฆ่าตายทั้งโคตรเหง้า คิดดูแล้วก็ช่างมันเถอะ

“ตื่นแล้วก็พูดจา ไม่ต้องทดสอบข้า คนที่ดีกับเจ้าสองคนนั้นถูกข้าจัดการแล้ว ตอนนี้ข้ากำลังจะจัดการเจ้า เป็นเช่นไร ให้เวลาเจ้าได้ระลึกความหลังหน่อย? เจอยมทูตจะได้ไม่เป็นผีที่งงงวย”

“คนชั้นต่ำ เจ้าคือความอัปยศของนักรบ หากข้าหลุดออกไปได้ ข้าจะฉีกเจ้าเป็นชิ้นๆ” ฉิวหรันเค่อถูกมัดไว้ราวกับขนมบ๊ะจ่าง แค่หันหน้ายังยากลำบาก ทำได้แค่กัดฟันมองดูเพดาน เมื่อครู่เขาลองดูแล้ว ไม่รู้ว่าที่มัดตัวเองอยู่คืออะไร มันเส้นเล็กแต่กลับแน่นมาก แค่ขยับตัวนิดเดียวเส้นไหมก็กรีดเข้าไปในเนื้อของเขา แสบร้อนเป็นอย่างมาก

“ทำไม ไม่อยากระลึกถึงหรือ แค่เจ้าบอกข้าว่าไป๋อวี้จิงอยู่ที่ไหน ข้าก็จะปล่อยคนที่ดูแลเจ้าไป เจ้าลองฟังดูสิ พวกเขาอยู่ข้างนอก มีผู้หญิงสองสามคนที่หน้าตาไม่เลวเลยทีเดียว คงต้องพากลับไปเสวยสุขที่เขาสักคน”

“ก็แค่กลุ่มคนรับใช้ ไม่นับว่าเป็นคน เจ้าอยากฆ่าก็ฆ่า มันไม่เกี่ยวอะไรกับข้า”

“เจ้าคิดผิดแล้ว ไม่ใช่แค่คนรับใช้ ยังมีลูกหลานสองคนที่ดีกับเจ้ามาตลอด ได้ยินมาว่าพวกเขาเป็นญาติของเจ้า เจ้าจำไม่ได้ แต่พวกเขาจำได้ เจ้าพูดเช่นนี้ ลูกของพวกเขาก็จะต้องตายไปคนหนึ่ง” ทันทีที่อวิ๋นเยี่ยพูดจบก็ได้ยินเด็กร้องไห้ขอชีวิตดังขึ้นมา ยังไม่ทันได้ร้องขอชีวิตจบดี เสียงร้องนั้นก็หยุดลงทันที กลิ่นอายของเลือดคละคลุ้งรุนแรงลอยเข้ามา

อวิ๋นเยี่ยสูดหายใจยาวๆ ดูเหมือนเขาจะเสวยสุขกับกลิ่นเลือด ยิ้มและพูดกับฉิวหรันเค่อที่มีสภาพอนาถ “ไป๋อวี้จิงอยู่ที่ไหน เจ้ารู้ได้เช่นไร หรือว่าเถียนเซียงจื่อเป็นคนบอกเจ้า?”

“หัวของข้ากระทบกระเทือนอย่างหนัก ข้าจำไม่ได้” ฉิวหรันเค่อพูดกับอวิ๋นเยี่ยด้วยความลำบากใจ

“จะจำไม่ได้ได้เช่นไร เจ้าต้องจำให้ได้” พูดจบก็อุ้มเด็กผู้หญิงคนหนึ่งมาให้ฉิวหรันเค่อดู จับมือที่อวบอ้วนของเด็กผู้หญิงที่มีอายุแค่สามสี่ขวบไปลูบที่หน้าของฉิวหรันเค่อ จากนั้นก็อุ้มเด็กผู้หญิงออกไป จากนั้นก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กผู้หญิงที่อยู่ข้างนอก

“ไอ้สารเลว หยุดเดี๋ยวนี้ ไอ้สารเลว หยุดเดี๋ยวนี้” ฉิวหรันเค่อพยายามดิ้นรนอย่างสุดชีวิต เส้นไหมกรีดเข้าไปในเนื้อของเขา เลือดก็ไหลออกมาตามเส้นไหม ถึงแม้ว่าเขาจะลืมอดีตไปโดยไม่รู้ตัว แต่ความรู้สึกของคนในครอบครัวปิดบังเขาไว้ไม่ได้ ตัวเองจะต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับสองคนนั้นแน่นอน บางทีพวกเขาอาจจะเป็นคนในครอบครัวของตัวเองจริงๆ ก็ได้ ตอนนี้คนพวกนั้นคือความเป็นห่วงเป็นใยสุดท้ายภายในใจที่อ้างว้างของเขา เขาจะไม่กังวลได้เช่นไร

ฉิวหรันเค่อได้กลิ่นอายของเลือดอีกครั้ง เขาถูกเส้นไหมกรีดจนเป็นแผล หันหน้าไปเห็นถาดสีเงินที่มีแขนขาวและนุ่มนวลอยู่ข้างบน มีเลือดไหลออกมา มือเล็กๆ ดูเหมือนยังขยับอยู่ และไอ้ปีศาจคนนั้นก็กำลังดมมันอย่างละเอียด เขาน้ำลายไหล ดูเหมือนจะอยากกินเป็นอย่างมาก

อวิ๋นเยี่ยเช็ดน้ำลาย รากบัวที่นึ่งสุกแล้วราดด้วยน้ำเชื่อม รสชาติไม่เลวจริงๆ เขาไม่ได้กินอะไรมาเกือบทั้งวัน แต่ทำการใหญ่ต้องจริงจัง เขาไม่เชื่อว่าทำถึงขนาดนี้แล้วฉิวหรันเค่อยังจะจำอะไรขึ้นมาไม่ได้ และแน่นอนว่าเขาจะต้องเพิ่มบางอย่างเข้าไป

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

Status: Ongoing
 ถ้ามิใช่เพราะความโลภเป็นเหตุ อวิ๋นเยี่ย หนุ่มช่างเครื่องกลที่กำลังตามหาคนกลางทะเลทรายอยู่ดีๆ ก็คงไม่ต้องตื่นขึ้นมากลางทุ่งหญ้าในร่างเด็กหนุ่มวัยสิบห้า แถมยังทะลุมิติมายุคราชวงศ์ถังอีก!
เมื่อสถานการณ์บังคับให้เขาต้องเอาตัวรอด ความรู้และวิทยาการจากยุคปัจจุบันที่มีจึงเปรียบเสมือนอาวุธติดกาย บุกเบิกเส้นทางชีวิตสายใหม่ นำพาเขาไปสู่ความรุ่งเรืองที่ไม่เคยมีในชีวิตก่อน จนกระทั่งก้าวเข้าสู่วังวนแห่งการชิงอำนาจในราชสำนัก
ทว่าเขากลับหารู้ไม่ว่า ทุกการกระทำของตน กำลังจะเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้แก่ราชวงศ์ถัง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท