ชายหนุ่มไม่ซักถามต่ออย่างคนรู้อะไรควรไม่ควร
เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนเขาเปิดร้านหนังสือเล็กๆ แห่งนี้ มองเรื่องราวบนโลกด้วยสายตาเย็นชา ได้เห็นความสัมพันธ์ของมนุษย์บนโลกและคลื่นลมมรสุมในมหาสมุทรกว้างมามากมาย สำหรับวงการขุนนางของต้าหลีก็ยิ่งไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่ คิดจะหาห้องพักชั้นหนึ่งชั้นสองมากมายขนาดนี้จากในจุดพักม้าเจิ่นโถว ย่อมต้องเป็นความสามารถของซื่อหลาง[1]หกกรมเท่านั้น แน่นอนว่ายกเว้นหลางจงสามท่านเอาไว้ ราชสำนักต้าหลี เบื้องใต้ซ่างซู[2]และซื่อหลางของที่ว่าการหกกรม หลางจงถือเป็นขุนนางหลักของกองต่างๆ หยวนไว้หลางคือขุนนางระดับรอง จากห้าขั้น ตำแหน่งของหลางจงและหยวนไว้หลางไม่โดดเด่นนัก แต่ว่ามีหลางจงสามท่านที่กุมอำนาจยิ่งใหญ่เหนือกว่าที่ใครจะจินตนาการได้ถึง
นั่นก็คือกองคุณูปการของกรมขุนนาง กองคัดเลือกฝ่ายบุ๋นของกรมกลาโหม และกองบวงสรวงของกรมพิธีการ ขุนนางหลักของทั้งสามกองนี้สามารถเรียกได้ว่าตำแหน่งต่ำอำนาจมาก วิสัยทัศน์กว้างไกล หากถูกส่งไปเป็นขุนนางท้องถิ่นด้านนอกจะต้องเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ได้แน่นอน
ผู้หนึ่งทำหน้าที่ควบคุมตรวจสอบการเลื่อนขั้นของขุนนางขั้นสี่รวมไปถึงขุนนางท้องถิ่นทั้งหมดของราชสำนัก
ผู้หนึ่งรับผิดชอบคัดเลือกทหาร ทดสอบฝีมือของผู้ฝึกยุทธ์และทำการเลื่อนขั้นให้แก่ราชวงศ์ อีกทั้งยังคุมอำนาจใหญ่ในการประกาศอภัยโทษให้แก่คนในยุทธภพ
ผู้หนึ่งรับผิดชอบงานบวงสรวงและพิธีใหญ่ของประเทศ ในหลายครั้งแม้แต่กษัตริย์ก็ยังต้องถามความเห็นจากคนผู้นี้ ขุนนางฝ่ายบุ๋นที่ระดับขั้นไม่สูงตำแหน่งนี้มักจะมาจากสำนักศึกษาหรือโรงเรียนของลัทธิขงจื๊อเสมอ
ผู้เฒ่าที่หน้าตาไม่โดดเด่นตรงหน้าผู้นี้ก็คือคนหนึ่งในนั้น
เมื่อสี่สิบปีก่อน ในฐานะที่หลี่จิ่นคือเจ้าของร้านหนังสือแห่งนี้เคยได้มอบตำราสองเล่มให้แก่ปัญญาชนยากจนที่เดินทางเข้ามาสอบที่เมืองหลวง คิดไม่ถึงว่าหลังจากนั้นบัณฑิตยากจนผู้นั้นจะเลื่อนขั้นได้อย่างราบรื่น กลายมาเป็นหลางจงกองบวงสรวงของกรมพิธีการต้าหลี สูงศักดิ์ทั้งยังทรงอำนาจ แต่สำหรับหลี่จิ่นที่ไม่อยู่ในราชสำนักแต่อยู่ในยุทธภพแล้ว กองบวงสรวงของกรมพิธีการต้าหลียังมีความหมายในอีกระดับหนึ่ง นั่นก็คือว่ากันว่าที่ว่าการเล็กๆ แห่งนี้ ขุนนางหลายคนของเมืองหลวงหาไม่เจอแม้แต่ประตูของมัน แต่กลับมีอำนาจควบคุมการประเมินคัดเลือกเทพภูเขาและเทพแม่น้ำทั่วใต้หล้าอย่างลับๆ แม้ว่าจะไม่มีอำนาจตัดสินใจในท้ายที่สุด แต่กลับมีอำนาจในการแนะนำที่สำคัญอย่างถึงที่สุด
หลังจากรู้ว่าผู้เฒ่านั่งอยู่ในตำแหน่งนี้จากคำบอกเล่าของพ่อค้าและขุนนางที่เดินทางผ่านเมืองหงจู๋ หลี่จิ่นจึงส่งจดหมายไปหาเขาหลายฉบับ ไม่มีฉบับใดที่ไม่เป็นดั่งวัวปั้นดินลงทะเลที่ไร้การตอบกลับ หลี่จิ่นไม่กล้าตอแย จึงได้แต่ยุติด้วยความเสียดายอย่างยิ่ง
นับร้อยปีที่ผ่านมา “ชายหนุ่ม” ที่ใช้ชื่อว่าหลี่จิ่นผู้นี้มุมานะบากบั่นด้วยความไม่ท้อถอย พยายามอย่างหนักที่จะเสนอขอตำแหน่งเทพแม่น้ำแห่งแม่น้ำชงตั้น ใช้วิธีการและควันธูปมากมาย แต่ก็ล้วนเปล่าประโยชน์
ผู้เฒ่าพลันพูดว่า “สาเหตุที่แม่น้ำชงตั้นไม่มีการแต่งตั้งตำแหน่งเทพแม่น้ำ เจ้าน่าจะรู้สาเหตุ ดังนั้นจดหมายที่เจ้าแอบส่งไปที่จวนของข้า ข้าจึงได้แต่ทำเป็นมองไม่เห็น หาใช่ว่าไม่ยินดีช่วยเหลือ แต่เป็นเพราะมีใจทว่าไร้ความสามารถจริงๆ”
ชายหนุ่มยิ้มขื่น พยักหน้ารับ “เข้าใจ ขอแค่ฮ่องเต้ไม่พยักพระพักตร์ เกรงว่าต่อให้ซ่างซูกรมพิธีการออกปากพูดเองก็คงไม่มีประโยชน์”
ผู้เฒ่ายกยิ้ม จ้องนิ่งไปยังชายหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้า ทุกยี่สิบสามสิบปีที่ผ่านไป คนผู้นี้ก็จะเปลี่ยนโฉมหน้าใหม่ ผู้เฒ่าหรี่ตากล่าวว่า “แต่ตอนนี้มีโอกาสวางอยู่ตรงหน้าเจ้า อยู่ที่ว่าเจ้าจะกล้าช่วงชิงมันหรือไม่”
ชายหนุ่มไม่ได้เผยสีหน้าตื่นเต้น แต่ถามกลับว่า “ได้ยินมาว่าในพื้นที่อำเภอหลงเฉวียนของถ้ำสวรรค์หลีจู ฮ่องเต้ต้าหลีได้แต่งตั้งเทพลำธารของลำธารหลงซวีแล้วคนหนึ่ง เทพแม่น้ำของแม่น้ำเถี่ยฝู่หนึ่งคน ภูเขาพีอวิ๋น ภูเขาเตี่ยนเติงและภูเขาลั่วพั่วต่างก็มีเทพภูเขาที่ได้รับการแต่งตั้งแห่งละหนึ่งคน ครั้งเดียวมอบตำแหน่งสามภูเขาสองแม่น้ำ รวมเป็นห้าตำแหน่ง นี่ก็ถือว่าใช้ทรัพย์สมบัติของตระกูลฮ่องเต้ไปมากแล้ว ในเวลาที่อาจจะพบเจอกับสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยอุปสรรคเช่นนี้ จะโยนรายชื่อล้ำค่ามาที่แม่น้ำชงตั้นอีกได้อย่างไร?”
ผู้เฒ่ากล่าวยิ้มๆ “วางใจเถอะ ไม่ใช่แผนการชั่วร้ายที่เล่นงานอะไรเจ้าหรอก พูดประโยคไม่น่าฟังสักหน่อย เจ้ายังไม่มีค่าถึงขั้นที่ข้าต้องลงมือเอง”
ชายหนุ่มรู้สึกอับอายจนพานมาเป็นความโกรธ แต่ไม่นานก็ทำสีหน้าจนใจเพราะรู้ว่าตัวเองต้องพึ่งคนอื่น จึงไม่พูดอะไรอีก
ผู้เฒ่าเก็บรอยยิ้มกลับคืน กล่าวว่า “ในรัศมีพันลี้โดยมีเมืองหงจู๋เป็นจุดศูนย์กลาง เทพภูเขาและเทพแม่น้ำทั้งหมดที่ราชสำนักต้าหลีแต่งตั้ง รวมไปถึงเทพผืนดิน แม่ย่าลำธารที่เป็นตัวสำรองเข้าข่ายจะได้รับเลือก ช่วงนี้ล้วนจำเป็นต้องอยู่รอเพื่อรับคำสั่ง เตรียมพร้อมเข้าร่วมการล้อมปราบปรามได้ทุกเมื่อ นอกจากนี้แล้วเมืองทางฝั่งทิศใต้รวมไปถึงด่านเหย่ฟูของต้าหลีต่างก็ระดมกำลังกองทัพม้าฝีมือแกร่งกล้าจำนวนมาก กระจายทหารลาดตระเวนออกไปจำนวนนับไม่ถ้วน ส่วนเจ้าหลี่จิ่น หากไม่เป็นเพราะน้ำใจที่ปีนั้นเคยมอบหนังสือให้ ข้าก็ไม่มีทางบอกข่าวนี้แก่เจ้า มีหรือไม่มีเจ้า ล้วนไม่มีอะไรแตกต่าง”
หลี่จิ่นตกตะลึงจนไม่อาจตะลึงไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว “ในดินแดนของต้าหลี ตั้งค่ายรบขนาดใหญ่แบบนี้ทำไม? จะล้อมปราบอะไรกันแน่?”
ผู้เฒ่าบอกตามตรง “คนคนหนึ่ง”
หลี่จิ่นมองสายตาผู้เฒ่า เห็นว่าไม่เหมือนกำลังล้อเล่น จึงถามเนิบช้าว่า “ใต้เท้าหลางจงต้องการให้ข้าทำอะไร?”
ผู้เฒ่ายิ้ม “เรื่องเล็กน้อยที่กำลังเจ้าถึง แค่ต้องช่วยจับตามองชายผู้หนึ่งที่เพิ่งมาถึงเมืองหงจู๋เท่านั้น เพราะข้ารู้ว่าสองร้อยกว่าปีหลังจากที่เดินออกไปจากแม่น้ำชงตั้น กิจการเจ้าในเมืองหงจู๋ของเจ้าดำเนินไปได้เป็นอย่างดี คุ้นเคยกับเส้นทางน้ำยิ่งกว่าพวกเทพรักษาเมือง แล้วก็รู้ความเคลื่อนไหวในเมืองเล็กได้ดียิ่งกว่าเทพแม่น้ำสองท่าน อีกอย่างหากเอกสารในเมืองหลวงไม่ได้บันทึกผิด ปลาชิงหมิงล้ำค่าหลายตัวที่เจ้าเลี้ยงไว้ซึ่งมาจากตำราโบราณ เหมาะกับการสืบและส่งข่าวในขอบเขตเล็กๆ มากที่สุด”
สีหน้าของหลี่จิ่นไม่ค่อยน่าดูนัก
ผู้เฒ่าเอ่ยเยาะเย้ย “ทำใจให้สบาย ปลาชิงหมิงร้อยปีจะพานพบสักครั้งก็จริง แต่ข้าก็ยังไม่ต่ำช้าถึงขั้นเห็นสมบัติก็เกิดความโลภ”
หลี่จิ่นหัวเราะเยาะตัวเอง “เป็นข้าที่ใช้ใจคนถ่อยไปวัดคุณธรรมวิญญูชนต่างหาก”
จากนั้นเขาก็ถามต่อทันทีว่า “คนผู้นั้นคือ?”
ผู้เฒ่าตอบเนิบช้า “ชายฉกรรจ์สวมงอบคนหนึ่ง ตรงเอวห้อยน้ำเต้าสีเงินขนาดเล็กมีเอกลักษณ์หนึ่งลูก ข้างกายมีเด็กกลุ่มหนึ่งตามมาด้วย เด็กเหล่านั้นมาจากถ้ำสวรรค์หลีจูในอดีต ปัจจุบันคืออำเภอหลงเฉวียน ส่วนตัวตนที่แท้จริงของชายฉกรรจ์ สายลับต้าหลียังไม่อาจหาข้อมูลมาได้”
หลี่จิ่นอ้าปากค้าง “ก่อนหน้านั้นคนผู้นี้เพิ่งมาที่ร้านข้า”
สายตาผู้เฒ่าคมปลาบดุจสายฟ้า
หลี่จิ่นกล่าวอย่างระมัดระวังว่า “ก็แค่บังเอิญเท่านั้น”
ผู้เฒ่าโบกมือ เอ่ยกำชับว่า “ไม่เป็นไร นับแต่ตอนนี้เป็นต้นไป จำไว้ว่าอย่าเผยพิรุธ ต่อให้ทำไม่สำเร็จก็ยังถือว่าได้ทำแล้ว แต่เจ้าไม่ระวังจนเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น เจ้าก็ไม่ต้องกังวล เพราะเวลานั้นเจ้าคงตายไปแล้ว คนผู้นั้นไม่ฆ่าเจ้า ข้าก็จะเป็นคนลงมือด้วยตัวเอง”
“แต่หากเรื่องนี้สำเร็จลงได้ด้วยดี ข้าไม่กล้ารับรองว่าเจ้าจะกลายมาเป็นเทพแม่น้ำ แต่ข้าสามารถบอกให้ฝ่าบาทจดจำชื่อของเจ้าไว้ก่อนได้”
หลี่จิ่นเอ่ยเย้ยตัวเอง “นี่ถือว่าเป็นคนที่ฮ่องเต้รู้จักได้หรือไม่?”
ผู้เฒ่าหยุดมือที่พลิกเปิดหน้าหนังสืออย่างไม่สนใจลง หันหน้ามาถามว่า “ทำไม ไม่เต็มใจ?”
หลี่จิ่นหัวเราะร่า “กล้าเสี่ยงจึงจะร่ำรวย แล้วนับประสาอะไรกับที่ไม่จำเป็นต้องให้ข้าวางหลุมพรางด้วยตัวเอง การค้าขายที่มีแต่ได้กับได้ ข้าทำ!”
เขาดีดนิ้วหนึ่งที บริเวณใกล้กับหัวไหล่มีปลาตัวเล็กที่หางยาวมากสองตัวลอยขึ้นมา พวกมันมีจิตใจเชื่อมโยงอยู่กับเขา สายตาที่ปลามองเห็น ก็คือสายตาที่หลี่จิ่นมองเห็น
พวกมันส่ายสะบัดหางยาว พริบตาเดียวก็หายวับไป
ก่อนหน้าที่ผู้เฒ่าจะจากไป ยังกล่าวปลงอนิจจังยิ้มๆ ว่า “หนังสือในร้านของเจ้ายังราคาแพงถึงเพียงนี้”
มีเพียงเวลานี้เท่านั้นที่หลี่จิ่นถึงจะรู้สึกว่าผู้เฒ่ายังมีลักษณะของปัญญาชนหนุ่มผู้ยากจนในปีนั้นอยู่บ้าง
ผู้เฒ่าดึงโคมไฟกลับมาแล้วออกไปจากร้าน
ผู้เฒ่าเดินออกจากตรอกเล็ก ตรงหัวมุมมีชายร่างกำยำยกแขนสองข้างกอดอกยืนอยู่ คนทั้งสองเดินเคียงบ่าไปด้วยกัน ฝ่ายหลังถามว่า “ไม่กลัวว่าจะเป็นการวาดงูเติมขาหรือ?” (เปรียบเปรยถึงสิ่งที่ทำเกินความจำเป็น)
ผู้เฒ่ากล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “อันที่จริงการล้อมล่าครั้งนี้ รวบแหมาได้ถึงขั้นนี้แล้ว ต่อให้หลี่จิ่นผู้นั้นเสียสติวิ่งไปบอกความจริงทั้งหมดต่อหน้าชายที่ชื่ออาเหลียง ก็ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว”
ชายฉกรรจ์กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ท้ายที่สุดแล้วก็ยังเพราะต้องการจะคืนน้ำใจที่เขาเคยมอบหนังสือให้ในปีนั้น?”
ผู้เฒ่ายิ้มจนตาหยี เผยให้เห็นความภาคภูมิใจในตัวเองอยู่หลายส่วน กล่าวเบาๆ ว่า “น้ำใจที่ข้าติดค้างคนอื่น จะอย่างไรก็พอมีค่าอยู่บ้าง”
……
จูลู่บอกว่าจะกินพุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาล แม้จูเหอจะแปลกใจเล็กน้อย ว่าทำไมจู่ๆ บุตรสาวถึงได้ชื่นชอบของหวานขึ้นมา แต่การเรียกร้องเล็กน้อยแค่นี้ไม่นับเป็นอะไรได้อยู่แล้ว จึงพาบุตรสาวเดินตามหาร้านขายด้วยกัน
สุดท้ายคู่พ่อลูกก็หาเจอจริงๆ มีพ่อค้าคนหนึ่งเดินแบกท่อนไม้ใหญ่เสียบไม้พุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาลเดินร้องเร่ขายเสียงดังไปตามตรอกต่างๆ
จูเหอไม่ชอบสิ่งนี้ จูลู่ซื้อมาทีเดียวสามไม้รวด จูเหอจึงเกิดความสงสัย เด็กสาวตอบยิ้มๆ ว่าตนจะกินเองหนึ่งไม้ ที่เหลืออีกสองไม้จะมอบให้คุณหนูและเฉินผิงอัน
เด็กสาวยังบอกด้วยว่า นางอยากจะขอโทษเด็กหนุ่มคนนั้นคืนนี้ อย่างน้อยพูดกับเขาว่าขอโทษสักคำ ถึงจะสงบใจลงได้
จูเหอรู้สึกเหมือนปลดภาระหนักอึ้งออกจากบ่า อารมณ์ดีอย่างถึงที่สุด
พ่อลูกสองคนกลับมาถึงจุดพักม้า รู้ว่าเฉินผิงอันและหลี่เป่าผิงกลับมาถึงแล้วเช่นกัน
จูลู่ยังไม่ทันกินพุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาลไม้หนึ่งหมดก็ขอให้บิดาไปบอกเฉินผิงอันว่า นางรอเจอเขาอยู่ในลานห้องพักระดับหนึ่งของโรงเตี๊ยมจุดพักม้า
จูเหอก้าวยาวๆ จากไป ในใจรู้สึกอยากจะหัวเราะ แม่หนูนี่ก็หน้าบางเกินไปหน่อย ก็แค่ก้มหน้ายอมรับผิดกับคนอื่นเท่านั้น มีอะไรให้ต้องอายกัน
ผ่านไปไม่นานเท่าไหร่ เด็กหนุ่มรองเท้าแตะก็มาปรากฏตัวตรงมุมหนึ่งของระเบียงทาสี พอเห็นว่าจูลู่นั่งอยู่บนม้านั่งยาวของอีกฝั่งหนึ่ง เด็กหนุ่มก็เพิ่มความเร็วฝีเท้าอีกเล็กน้อย
บนเก้าอี้ยาวที่เด็กสาวนั่งหันข้างอยู่ มีพุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาลกระจายอยู่สิบห้าสิบหกลูก
เด็กสาวลุกขึ้นยืนด้วยรอยยิ้ม มือทั้งสองข้างวางไว้ข้างหลัง ท่าทางมองดูคล้ายเขินอาย
นางเดินไปหาเด็กหนุ่ม
——
[1] ซื่อหลางคือชื่อตำแหน่งขุนนางหรือเรียกอีกอย่างว่านายสนอง ในยุคฮั่นตะวันตกมีตำแหน่งเป็นข้ารับใช้ใกล้ชิดในราชสำนัก ยุคฮั่นตะวันออก เมื่อดำรงตำแหน่งซ่างซูครบสามปีจะเรียกว่าซื่อหลาง ส่วนหลังจากยุคราชวงศ์ถังเป็นต้นมาตำแหน่งจะค่อยๆ สูงขึ้น ซึ่งมีตำแหน่งเป็นรองแค่ซ่างซูของแต่ละฝ่ายเท่านั้น
[2] เสมียนผู้ช่วยเดิมเป็นคำเรียกเสมียนเก็บรักษาจดหมายเหตุ แต่ภายหลังนำมาใช้เรียกตำแหน่งหัวหน้าของหกกรม