ผู้เฒ่าถือโคมไฟ ใต้เท้าหลางจงแห่งกองบวงสรวงของกรมพิธีการท่านนี้เลือกเดินบนถนนเปลี่ยวร้าง สุดท้ายเดินมาถึงศาลเทพอภิบาลเมืองของเมืองหงจู๋ ก่อนจะก้าวเท้าข้ามผ่านธรณีประตู ตอนที่โคมไฟในมือของผู้เฒ่ายื่นเข้าประตูไปก่อนก็เหมือนลอดผ่านม่านน้ำผืนหนึ่งจึงเกิดริ้วคลื่นกระเพื่อม ทว่าเพียงแค่ชั่วพริบตาริ้วคลื่นที่ใช้สกัดกั้นทั้งความมืดมิดและความสว่าง เป็นดั่งน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับน้ำคลองนี้ก็พลันหายวับไป เพียงแต่ว่าในโคมไฟสีแดงดวงใหญ่ของผู้เฒ่ากลับเกิดเส้นแสงมากมายดั่งหิ่งห้อยหลายตัวที่พุ่งชนกำแพงไปทั่วทิศ
โคมในมือของผู้เฒ่ามีคนใช้พู่กันเขียนตัวอักษรโบราณขนาดเล็กไว้สี่ตัว ผีจงกลับไป
ในศาลเทพอภิบาลเมืองที่รับภาระงานด้านมืดและด้านสว่างแบ่งแยกกับที่ว่าการอำเภอมีผู้เฒ่าสวมชุดขงจื๊อใบหน้าแดงปลั่งราวพุทราสุกผู้หนึ่งเดินออกมากุมมือคารวะ เอ่ยเสียงดังกังวาน “เทพรักษาเมืองหงจู๋คารวะใต้เท้าหลางจง”
ด้านซ้ายและด้านขวาของผู้เฒ่าสวมชุดขงจื๊อยังมีชายผู้เป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นในมือถือแผ่นหยก และขุนพลฝ่ายบู๊สวมชุดเกราะพกกระบี่ บนไหล่มีแมวตัวหนึ่งนั่งอยู่ ซึ่งน่าจะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถแบ่งอยู่ในขอบเขตของวัตถุหยางได้ หน้าตาของทั้งสามท่านเหมือนกับเทวรูปดินเหนียวของเทพอภิบาลเมือง และเทวรูปบุ๋นบู๊ที่อยู่ในหอเหวินชางและในศาลอู่เซิ่งอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
ผู้เฒ่าถือโคมไฟคารวะกลับคืน กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “คิดว่าพวกเจ้าทั้งสามคงได้รับคำสั่งรับจากราชสำนักแล้ว เทพน้อยใหญ่ในรัศมีพันลี้ไม่ว่าจะเป็นเทพภูเขา เทพแม่น้ำ เทพผืนดิน แม่ย่าลำธาร รวมไปถึงองค์เทพในศาลเทพอภิบาลเมืองและในศาลเจ้าบุ๋นบู๊ล้วนจำเป็นต้องสังหารชายพกดาบนามว่าอาเหลียงให้ได้ ออก ตก เหนือ ใต้ สี่ทิศทางนี้ ไม่ว่าคนผู้นั้นจะถอยไปยังเส้นทางใด หากมีใครกล้าปล่อยศัตรูไปเพราะความหวาดกลัว หรือจงใจซุกซ่อนความสามารถที่แท้จริง หลังจบเรื่องจะต้องถูกลงโทษโดยการทุบทำลายร่างทองโดยไม่มีข้อยกเว้น เศษร่างทองของเทพแห่งน้ำถูกฝังอยู่ในภูเขา ส่วนเศษซากร่างเทพภูเขาจะถูกโยนลงแม่น้ำ พวกเจ้าต่างก็ถือกำเนิดจากศาลสองหนึ่งหอ ซึ่งก็ต้องมีจุดจบประมาณเดียวกันนี้ ถึงเวลานั้นล้วนต้องถูกลบชื่อจากอักขรานุกรมภูมิศาสตร์ท้องถิ่น”
ผู้เฒ่าคลี่ยิ้ม พูดผ่อนคลายบรรยากาศ “ไม่ได้ต้องการให้พวกเจ้ากระโจนสู่ความตาย เพียงแต่พยายามขัดขวางอย่าเต็มกำลังก็พอ ฝ่าบาททรงบัญชาการทัพด้วยพระองค์เอง ดังนั้นนี่จึงเป็นโอกาสใหญ่อันดีที่แต่ละฝ่ายจะสร้างคุณความชอบ ตอนนี้กองทัพม้าเหล็กของต้าหลีเรากำลังเดินทัพลงใต้ด้วยพลังอำนาจที่ไม่อาจสกัดขวาง หากขยับขยายดินแดนได้สำเร็จ บนผืนแผ่นดินที่แคว้นล่มสลายจะต้องมีตำแหน่งที่ดียิ่งกว่าและสูงยิ่งกว่าอีกมากมายที่ว่างลง สำหรับพวกเจ้าแล้วหมายความว่าอะไร ความนัยที่ซุกซ่อนอยู่ในเหตุการณ์ครั้งนี้ พวกเจ้าดำรงตำแหน่งเทพกันมานาน เพียงแค่ตรองดูก็น่าจะเข้าใจได้”
องค์เทพของสามสถานที่ต่างก็พากันเปิดปากอย่างใจถึง
“ข้าน้อยไม่กล้าปฏิบัติหน้าที่อย่างสุกเอาเผากินแน่นอน!”
“จะต้องทุ่มเทสุดกำลังความสามารถ!”
“ตอนมีชีวิตอยู่ก็เคยตายในสนามรบเพื่อต้าหลีมาแล้วหนึ่งครั้ง ทุกวันนี้ได้เสวยสุขกับควันธูปมาหลายร้อยปี ต่อให้ร่างทองต้องแหลกสลาย ก็ต้องให้เจ้าสุนัขโฉดชั่วผู้นั้นทิ้งหัวไว้ที่นี่ให้จงได้!”
ผู้เฒ่าพยักหน้ารับด้วยความปลาบปลื้ม “แผ่นดินยิ่งใหญ่ทางทิศใต้ วันหน้าต้าหลียังต้องพึ่งพาให้ทุกท่านช่วยพิทักษ์โชคชะตาของแผ่นดิน สรุปคือพวกเราจิตใจปรองดองเป็นหนึ่งเดียวกัน เจริญรุ่งเรืองไปด้วยกัน”
……
ในศาลเทพแม่น้ำอวี้เย่ที่อยู่ใกล้กับเมืองหงจู๋ ตัวตนที่แท้จริงของชายฉกรรจ์ร่างกำยำซึ่งเคยปรากฎตัวพร้อมกับผู้เฒ่าบนถนนชมน้ำคือหลางจงแห่งกองคัดเลือกฝ่ายบุ๋นกรมกลาโหม สามารถพูดได้ว่าชายกำยำผู้นี้กุมอำนาจใหญ่ในการสังหารคนของยุทธภพส่วนมากแห่งราชวงศ์ต้าหลี เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับกองบวงสรวงกรมพิธีการของผู้เฒ่าแล้ว ฝ่ายแรกถูกบรรยายว่าคบค้าสมาคมกับตะพาบและปลาที่ปะปนกันอยู่ในบ่อโคลน แต่ฝ่ายหลังกลับถูกบรรยายว่าเป็นผู้ที่พูดคุยเรื่องชีวิตอมตะกับเทพเซียนอย่างผ่อนคลาย
ในศาลเทพแม่น้ำมีเทพแม่น้ำพลังอำนาจไม่ธรรมดาสองคนยืนอยู่ คนหนึ่งในมือถือทวนเหล็กสีดำทะมึน บางครั้งมีอักขระสีทองเปล่งวูบวาบเป็นระยะ อีกคนหนึ่งมีงูเขียวรัดตรงแขน บางครั้งงูเขียวที่เฉลียวฉลาดตัวนั้นก็พ่นลมปราณสีหิมะออกมา
ทั่วร่างของเทพแม่น้ำสองท่านอบอวลไปด้วยไอน้ำขมุกขมัว
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำกล่าวเสียงทุ้มหนัก “หากรวบแหเมื่อไหร่ มีความเป็นไปได้มากว่ามือดาบผู้นั้นจะหนีไปทางใต้ ดังนั้นพวกเจ้าจึงต้องเฝ้ารออยู่ที่นี่ เมื่อถึงเวลาข้าจะเป็นคนแรกที่ลงมือขัดขวาง ไอ้เรื่องที่สละชีวิตคนอื่น เอาตัวเองรอด ข้าก็อยากทำ แต่ตอนนี้ไม่แน่ว่าฝ่าบาทอาจจะจับตามองพวกเราอยู่ก็ได้ ดังนั้นต่อให้เพิ่มดี (เปรียบเปรยถึงความกล้า) ให้ข้าอีกสิบก้อน ข้าก็ไม่กล้าทำ หวังว่าพวกเจ้าสองคนก็จะไม่ทำให้ฝ่าบาทผิดหวังเช่นกัน”
ชายฉกรรจ์กล่าวจบก็ก้าวยาวๆ ออกมาจากศาลเทพแม่น้ำ มุ่งหน้าไปยังเมืองหงจู๋ที่อยู่ทางทิศเหนือ แล้วถือโอกาสถอดเสื้อตัวบน เผยให้เห็นกล้ามเนื้อแข็งแรงและรอยสักน่าหวาดกลัว ผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปย่อมไม่กล้าสักลายมังกรพาดไหล่ ส่วนด้านหลังสักพยัคฆ์ออกจากป่าแบบนี้แน่นอน
ภายใต้แสงจันทร์ ชายฉกรรจ์ยกแขนสองข้างขึ้นกอดอก ยืนนิ่งไม่ขยับดุจภูผา ทว่าพลังอำนาจกลับทะยานสูงไม่หยุดยั้ง
……
บนทางสายยาวที่ทอดไปยังประตูใหญ่ของจุดพักม้าเจิ่นโถว สตรีแต่งงานแล้วที่พยายามจะเกลี้ยกล่อมให้หลินโส่วอีตามนางกลับไปตำหนักฉางชุนด้วยกันผู้นั้นยังไม่ได้จากไปไกล แต่เลือกเข้าไปนั่งในหอสุราข้างทางแห่งหนึ่ง ที่ในร้านมีหญิงสาวหน้าตางดงามขายสุรา คอยพูดคุยหยอกล้อด้วยคำพูดหยาบโลนกับลูกค้าหน้าตาเฉย ส่วนสามีของนางก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเองไป
ข้างกายของไท่ซ่างจ่างเหล่า (คำเรียกผู้อาวุโสที่คุมอำนาจการปกครองอยู่เบื้องหลัง) แห่งตำหนักฉางชุนผู้นี้มีดรุณีน้อยที่ตอนนั้นทำหน้าที่แจวเรือนั่งอยู่ด้วย นางคือสตรีบนเรือที่ตระกูลมีชาติกำเนิดต่ำต้อยมาหลายยุคหลายสมัย เพียงแต่ครั้งนี้โชคดีได้รับวาสนาเทียมฟ้า ไปเข้าตาอาจารย์ที่นั่งอยู่ข้างกายผู้นี้ จึงจะพานางไปฝึกวิชาเซียนในตำนานที่ตำหนักฉางชุนด้วยกัน ตามคำบอกของอาจารย์ที่หล่นมาจากฟ้าผู้นี้ พรสวรรค์ของเด็กสาวไม่ธรรมดา น่าจะเป็นเพราะอาศัยอยู่กับน้ำมาหลายชั่วคน อีกทั้งยังมีกรรมสัมพันธ์กับแม่น้ำชงตั้น เป็นเหตุให้เกิดมาก็มีความใกล้ชิดกับผืนน้ำ ถือเป็นคุณสมบัติไม่ธรรมดาที่มีหวังว่าจะเลื่อนสู่ห้าชั้นกลางได้
เด็กสาวไม่รู้ว่าอะไรคือห้าชั้นกลาง เวลานี้นางจิบเหล้ารสร้อนแรงคำเล็กๆ เลียนแบบอาจารย์ของตน ไม่ใช่ว่ากลัวจะเมา เพราะสตรีบนเรือไม่มีใครที่ดื่มเหล้าไม่เป็น แต่บุคลิกท่วงท่าอันเป็นธรรมชาติของอาจารย์ทำให้เด็กสาวอดที่จะอยากลอกเลียนแบบอย่างห้ามไม่ได้
เด็กสาวถามเสียงเบาว่า “อาจารย์ เหตุใดเด็กหนุ่มผู้นั้นถึงไม่ยอมติดตามพวกเราไปตำหนักฉางชุนล่ะเจ้าคะ?”
สตรีแต่งงานแล้วที่อายุจริงเกือบถึงร้อยยี่สิบปียิ้มบางๆ “พูดไม่ได้ว่าเขาไม่รู้จักความหวังดีของคนอื่น กล่าวได้เพียงว่าวาสนายังมาไม่ถึงกระมัง การบำเพ็ญตนแน่นอนว่าเป็นการฝึกความสามารถ ก็เหมือนกับการสร้างบ้านที่จำเป็นต้องมีรากฐานอันมั่นคง แต่สุดท้ายแล้วจะตัดสินใจให้มีความสูงเท่าไหร่ ก็ยังคงต้องดูที่ใจในการฝึกตน ดูว่าจะฝึกได้ถึงขั้นไหน จิตใจของหลินโส่วอีผู้นั้นยืนหยัดหนักแน่น คือตัวอ่อนที่ดีในการฝึกบำเพ็ญตนมาตั้งแต่เกิด ต่อให้ไม่เข้ามาอยู่ในตำหนักฉางชุนของข้า เขาก็ยังสามารถเดินไปได้ไกลมากอยู่ดี ดังนั้นเจ้าต้องพยายามให้มาก ครั้งหน้าที่มีโอกาสพบเจอกันอีกครั้งถึงจะไม่รู้สึกละอายที่ตัวเองสู้ไม่ได้อีก”
เด็กสาวอืมหนึ่งที แล้วก้มหน้าดื่มเหล้าต่อ
ไม่พูดไม่ได้ว่า สตรีวัยกลางคนที่คล้ายจะคงความเยาว์วัยตลอดกาลผู้นี้มีจิตใจที่กว้างขวางไม่น้อย
เมืองหงจู๋เกิดแผ่นดินไหวขึ้นเป็นครั้งแรก
ยังดีที่แม้พลังอำนาจจะยิ่งใหญ่ แต่ความเคลื่อนไหวที่ส่งผลกระทบต่อบ้านเรือนในเมืองเล็กกลับน้อยมาก เพียงแค่โต๊ะเก้าอี้บนชายฝั่งส่ายไหว เรือทัศนาจรในแม่น้ำโยกคลอนเท่านั้น
สีหน้าของหญิงแต่งงานแล้วเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย “เป็นผู้ฝึกลมปราณห้าชั้นบนจริงๆ ด้วย”
สตรีแต่งงานแล้วพลันหนักใจ เอ่ยเสียงเบา “หวังเพียงแต่จะไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณสำนักการทหารชั้นที่สิบเอ็ดหรือชั้นที่สิบสองในตำนานก็แล้วกัน”
นางหันไปพูดกับเด็กสาว “เมื่อข้าจากไปแล้ว ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น อย่าตื่นตระหนก แค่รออยู่ที่เดิมก็พอ”
หากเทพเซียนขอบเขตอย่างพวกเขาตีกัน คนธรรมดาไม่เพียงแต่ได้รับเคราะห์ ซ้ำร้ายต่อให้รู้ว่าภัยพิบัติกำลังจะมาเยือน ก็อาจจะยังหนีไม่รอดเสมอไป
ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่า หากใต้หล้านี้ไม่มีเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาคอยเฝ้าพิทักษ์พื้นที่แห่งหนึ่ง ไม่มีนักพรตสำนึกการทหารที่แข็งแกร่งที่สุดนอกเหนือจากสามลัทธิ จำเป็นต้องพึ่งพาราชวงศ์อย่างเดียว ไม่มีเทพภูเขาและเทพแม่น้ำมากมายขนาดนั้นคอยช่วยเหล่ากษัตริย์เชื้อพระวงศ์คอยจับตามอง หรือคอยขัดขวางกลุ่มอิทธิพลบนภูเขา ถ้าอย่างนั้นใต้หล้านี้จะโกลาหลได้ถึงขั้นไหน?
นางไม่กล้าคิด
ต่อให้ตัวของนางเองจะเป็นเทพเซียนบนภูเขาก็ตาม