หาดหินโสโครกอันตรายที่กระแสน้ำไหลเชี่ยวช่วงนั้นของแม่น้ำชงตั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นด่านประตูผีในสายตาของชาวบ้านทั่วไป เป็นเหตุให้ทุกครั้งที่คนพายเรือพาลูกค้ากลับมาได้ย่อมต้องได้รับค่าตอบแทนจนกระเป๋าตุง ผูกเรือไว้กับริมฝั่งแม่น้ำที่ไหลทะลุเมืองเล็ก ลงจากเรือไปก็คือหอสุราหอโคมเขียวที่เต็มไปด้วยเสียงจอแจคึกคักแทรกแซมไปด้วยร้านเหล้าเล็กๆ ที่ขายสุราราคาถูกซึ่งมีสาวงามหลายคนยืนเรียกลูกค้าอย่างพวกชาวเรือให้เข้ามาดื่มเหล้าพักผ่อนอยู่หน้าร้าน หากคนพายเรือสามารถพูดเกลี้ยกล่อมลูกค้าที่โดยสารเรือของตัวเองได้ก็จะถือโอกาสพาพวกเขาไปเยือนหอสุราและหอโคมเขียวที่ตัวเองคุ้นเคย และนั่นจะทำให้พวกเขามีรายรับเพิ่มเติมขึ้นมาอีกไม่น้อย
วันนี้มีคนผู้หนึ่งจ้างคนแจวเรือผู้หนึ่งให้ไปยังช่วงแม่น้ำที่มีป่าหินผุดพ้นผิวน้ำดุจหอกทวนผงาด
คนแจวเรือเป็นชายฉกรรจ์ร่างกายกำยำ แม้จะมีอายุราวๆ ห้าสิบปี แต่เรือนกายกลับยังแข็งแกร่ง กล้ามเนื้อบนแขนทั้งสองข้างปูดนูน อีกทั้งยังคุยเก่ง ลูกค้าที่จ้างวานเขาคือบัณฑิตเฒ่าคนหนึ่งที่ทั้งตัวมีแต่กลิ่นอายของความทรุดโทรมยากจน แต่กลับพอมีเงินอยู่บ้าง จ่ายค่าจ้างด้วยเงินสิบตำลึงเงินไม่มากไม่น้อย มองไปแล้วอย่างน้อยก็ต้องอยู่ในช่วงอายุหกสิบปี แต่กลับยังออกเดินทางเพียงลำพัง นี่ทำให้คนแจวเรือแปลกใจอยู่บ้าง
เรือลำน้อยกระเพื่อมขึ้นลงอยู่กลางกระแสน้ำเชี่ยวกราก มีฝอยน้ำสาดกระเซ็นมาโดนตัวคนทั้งสองอย่างต่อเนื่อง คนแจวเรือเห็นว่าผู้เฒ่านั่งเอียงข้าง สองมือจับกราบเรือเอาไว้แน่นก็อดหัวเราะในใจไม่ได้ ดูเหมือนว่าไม่ว่าจะมีอายุเท่าไหร่ บัณฑิตก็มักจะมีลักษณะแบบนี้กันทั้งนั้น ก็เหมือนอย่างที่คนแจวเรือไม่เข้าใจเลยว่าก้อนหินในน้ำพวกนั้นมีอะไรให้น่าดูกัน มันพูดได้งั้นหรือ หรือว่าสวยกว่าสาวๆ สองฝากฝั่งของเมืองหงจู๋พวกเขา? ควักเงินซื้อความลำบาก สมองของบัณฑิตคิดในสิ่งที่คนธรรมดาไม่มีวันเข้าใจจริงๆ
หลังจากเรือลำน้อยแล่นออกจากหาดหินอันตรายมาถึงผิวน้ำนิ่งสงบของแม่น้ำชงตั้น คนแจวเรือพูดถึงคำเล่าลือโบร่ำโบราณเกี่ยวกับศาลเจ้าแม่เล็กน้อยก็ถามชวนคุยว่า “ท่านผู้เฒ่า ท่านเป็นคนต่างถิ่นหรือ? เป็นคนที่ไหนล่ะ แต่ท่านพูดภาษาทางการของต้าหลีเราได้คล่องเหมือนกันนะ”
“ข้าน่ะหรือ บ้านเกิดข้าอยู่ห่างไกลไปมากเลยล่ะ แต่ชอบท่องเที่ยวชมทัศนียภาพไปเรื่อยเปื่อย ไม่มีใครให้ต้องเป็นห่วง สบายนักล่ะ”
“ท่านเองก็อายุไม่น้อยแล้วนะ ต้องรักษาสุขภาพให้มาก”
“พอได้ๆ”
“ท่านผู้เฒ่า ข้าถามอะไรท่านหน่อย ท่านขึ้นเหนือล่องใต้ไปทั่ว คงไปมาแล้วหลายสถานที่ ท่านรู้สึกว่าทัศนียภาพของต้าหลีเราเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ดีมากๆ คนโดดเด่นสถานที่งดงาม”
“แล้วเหล้าของเมืองหงจู๋เราอร่อยไหม?”
“อร่อยสิ อร่อย แต่แพงไปหน่อย”
“แล้วฮ่องเต้ของพวกเราร้ายกาจมากเลยใช่ไหม?”
“ร้ายกาจมาก”
“วิชาหมากล้อมของราชครูต้าหลีเราสูกว่าคนของต้าสุยใช่ไหม?”
“น่าจะใช่กระมัง”
“ทางเหนือของต้าหลีเราแข็งแกร่งมากที่สุดเลยใช่หรือไม่?”
“แน่นอน ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว”
อันที่จริงนอกจากคำถามแรกแล้ว คำถามหลังๆ คนแจวเรือล้วนจงใจหยอกผู้เฒ่าเล่น เพราะเขาค้นพบว่าผู้เฒ่าเป็นคนดีมาก ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ล้วนพยักหน้าเออออตามทั้งสิ้น
ขณะที่กำลังจะขึ้นฝั่ง มองใบหน้าของบัณฑิตเฒ่าที่เต็มไปด้วยความจริงใจซึ่งกำลังพยักหน้าแรงๆ อีกครั้ง คนแจวเรือก็หลุดหัวเราะอย่างอดไม่ได้ “ท่านผู้เฒ่า ท่านนี่นิสัยดีจริงๆ แต่ก็ดีมากเกินไปหน่อย ใครที่ไหนเขาพูดง่ายแบบท่านบ้าง เมื่อก่อนข้าเองก็เคยเห็นพวกบัณฑิตมาก่อน ไม่ว่าจะเด็กหรือแก่ก็เคยมาเยือนกันเป็นร้อยคนแล้ว ถ้าคนเหล่านั้นล้วนพูดจาสุภาพสำบัดสำนวน ฟังไม่ค่อยเข้าใจ ทำให้คนรู้สึกว่าพวกเขามีความรู้อย่างมาก เฮ้อ น่าเสียดายก็แต่ข้ามันคนหัวทึบ ไม่เคยเรียนหนังสือมาก่อน แล้วก็ยิ่งไม่มีอาจารย์คอยชี้นำแนวทาง ต่อให้อยากจะสอดปากพูดก็ยาก”
“ขอแค่มีความตั้งใจก็พอแล้ว ทุกเรื่องล้วนไม่ยาก” ผู้เฒ่าหัวเราะฮ่าๆ จากนั้นก็ถามว่า “ใช่แล้ว เจ้าเคยได้ยินชื่ออาจารย์ฉีของสำนักศึกษาซานหยาหรือไม่?”
คนแจวเรือลังเลอยู่ชั่วครู่ก็ถอนหายใจเบาๆ สุดท้ายส่ายหน้า “ไม่เคยได้ยิน”
ผู้เฒ่าพยักหน้ายิ้มตาหยี “ต้าหลีไม่ค่อยเหมือนที่อื่นจริงๆ ทำไมน่ะหรือ ข้าเคยผ่านหอส่งควันสัญญาณขนาดเล็กของชายแดนแห่งหนึ่งที่มีคนอยู่แค่สองคน ผลกลับกลายเป็นว่ามีเซียนผู้หนึ่งพลิ้วกายลงมาขอของกิน หากเปลี่ยนมาเป็นประเทศอื่นคงต้องคุกเข่าโขกหัวประคองส่งให้ด้วยสองมือ แต่ทหารชายแดนต้าหลีของพวกเจ้าไม่เหมือนกัน พวกเขากล้าจะยืดเอวตรงพูดกับเซียน แน่นอนว่าในใจจะเต้นกระหน่ำบ้างก็เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้”
คนแจวเรือร้องโอ้หนึ่งที ถามยิ้มๆ “ท่านผู้เฒ่าเคยเห็นเทพเซียนด้วยหรือ? ถ้าอย่างนั้นเส้นทางยาวไกลที่ท่านเดินผ่านมาก็ไม่ถือว่าเสียเปล่าแล้ว เก่งกว่าข้าเสียอีก พวกนักท่องเที่ยวต่างถิ่นมักจะบอกว่าด้านใต้แม่น้ำชงตั้นของพวกเรามีผีพรายมีแม่ย่าลำธารอะไรอยู่ แต่ข้าขับเรือมาสามสิบปีแล้ว ยังไม่เคยเห็นอะไรประหลาดๆ แม้แต่ครั้งเดียว”
ผู้เฒ่าตอบด้วยรอยยิ้ม “เคยสิ ข้าเคยเห็นมาก่อนจริงๆ แต่ว่าเซียนพวกนั้นนิสัยไม่ค่อยดี ทหารของหอสัญญาณสองคนนั้นถูกตบจนปลิวกระเด็นออกไปคนละที แม้แต่โต๊ะและเก้าอี้ก็ล้วนถูกทุบจนเละเทะ ทว่ามีเซียนอยู่คนหนึ่งที่พอกินอิ่มหนำแล้ว ก่อนจากไปยังทิ้งทองก้อนเอาไว้บนโต๊ะด้วย”
คนแจวเรือจุ๊ปากด้วยความอิจฉา “แบบนั้นก็รวยเละเลยน่ะสิ หากเปลี่ยนมาเป็นข้า อย่าว่าแต่ถูกตบทีเดียวเลย ต่อให้ถูกตบสิบทีก็ยังได้”
ผู้เฒ่าพยักหน้าชื่นชม “เจ้าช่างใจกว้างยิ่งนัก เป็นเรื่องที่ดี เป็นเรื่องที่ดี”
แล้วจู่ๆ คนแจวเรือก็ถามขึ้นด้วยความห่วงใย “ใช่แล้ว เทพเซียนพวกนั้นไม่ได้ทำให้ท่านลำบากใจใช่ไหม?”
ผู้เฒ่ามองคนแจวเรือที่มีสีหน้าจริงใจแล้วหัวเราะอารมณ์ดี “ไม่เลยๆ”
หลังจากวางใจได้แล้ว คนแจวเรือก็อยากจะหยอกล้อบัณฑิตเฒ่าที่น่าสนใจคนนี้อีกสักครั้งจึงถามว่า “ท่านผู้เฒ่า อยากดื่มเหล้าไหม?”
คนแจวเรือขยิบตา พยายามกลั้นยิ้มอย่างสุดความสามารถ เอ่ยเบาๆ “เป็นเหล้าบุปผา ข้าพาท่านไปได้”
ผู้เฒ่าเบิกตากว้าง แล้วหลุดคำสามคำออกมา “แพงหรือไม่?”
คนแจวเรือหัวเราะร่าอย่างอารมณ์ดี คิดว่าจะเลิกล้อบัณฑิตเฒ่าคนนี้เล่นแล้ว “แพงมากเลยล่ะ!”
ผู้เฒ่าคิดไม่ตกอยู่พักใหญ่ ก่อนตอบ “ไม่เป็นไร หลังจากขึ้นฝั่งแล้วเจ้ารอข้าหน่อย ข้าจะไปขอยืมเงินจากคนอื่น ไม่แน่ว่าอาจจะยืมได้สักยี่สิบสามสิบตำลึงเงิน”
คนแจวเรืออึ้งตะลึง แต่สุดท้ายแล้วด้วยความเป็นคนซื่อสัตย์จริงใจของเขาจึงตัดใจพาผู้เฒ่าไปยังสถานที่แพงๆ ที่ผลาญเงินดุจน้ำไหลไม่ลง “ท่านผู้เฒ่า ข้าล้อท่านเล่น เหล้าบุปผาอะไรนั่นไม่น่าสนใจหรอก อยากจะดื่มเหล้าทั้งทีกลับต้องจ่ายเงินตั้งยี่สิบสามสิบตำลึง เสียดายแย่ เวลาดื่มคงไม่รู้รสชาติ พวกเราอย่าไปเลย หากท่านอยากจะดื่มเหล้าจริงๆ ข้าจะพาท่านไปที่ร้านเหล้าเล็กๆ ริมชายฝั่งร้านหนึ่ง เป็นเหล้าต้มของเมืองหงจู๋ ราคานับว่ายุติธรรม”
เรือน้อยค่อยๆ จอดเทียบฝั่ง หลังจากบัณฑิตเฒ่ายากจนลุกขึ้นยืนก็ตบไหล่ของคนแจวเรือ พูดกลั้วหัวเราะ “ปากพูดดี การกระทำชั่วร้าย เป็นภัยต่อบ้านเมือง”
คนแจวเรือเรือนกายแข็งแกร่งกำยำพลันหน้าขาวซีด คิดจะถอยหนี แต่กลับไม่อาจขยับเขยื้อน คิดจะกระโดดลงน้ำเผยร่างเดิมอย่างรวดเร็วก็ยิ่งเป็นเรื่องที่เพ้อฝันเกินตัว
ผู้เฒ่ายังคงพูดด้วยรอยยิ้มต่อไป “ปากไม่อาจพูด แต่บอกด้วยการกระทำ เป็นสิ่งที่สำคัญต่อประเทศชาติ หวังว่าเจ้าจะสามารถรักษาจิตใจดั้งเดิม เดินไปบนหนทางที่ดีงามได้”
ชายฉกรรจ์คนแจวเรือพลันรู้สึกคล้ายว่าในหัวใจมีปณิธานที่ยิ่งใหญ่ขุมหนึ่งผุดขึ้นมาอย่างน่าประหลาดใจ คิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว
ซิ่วไฉเฒ่าผู้นั้นถึงได้เดินขึ้นฝั่งแล้วจากไปอย่างเชื่องช้า
คนแจวเรือผู้นี้น้ำตาคลอเบ้า รอจนสามารถขยับตัวได้ในที่สุดก็รีบกระโดดขึ้นฝั่ง คุกเข่าดังตุ้บ แล้วเริ่มทำพิธีใหญ่สามหมอบเก้ากราบต่อแผ่นหลังของผู้เฒ่าที่จากไป
เล่าลือกันว่าฟ้าดินมีอริยะ ที่ปากเป็นดั่งบัญญัติแห่งสวรรค์ คำพูดหลุดจากปากเวทคาถาก็ตามมา
ซิ่วไฉเฒ่าถามมาตลอดทางจนกระทั่งมาถึงหน้าประตูของจุดพักม้าเจิ่นโถว แล้วจึงถามว่าเด็กหนุ่มที่ชื่อเฉินผิงอันยังอยู่หรือไม่
ทหารที่จุดพักม้าถามว่าเขาคือใคร
ซิ่วไฉเฒ่าครุ่นคิดแล้วก็บอกว่า เขาคืออาจารย์ครึ่งตัวของเด็กหนุ่มผู้นั้น
ผลกลับกลายเป็นว่าทหารของจุดพักม้าบอกให้เขารีบไสหัวไป
……
ไม่รู้ว่าเหตุใด หลายวันที่ผ่านมานี้เด็กหนุ่มหล่อเหลาที่หน้าผากมีไฝแดงหนึ่งเม็ดทำเพียงนั่งอยู่ในโรงเรียนเก่าแห่งนั้น วันๆ เอาแต่ถือตำราอ่านหนังสือ
ที่น่าแปลกยิ่งกว่านั้นก็คือ อ่านไปอ่านมาเด็กหนุ่มมักจะร่ำไห้สะอึกสะอื้นน้ำหูน้ำตานองเต็มหน้า