บนยอดเขาฉีตุน ชายฉกรรจ์ร่างหนาใหญ่ที่ก่อนหน้านี้ตรงเอวห้อยกาบรรจุเหล้าไว้เต็มแน่นนอนหายใจรวยรินจมอยู่กลางกองเลือด
ตอนที่สายรุ้งเส้นนั้นบินทะยานจากเมืองหงจู๋ขึ้นไปทางทิศเหนือ ในบรรดายอดฝีมือที่เข้ารวมการล้อมไล่ล่าครั้งนี้อย่างลับๆ ผู้ฝึกลมปราณต้าหลีที่อยู่ใกล้ที่แห่งนี้มากที่สุดก็คือสตรีแต่งงานแล้วที่ร่ำสุราอยู่ในหอสุราใกล้กับจุดพักม้าเจิ่นโถว ไท่ซ่างจ่างเหล่าแห่งตำหนักฉางชุน น่าเสียดายที่นางไม่ทันได้ลงมือ หรือบางทีควรจะพูดว่าความคิดนี้เพิ่งเกิดขึ้นก็สลายวับไปเสียกาย ในเมื่อลงมือไม่ทัน อีกทั้งขัดขวางก็ขวางไม่อยู่ ไม่กล้าขวาง ง่ายแค่นี้เอง
หัวใจที่กระจ่างใสดุจกระจกของสตรีแต่งงานแล้วถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นบางๆ หนึ่งชั้น นางจึงต้องมาดื่มเหล้าดับทุกข์
บุคคลคนแรกที่ลงมือขัดขวางอาเหลียงก็คือชายที่ไปข่มขู่เว่ยป้อเทพแห่งผืนดิน เขาตัดสินใจพุ่งเข้าชนแสงรุ้งเส้นนั้นอย่างเด็ดเดี่ยว จากนั้นก็ถูกฝ่ามือข้างหนึ่งตบกลับมาที่เดิมอย่างไม่ใส่ใจ
เว่ยป้อถอนหายใจ นั่งยองลงใช้มือกดลงบนหัวใจของชายผู้นั้นช่วยปกป้องหัวใจของเขาเอาไว้ ไม่ให้ชายน่าสงสารที่กล้าหาญไม่กลัวตายผู้นี้ไม่ต้องถูกลมปราณที่วุ่นวายของตัวเองกระเทือนร่างจนตาย
เพียงไม่นานข้างกายเว่ยป้อก็มีชายหนุ่มรูปโฉมไม่สะดุดตาคนหนึ่งปรากฏตัว ย่อตัวนั่งยองป้อนยาสีชาดเม็ดหนึ่งให้กับสหายใต้บังคับบัญชาที่ร่างโชกไปด้วยเลือด แล้วจับข้อมือที่ร้อนลวกของชายคนนั้น จับชีพจรอยู่ครู่ใหญ่ ในที่สุดชีพจรของอีกฝ่ายก็เริ่มสงบลง เขาพ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาเบาๆ หนึ่งครั้ง แล้วหันหน้าไปพูดกับเว่ยป้อ “เว่ยป้อ ชีวิตของเหล่าหลิวได้เจ้าช่วยเจ้า พระคุณช่วยชีวิตในครั้งนี้ ข้ารับเอาไว้แล้ว หลังจบเรื่องราชสำนักต้าหลีจะจัดการกับเจ้าอย่างไร ข้าไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ เกี่ยวกับเรื่องของตำแหน่งเทพก็ยิ่งไม่สมควรให้ข้าช่วยเปิดปากขอร้องแทนเจ้า เพราะหากข้าพูดไป ไม่แน่ว่ามีแต่จะทำให้ฮ่องเต้ต้าหลีรู้สึกอคติ ไม่ว่าจะอย่างไร ข้าก็ติดค้างน้ำใจเจ้าและเขาฉีตุนหนึ่งครั้ง”
เว่ยป้อสีหน้าไร้อารมณ์ “ที่ข้าช่วยก็เพราะไม่ใช่เรื่องที่เหนือบ่ากว่าแรง”
เว่ยป้อลุกขึ้นยืนช้าๆ ถึงได้ค้นพบว่าชายหนุ่มที่เก็บซ่อนพลังไว้ภายในผู้นี้ แม้จะถูกต้าหลีมองเป็นมือกระบี่ชั้นยอดที่คอยเฝ้าหน้าประตูเมืองหลวง แต่ไม่ได้พกกระบี่ยาวที่พึ่งพาดุจชีวิตของกันและกันไว้ข้างเอว กลับพาดไว้ขวางไว้หลังเอวอย่างไม่ใส่ใจ
เว่ยป้อลังเลอยู่ชั่วครู่ก็ยังอดไม่ไหวเอ่ยถามออกมา “เจ้าเองก็อยู่ในเมืองหงจู๋ ทำไมถึงไม่ลงมือขัดขวางมือกระบี่อาเหลียงผู้นั้น?”
มือกระบี่หนุ่มค่อยๆ แบกชายที่บาดเจ็บขึ้นหลัง พอลุกขึ้นยืนแล้วก็ตอบยิ้มๆ “มือดาบ? เขาคือมือกระบี่ คือมือกระบี่ที่สง่างามที่สุดใต้หล้านี้สำหรับในใจของข้า การที่ข้าเลือกเส้นทางการฝึกกระบี่มาตั้งแต่ยังหนุ่มก็เป็นเพราะเลื่อมใสคนผู้นี้”
เว่ยป้อไร้คำพูดตอบโต้
อันที่จริงเดิมทีปรมาจารย์วิถีกระบี่ที่เด็กแต่หน้าตาคิดจะพาผู้ใต้บังคับบัญชาไปจากที่นี่ แต่จู่ๆ บนใบหน้าก็เผยรอยยิ้มย้อนทวนความทรงจำในอดีต รู้สึกมีอารมณ์อยากพูดคุยโดยไม่ทราบสาเหตุจึงยืนอยู่ที่เดิม มองไปทางเมืองหงจู๋ที่มีแสงไฟสว่างไสว เอ่ยเสียงเบา “อืม สำหรับทวีปใหญ่ๆ ที่ข้าเคยอยู่อาศัยมาก่อนเหล่านั้น บุรพแจกันสมบัติทวีปของพวกเจ้านับว่าเป็นสถานที่เล็กๆ ที่ตัดขาดกับโลกภายนอก เรื่องน่าสนใจบางเรื่องที่เป็นสิ่งต้องห้ามพูดไปแล้วก็ไม่เป็นไร ถ้าอย่างนั้นข้าจะเล่าเรื่องหนึ่งให้เจ้าฟังก็แล้วกัน เจ้าน่าจะรู้ว่าลัทธิขงจื๊อมีสถานศึกษาขนาดใหญ่อยู่สามแห่ง คนผู้นี้เคยเจ็บแค้นและรู้สึกไม่เป็นธรรมต่อเรื่องของฉีจิ้งชุน จึงพกกระบี่เล่มเดียวบุกไปยังสถานศึกษาอีกสองแห่ง อาละวาดจนไก่บินหมากระโดดอลหม่านกันไปหมด ต้องรู้ว่าทุกยุทธภพของในแต่ละทวีปที่อาเหลียงพเนจรท่องไป เขามักจะมีคำพูดติดปากที่โด่งดังประโยคหนึ่งว่า ‘ในนี้มีใครสู้เป็นบ้างไหม ข้าอาเหลียงจะสู้กับคนเก่งและคนแก่เท่านั้น ไม่สู้กับเด็กและคนอ่อนแอ’ ทว่าสองครั้งนั้นอาเหลียงกลับไม่ออมมือแม้แต่น้อย ใครพูดหลักการกับเขา ใครขวางทางไปของเขา เขาก็เล่นงานจนสะพานแห่งความอมตะของอีกฝ่ายขาดสะบั้นอย่างไม่ไว้ไมตรี เจ้ารู้หรือไม่? นักปราชญ์และวิญญูชนที่สูงส่งเกินใครจะเปรียบกี่มากน้อยที่ต้องกลายมาเป็นมนุษย์ธรรมดาแม้แต่แรงให้จับไก่ก็ยังไม่มี? เพียงแต่ว่าโศกนาฎกรรมสองครั้งนั้นถูกลัทธิขงจื๊อที่ให้ความสำคัญกับกฎเกณฑ์และพิธีการมองเป็นการกระทำที่แตะเกล็ดมังกร ใครก็ไม่กล้าเอ่ยถึงส่งเดช”
เว่ยป้อกลืนน้ำลาย ถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ “ผู้อาวุโสอาเหลียงกำเริบเสิบสานขนาดนี้เชียวหรือ? อริยะที่แท้จริงล่ะ?”
มือกระบี่เผยสีหน้าเหมือนได้รับเกียรติ หัวเราะเหอๆ “เพราะฉะนั้น สุดท้ายเรื่องจึงไปถึงหูหนึ่งในเทวรูปที่ตั้งอยู่ตรงกลางสุดของศาลเจ้าบุ๋น เขาจึงเยื้องกรายลงมาจากฟ้าอย่างเงียบเชียบ มายืนอยู่เบื้องหน้าอาเหลียง หลังจากประมือกันไปได้รอบหนึ่ง อาเหลียงถึงได้ยอมหยุดมือ ไม่รู้ว่าใครแพ้ใครชนะ แต่สรุปก็คืออริยะใหญ่ท่านนั้นกั้นฟ้าดินแห่งหนึ่งขึ้นมา ว่ากันว่าเป็นกระดานหมากล้อมกระดานหนึ่ง แต่ก็มีคนบอกว่าเป็นตำราเล่มหนึ่ง เพื่อนำมาทำเป็นสนามรบของคนทั้งสอง คนนอกไม่อาจรู้ถึงขั้นตอนระหว่างการต่อสู้ของพวกเขา รู้เพียงว่าหลังจากนั้นอาเหลียงถึงยอมออกมาจากสถานศึกษา ข้ามผ่านทวีปใหญ่สองแห่ง ผ่านภูเขาห้อยหัว เดินทางไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่อยู่ในใต้หล้าอีกแห่งหนึ่ง ภูเขาห้อยหัวคือพื้นที่หนึ่งที่อริยะลัทธิเต๋าสร้างขึ้นด้วยมือตัวเอง แล้วก็ถือเป็นพื้นที่ต้องห้ามของลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ ดังนั้นข่าวคราวและข้อมูลมากมายที่อาจจะสร้างความตะลึงพรึงเพริดให้กับผู้คนในโลกจึงถูกตัดขาดไปเช่นเดียวกัน”
เว่ยป้อรู้สึกเหมือนอ่านตำราสวรรค์ สายตาเลื่อนลอยด้วยความไม่เข้าใจ
บนยุทธภพที่เหล่าผู้ฝึกยุทธ์เดินกันเพ่นพ่าน มีประโยคหนึ่งบอกว่า ไม่ใช่ผู้ฝึกตน ไม่รู้เรื่องบนภูเขา
แต่บนเส้นทางของการฝึกตนก็มีประโยคหนึ่งบอกว่า คนที่อยู่บนภูเขาแล้ว จะไม่รู้เรื่องนอกท้องฟ้า
แม้ว่ามือกระบี่จะยังมีเรื่องเล่าประหลาดพิสดารที่ยังอยากพูดอยากคุยอยู่อีกมาก แต่ก็ยังตัดสินใจจบบทสนทนาครั้งนี้ โดยพูดเป็นประโยคสุดท้ายว่า “เรื่องของเจ้า ข้าไม่สะดวกเข้าร่วม แต่เด็กสาวคนนั้น ข้าจะให้นางและตำหนักฉางชุนช่วยกันอบรมปลูกฝังอย่างเต็มกำลัง แต่ก่อนที่จะเป็นเช่นนี้เจ้าเว่ยป้อต้องไม่รู้สึกว่าข้าล่วงละเมิดเสียก่อน”
เว่ยป้อยิ้ม “ข้าจะเป็นคนโง่เง่าไม่รู้จักความหวังดีของผู้อื่นแบบนั้นได้อย่างไร ขอบคุณมาก”
มือกระบี่ผ่อนลมหายใจ มององค์เทพที่มีชื่ออยู่บนกระดานของฝ่ายกรมพิธีการต้าหลีผู้นี้แล้วยิ้มบางๆ “ถ้าอย่างนั้นข้าจะกลับไปที่เมืองเล็กแล้วบอกนางสักคำว่า ตอนที่พวกนางเดินทางกลับเมืองหลวงต้าหลีให้เลือกเดินเท้าผ่านภูเขาฉีตุนลูกนี้ จากนั้นค่อยทะยานกลางอากาศกลับไปทางตอนเหนือ”
เว่ยป้อสีหน้าซับซ้อน ถอนหายใจ ก้มหน้าลงเล็กน้อย “ไม่มีอะไรจะตอบแทน ข้าได้แค่เอ่ยขอบคุณเจ้าอีกครั้งเท่านั้น”
มือกระบี่ที่มาจากทวีปอื่นถามเสียงเบา “เมื่อก่อนข้าไม่เชื่อในเนื้อหาที่บันทึกไว้ในเอกสารของกรมพิธีการ ตอนนี้ได้เห็นกับตาตัวเองจะไม่เชื่อก็ไม่ได้ เว่ยป้อ เพื่อนางแล้วเจ้ายอมเสียเวลาพิสูจน์มหามรรคาบรรลุร่างทองไม่ดับสลายมาหลายปีขนาดนี้ ตอนนี้จะยังไม่ยอมปล่อยมืออีกหรือ?”
เว่ยป้อส่ายหน้า “ในเมื่อได้ถือไว้แล้วก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องปล่อยมือ”
มือกระบี่ส่ายหน้า “ไม่เข้าใจ”
เว่ยป้อนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงถามด้วยความรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย “ถือว่าเป็นคำสัญญาที่ให้ไว้กับผู้อาวุโสอาเหลียง ช่วงนี้ข้าจึงวางแผนว่าจะไปที่ภูเขาลั่วพั่วในอำเภอหลงเฉวียนสักรอบ พางูดำของที่นี่ไปด้วยกัน แม้ข้าจะยังคงทำตามขั้นตอนของกรมพิธีการต้าหลีพวกเจ้าโดยการส่งรายงานไปทีละชั้น แต่ต่อให้สุดท้ายจะไม่ได้รับคำตอบรับ ข้าก็ต้องรีบไปรีบกลับภูเขาลั่วพั่วสักรอบ อาจจะต้องรบกวนให้เจ้าช่วยบอกกล่าวแก่นายอำเภอหลงเฉวียนสักคำ ได้หรือไม่?”
มือกระบี่ยิ้มกว้างสง่างาม “เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไม่มีค่าพอให้พูดถึงเลย แล้วนับประสาอะไรกับที่เดิมทีนี่ก็เป็นการกระทำที่แสดงให้เห็นว่าเจ้าเป็นฝ่ายยอมลงให้ต้าหลีก่อน เป็นเรื่องดี วางใจได้เลย แม้ว่ากษัตริย์สกุลซ่งของต้าหลีแต่ละยุคแต่ละสมัยจะเป็นพวกมีปณิธานที่ยิ่งใหญ่และจิตใจทะเยอทะยานกันทุกคน มักจะมอบความรู้สึกกดดันบีบคั้นให้แก่ผู้คน แต่เมื่อได้อยู่ร่วมด้วยอย่างแท้จริงนับว่ายังดี หาไม่แล้วข้ากับอาจารย์หลวนก็คงจะไม่อยู่ต้าหลีนานหลายปีขนาดนี้”
เว่ยป้อพลันถามขึ้น “ผู้อาวุโสอาเหลียงบุกไปทางทิศเหนือด้วยท่าทางดุดันคุกคามขนาดนั้น เพราะจะไปหาเรื่องต้าหลีหรือ?”
มือกระบี่พยักหน้ารับ ยกยิ้มขมขื่น “ปัญหาใหญ่เชียวล่ะ”
เว่ยป้อตกตะลึง “ตามคำบอกของเจ้า ก่อนหน้าที่ผู้อาวุโสอาเหลียงจะไปยังภูเขาห้อยหัวก็สามารถลงมือกับพี่ใหญ่หนึ่งในอริยะสามลำดับแรกของลัทธิขงจื๊อได้แล้ว ถ้าอย่างนั้นหากครั้งนี้เขาจะลงมือจริงๆ เมืองหลวงต้าหลีจะไม่หายไปจากแผนที่ของแจกันสมบัติทวีปนับตั้งแต่นี้เลยหรือ?”
มือกระบี่ครุ่นคิดแล้วก็กล่าวตอบตรงไปตรงมา “หากถามความเห็นข้า ถ้าอย่างนั้นราชวงศ์ต้าหลีที่มีโอกาสว่าจะกลายมาเป็นนายแห่งหนึ่งทวีปก็อาจจะต้องสิ้นชาติแล้วกระมัง”
สีหน้าของเว่ยป้อแปลกประหลาดอย่างยิ่งคล้ายกำลังพูดว่า เพราะฉะนั้นนี่คือเหตุผลที่แท้จริงที่เจ้าไม่เลือกลงมือกระมัง เมื่อต้าหลีผ่านศึกนี้ไปแล้ว ประเทศที่เจริญรุ่งเรืองจะต้องกลับคืนไปเป็นสภาพเดิมของเมื่อหลายสิบปีก่อน หรืออาจถึงขั้นร้อยปีก่อน เจ้าต้องการเป็นนกดีที่รู้จักเลือกกิ่งไม้พำนักนอนใช่หรือไม่?
มือกระบี่เป็นคนจิตใจกว้างขวางอย่างแท้จริง สำหรับการที่เทพแห่งผืนดินของเขาฉีตุนใช้จิตใจของคนถ่อยมาวัดคุณธรรมของวิญญูชนนี้ เขาไม่ได้ถือสาเลยแม้แต่น้อย เพียงส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าคิด เจ้าต้องรู้ว่า ข้าไม่ใช่อาเหลียง และชั่วชีวิตนี้ข้าก็คงไม่มีทางเป็นมือกระบี่อย่างอาเหลียงได้ หลักการของอาเหลียงมักจะไม่เหมือนกับคนอื่นเสมอ ประหลาดมากที่เวลาตระกูลเซียนผู้สูงศักดิ์ในสายตาของผู้ฝึกลมปราณทั่วไปเกิดความขัดแย้งกับอาเหลียงขึ้นมา พอรู้ตัวตนของเขาแล้วมักจะต้องกลัวจนแทบตาย นึกว่าตัวเองต้องเผชิญกับหายนะดับชีวิตแล้ว แต่อาเหลียงแทบจะไม่เคยลงมืออย่างโหดเหี้ยมมาก่อน แค่สอนบทเรียนที่พอสมควรแก่พวกเขาเสร็จก็จากไป แน่นอนว่าคำเล่าลือยังบอกด้วยว่าเขาชอบแทะโลมเทพธิดาสาวหน้าตางดงามมากเป็นพิเศษ แต่ว่าเรื่องนี้ข้ายังไม่เคยมีโอกาสถามต่อหน้าผู้อาวุโสอาเหลียงมาก่อน และน่าเสียดายที่หลังจากนี้คงไม่มีโอกาสอีกแล้ว”
มือกระบี่โคจรตบะเพิ่มความสามารถในการมองเห็นมองไปยังทิศไกล เมื่อเสียงกัมปนาทดังขึ้นติดต่อกันหลายครั้งพร้อมกับแสงพร่างพราวที่ระเบิดกระจายครั้งแล้วครั้งเล่า ในฐานะที่เป็นหนึ่งในผู้ประคับประคองต้าหลี เขาทั้งถอนหายใจ แต่ขณะเดียวกันในฐานะที่เป็นมือกระบี่บนวิถีทางเดียวกัน เขาก็ทั้งปรารถนาอยากให้ตัวเองได้เป็นเหมือนอีกฝ่าย
มีเรื่องหนึ่งที่เขาไม่เคยบอกใคร
ตอนอยู่เมืองหงจู๋ อาเหลียงเคยมาหาเขา ถามคำถามบางอย่างกับเขา
ต้าหลีเป็นต้าหลีแบบใดกันแน่ ฮ่องเต้ต้าหลีคือกษัตริย์ที่เป็นคนแบบใดกันแน่
รวมไปถึงหลายปีมานี้ ฉีจิ้งชุนที่อยู่ในสำนักศึกษาซานหยา อยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูเคยได้ทำอะไรไปบ้าง
เรื่องเล็กเรื่องใหญ่ เขาล้วนอยากรู้ทั้งหมด
คนทั้งสองดื่มสุราที่ธรรมดาที่สุดของเมืองหงจู๋ ดื่มพลางพูดคุยกัน
ผลกลายเป็นว่าถึงท้ายที่สุดมือกระบี่ที่กำลังเต็มไปด้วยความตื่นเต้นเอาแต่กระตือรือร้นในการตอบคำถาม รอจนอาเหลียงสะบัดก้นจากไป เขาถึงได้ค้นพบว่าตัวเองยังไม่ทันได้เปิดปากถามคำถามเล็กๆ ที่เก็บกลั้นในใจมานานหลายปีแม้แต่คำถามเดียว ยกตัวอย่างเช่นอาเหลียงเวทกระบี่ของเจ้าในตอนนี้สูงมากแค่ไหน? ในสถานที่ที่ใช้กำแพงสูงยาวเหยียดกั้นขวางการโจมตีจากเผ่าปีศาจแห่งนั้น เจ้าได้สลักตัวอักษรที่เป็นของเจ้าอาเหลียงลงไปหรือไม่? ท่ามกลางเผ่าปีศาจมีปีศาจสาวงดงามที่ทำให้เจ้าอาเหลียงหวั่นไหวได้บ้างหรือไม่?
มาถึงท้ายที่สุด ชายหนุ่มได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า ใต้หล้านี้จะมีสักกี่คนที่เคยเลี้ยงเหล้าอาเหลียงบ้าง?
พอนึกถึงเรื่องนี้ ชายที่กลายมาเป็นผู้ฝึกกระบี่ก็อารมณ์ดีอย่างมาก
ขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะจากไป เว่ยป้อกลับหัวเราะเสียงดังขึ้นมากะทันหัน “ข้าเว่ยป้อเคยรับดาบไม้ไผ่จากผู้อาวุโสอาเหลียงมาหนึ่งดาบ ผลกลับยังไม่ตาย ถือว่าเป็นวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ได้หรือไม่? ข้าไม่สนหรอกว่าผู้อาวุโสอาเหลียงออมมือหรือไม่ ไม่ได้ๆ คราวหน้าหากมีโอกาสพวกเราสองคนจะต้องดื่มเหล้าด้วยกัน ข้าจะได้เล่าเรื่องนั้นให้เจ้าฟังอย่างละเอียด ศึกครั้งนั้นช่างชวนให้จิตใจฮึกเหิมจริงๆ ต่อให้เล่ากลับไปกลับมาเป็นร้อยรอบก็ยังไม่พอ…”
ชายหนุ่มแค่นเสียงเย็นแล้วพลันทะยานร่างขึ้นฟ้า
เว่ยป้อยื่นมือออกไปปัดฝุ่นที่คละคลุ้งให้สลายออก เก็บรอยยิ้มกลับคืนมา มองเหม่อเงียบงันไปยังเมืองหงจู๋ที่เป็นดั่งตะเกียงดวงหนึ่งท่ามกลางม่านราตรีด้วยสายตาอ่อนโยน
องค์เทพแห่งขุนเขาเหนือแคว้นเสินสุ่ยในอดีต เพียงมองครั้งเดียวนี้เวลาก็ผ่านไปแล้วร้อยปีพันปี
มองนางที่ถือกำเนิดเป็นเด็กทารก เติบโตเป็นสาวสะพรั่ง แก่ชราเส้นผมขาวโพลนอยู่ในโค้งน้ำแห่งนั้นของแม่น้ำชงตั้นครั้งแล้วครั้งเล่า
เขายังคงไม่ยินดียอมรับว่า นางไม่ใช่นางมาตั้งนานแล้ว