กระบี่จงมา Sword of Coming – บทที่ 120.1

บทที่ 120.1
เดินทางไกล
โดย

 

หลังจากผ่านมรสุมครั้งนี้มาได้ เจ้าของเรือลำใหญ่ที่สายตาเฉียบคมก็รีบวิ่งมาทันที บอกว่าได้เตรียมห้องพักชั้นสองดีเยี่ยมไว้ให้แก่แขกผู้มีเกียรติทั้งหลายแล้ว จะจูงลาตัวนั้นขึ้นไปด้วยก็ไม่เป็นไร เพราะนี่ควรจะถือเป็นเกียรติเรือลำน้อยของเขาถึงจะถูก และยังมีพวกคนชนชั้นสูงที่มาด้วยความเลื่อมใส ส่วนใหญ่พกดาบไม่พกกระบี่ เห็นได้ชัดว่าต้องการมาตีสนิท เฉินผิงอันรับมือกับเรื่องพวกนี้ไม่เก่ง จึงเป็นหลินโส่วอีที่ออกหน้าช่วยปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม จะอย่างไรแล้วก็เป็นเด็กหนุ่มที่เติบโตมาในจวนผู้ตรวจการ ไม่ว่าจะเป็นการกระทำหรือคำพูดก็ล้วนรอบคอบไม่มีที่ติ ต่อให้ปฏิเสธพวกเขา คนเหล่านั้นก็ยังจากไปพร้อมรอยยิ้ม

มือกระบี่ที่ถูกผู้เฒ่าเรียกว่า “ป๋ายจิง” คนนั้นคือผู้ฝึกตนอสิระที่พอจะมีชื่อเสียงอยู่ทางตอนใต้ของต้าหลี กระบี่ที่เขาพกก็เป็นอาวุอาคมจริงแท้แน่นอน มีชื่อว่าหลิงซวี คืออาวุธทรงอานุภาพของสายอักขระยันต์ลัทธิเต๋า เล่าลือกันว่ามียอดฝีมือคนหนึ่งเดินทางลงจากเขาเพื่อท่องเที่ยวแล้วไปนั่งเข้าฌานหลุดพ้นอยู่ในป่ารกร้างแห่งหนึ่งจึงทิ้งกระบี่เล่มนี้เอาไว้ ซึ่งมือกระบี่ชุดขาวไปพบเข้าโดยบังเอิญ อาศัยเวทกระบี่ไม่ธรรมดาที่มีติดตัวบรรลุสัจธรรมแห่งวิธีกระบี่ได้สำเร็จ นับจากนั้นก็มีเริ่มมีชื่อเสียง เพียงแต่ว่าเขามีนิสัยไม่ชอบการผูกมัด จึงไม่ได้ถูกหน่วยข้าราชการหรือกองทัพชายแดนของต้าหลีเรียกตัวไป ในทางกลับกันเขายังชื่นชอบพกกระบี่เดินทางท่องเที่ยวไปทั่วยุทธภพ การที่ชื่อของคนผู้นี้ถูกจดจำท่ามกลางยุทธภพของต้าหลีที่มีปรมาจารย์ยอดฝีมือ มีทั้งเจียวและหลงปะปนซุ่มซ่อนตัวอยู่สี่ทิศได้ ก็แสดงว่าตัวเขาเองต้องไม่ธรรมดาอย่างมาก

แต่นี่ผลกลับกลายเป็นว่ายังไม่ทันชักกระบี่ออกจากฝักก็ถูกคนกำเล่นในฝ่ามือตั้งแต่ต้นจนจบ พ่ายแพ้ด้วยความอัปยศอย่างใหญ่หลวงเช่นนี้ ไม่แน่ว่าแม้แต่จิตใจการฝึกกระบี่ก็คงถูกฝุ่นปกคลุม ปณิธานแห่งกระบี่ก็อาจถูกทำให้สกปรกไปแล้ว ถ้าเช่นนั้นพื้นฐานของกลุ่มเด็กหนุ่มรองเท้าแตะจะลึกล้ำมากเท่าไหร่ ก็พอจะอาศัยสิ่งนี้มาชั่งน้ำหนักดูได้ บนเรือมีปัญญาชน พ่อค้าและจอมยุทธ์พเนจรที่ความรู้กว้างขวางประสบการณ์โชกโชนอยู่มากมาย ไม่ว่าจิตใจของพวกเขาแต่ละคนจะดีหรือเลว แต่คนโง่ก็มีอยู่ไม่มากจริงๆ

หลินโส่วอีเห็นว่าไม่มีใครมาพูดจาปราศรัยพยายามตีสนิทอีกแล้วก็นวดคลึงจุดไท่หยาง เด็กหนุ่มรู้สึกหงุดหงิดวุ่นวายใจเล็กน้อย หากไม่เป็นเพราะช่วงเวลาว่างระหว่างพักได้เห็นว่าหีบหนังสือสีเขียวมรกตที่อยู่ในมือของเฉินผิงอันเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาทีละน้อย ด้วยนิสัยเย็นชาไม่ยี่หระกับเรื่องใดที่มีมาตั้งแต่เกิดของหลินโส่วอี เกรงว่าเขาคงทนไม่ไหวแสดงท่าทางหยาบคายใส่แล้วเป็นแน่

เฉินผิงอันอดไม่ได้จึงพูดว่า “วางใจเถอะ ข้าจะต้องทำหีบหนังสือใบเล็กนี้ออกมาให้เจ้าพึงพอใจแน่นอน”

หลินโส่วอีนั่งขัดสมาธิสีหน้าเหนื่อยล้า พูดความในใจออกมาเสียงเบาเป็นที่ไม่เคยทำมาก่อน “อยากหาสถานที่เงียบสงบและงดงามแห่งหนึ่งแล้วฝึกตนอยู่เพียงลำพังจริงๆ จะได้สนใจแต่การฝึกตนของข้า โลกภายนอกจะเป็นอย่างไรก็ปล่อยไป แต่อาเหลียงเคยบอกว่า วิธีการฝึกตนเช่นนี้เรียกว่าสุสานดินแห้ง ไอ้ฝึกน่ะฝึกได้ แต่ผู้ที่ฝึกด้วยวิธีนี้มักจะเป็นผู้ฝึกลมปราณที่มีระดับสูงเท่านั้น ข้าเพิ่งจะเริ่มฝึกตน หากทำอย่างนี้เสียตั้งแต่ตอนนี้ก็อาจต้องธาตุไฟเข้าแทรก เดินผิดทางกลายเป็นพวกนอกรีตโดยไม่รู้ตัว”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ควรต้องระวังจริงๆ นั่นแหละ”

หลี่ไหวนั่งยองเท้าคางอยู่ข้างๆ พูดอารมณ์ดีว่า “หลินโส่วอี ไม่แน่ว่าอาเหลียงอาจจะแกล้งขู่เจ้าก็ได้ ข้าว่าภูเขาฉีตุนก็ไม่เลวนะ เหมาะให้เจ้าไปเป็นเทพเซียนอย่างมาก เวลาอยู่ว่างๆ ยังสามารถคุยเล่นกับเทพแห่งผืนดินเว่ยป้อนั่น ขี่เต่าตัวใหญ่ ไม่ก็ขี่งูขาวดำ มีบารมีน่าเกรงขามจะตายไป แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น ในเมื่อเจ้าไม่ไปต้าสุยแล้วก็ยกหีบหนังสือใบนี้ให้ข้าเถอะ? ตอนนี้ข้าแบกไม่ไหว รอให้ผ่านไปสองสามปีตัวสูงขึ้นอีกหน่อย แรงเยอะกว่าเดิมอีกนิดก็เปลี่ยนหีบหนังสือใบเล็กเป็นหีบหนังสือใบใหญ่ได้พอดี ข้าจะเห็นแก่ความดีของเจ้า และในอนาคตเมื่อเรียนจบกลับมาจากต้าสุย อย่างมากข้าก็ค่อยคืนให้เจ้า”

หลินโส่วอีปรายตามองหลี่ไหวที่คิดฉกฉวยผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ แล้วหัวเราะหยัน “ต่อให้ข้าฝึกวิชาอมตะอยู่บนเขาฉีตุนก็ไม่มีทางยกหีบหนังสือให้เจ้า”

หลี่ไหวอ้อรับหนึ่งที “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็คงยังไปต้าสุยกับพวกเราสินะ”

หลินโส่วอีนวดคลึงหว่างคิ้ว รู้สึกว่าคงมีเพียงอาเหลียงเท่านั้นที่สามารถปราบหลี่ไหวผู้นี้ได้

ไม่ถูกสิ หลี่เป่าผิงก็ทำได้ เฉินผิงอันก็คล้ายว่าจะทำได้เหมือนกัน

หรือว่ามีแต่ตนเท่านั้นที่ไม่รู้จะรับมือกับหลี่ไหวยังไง?

หลินโส่วอีที่อารมณ์ไม่ดีนักจ้องหลี่ไหวเขม็ง ทำเอาฝ่ายหลังรู้สึกขนลุกขนชัน รีบแสดงความจริงใจว่า “มองอะไรน่ะ หลินโส่วอี อันที่จริงข้าก็อยากให้เจ้าไปต้าสุยกับข้านะ ข้าก็แค่อยากได้หีบหนังสือของเจ้าเท่านั้น ช่วยไม่ได้ ก็มันใหญ่กว่าหีบหนังสือของข้านี่นา ข้อนี้ข้าไม่ปฏิเสธ แต่หากเจ้าจะลงจากเรือย้อนกลับไปที่ภูเขาฉีตุนจริงๆ ข้าคงรู้สึกไม่ดีแน่ๆ เจ้าคิดดูนะ ในบรรดาพวกเราสี่คนก็มีเจ้าที่ภูมิฐานที่สุด มีความคิดชั่วร้ายอยู่เต็มท้องมากที่สุด วันหน้าหากเจอกับคนเลวที่สลักคำว่าเลวไว้บนใบหน้า ยกตัวอย่างเช่นพวกที่หน้าเนื้อใจเสืออะไรพวกนั้น ต้องมีแต่เจ้าแน่ๆ ที่มองออกในปราดเดียว ว่าไหม เฉินผิงอัน หลี่เป่าผิง?”

หลี่ไหวมองซ้ายมองขวาหาตัวช่วย

เฉินผิงอันก้มหน้าก้มตาทำหีบหนังสืออย่างตั้งใจ แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย ส่วนหลี่เป่าผิงก็ไม่รู้ว่ากำลังคิดถึงปัญหาประหลาดๆ อะไรอยู่ถึงได้ใจลอยไปไกล จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

หลินโส่วอีรู้สึกหนักใจเล็กน้อย “เจ้านึกว่าพวกเราเดินทางไปต้าสุยครั้งนี้จะสบายนักหรือ? นอกจากอันตรายจากการเดินทางแล้ว ต้องยังมีเรื่องไม่ดีที่พวกเราคิดไม่ถึงเกิดขึ้นอีกมาก”

หลี่ไหวกะพริบตาปริบๆ

หลินโส่วอีเอ่ยเนิบช้า “ต้าหลีของพวกเราก่อตั้งประเทศได้ด้วยวิถีของการต่อสู้ กองกำลังในยุทธภพไม่อาจดูแคลน ทว่าปัญญชนและบัณฑิตกลับมีน้อยมาก ก่อนหน้าที่สำนักศึกษาซานหยาของท่านอาจารย์จะถูกก่อตั้ง คนทั้งบุรพแจกันสมบัติทวีปก็ด่าต้าหลีของพวกเราเป็นพวกป่าเถื่อนเสมอมา”

หลี่ไหวพยักหน้ารับ “เรื่องนี้ข้ารู้ อาจารย์ของพวกเราไม่เคยปิดบังเรื่องพวกนี้ แล้วก็ใช่ว่าเขาจะไม่เคยพูดถึงสภาวะของต้าหลีเรามาก่อน”

หลินโส่วอีถอนหายใจ “จำได้ว่าตอนที่ข้ายังเด็ก ใต้เท้าซ่งขุนนางผู้ตรวจการเคยพูดถึงเรื่องหนึ่ง บอกว่าในอดีตกว่าที่บัณฑิตของต้าหลีคนหนึ่งจะอาศัยความสามารถของตนสอบเข้าสำนักศึกษากวานหูได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ผลกลับกลายเป็นว่าถูกคนจากสี่ด้านแปดทิศดูหมิ่นเดียดฉันท์ ไม่เพียงแต่ใช้วาจาด่าหมิ่นเกียรติอย่างเดียวเท่านั้น ตามคำบอกของใต้เท้าซ่ง บัณฑิตสองคนจากสกุลเกาต้าสุยและราชวงศ์สกุลหลูน่าจะร่วมมือกันวางหลุมพรางชั่วช้าขึ้นมาติดต่อกัน ทำร้ายให้บัณฑิตท่านนั้นของต้าหลีเราจิตใจแหลกสลาย กลายมาเป็นคนฟั่นเฟือนสติวิปลาส หลายปีให้หลังกว่าจะฟื้นคืนสติสัมปชัญญะได้ไม่ใช่เรื่องง่าย กลับต้องมาถูกแทงซ้ำอีกแผลด้วยเรื่องรักระหว่างชายหญิง สุดท้ายจึงกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย”

“ด้วยเรื่องนี้ตลอดทั้งราชสำนักต้าหลีของเราต่างก็เดือดดาลอย่างหนัก ถึงได้เปิดฉากทำสงครามใหญ่ที่ใช้ชะตาบ้านเมืองเดิมพันกับราชวงศ์สกุลหลู ต้องรู้ว่าก่อนหน้านั้น ราชวงศ์สกุลหลูที่มีสถานะเป็นเจ้าเหนือหัวของต้าหลีในอดีตสร้างได้ความยากลำบากไว้มากมาย ต้าหลีได้แต่ทนแล้วก็ทน ตอนนี้แน่นอนว่าสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว ตอนนี้ต้าหลีของพวกเรามีคนเรียนหนังสือเพิ่มมากขึ้นทุกที ผู้ฝึกลมปราณบนภูเขาก็เริ่มลงจากเขามาทำงานอุทิศตนให้แก่ราชสำนักต้าหลี คอยเข่นฆ่าสังหารศัตรูอยู่ที่ชายแดนอย่างกล้าหาญ”

“และนี่ก็ทำให้เกิดสถานการณ์ใหม่เอี่ยมเพิ่มขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือปัญญาชนของต้าหลีมีสถานะสูงศักดิ์อย่างยิ่ง เหล่าบัณฑิตที่กลายมาเป็นขุนนางย่อมต้องมองว่าตัวเองสูงส่งกว่าคนอื่นระดับหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่นคนที่บอกว่าเป็นนายอำเภอหว่านผิงคนนั้นที่มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นพวกไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวที่ถูกเนรเทศออกมานอกเมืองหลวง แต่กระนั้นก็เป็นคนที่สอบเคอจวี่ติดอย่างแท้จริง ดังนั้นตอนนี้ข้าจึงเป็นกังวลว่าเมื่อชายผู้นั้นลงเรือที่ท่าภายใต้การปกครองของอำเภอหว่านผิงเมื่อไหร่ ไม่ว่าจะด้วยปณิธานของบัณฑิตหรือด้วยความไฟแรงของขุนนางที่มารับตำแหน่งใหม่ย่อมต้องเลือกเปิดเผยแผนการชั่วร้ายที่มีต่อพวกเราแน่นอน”

พูดมาถึงตรงนี้ หลินโส่วอีก็คลี่ยิ้ม “ยังดีที่เขาเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นที่มีชาติกำเนิดเป็นบัณฑิต ทว่าในบรรดาพวกเรามี ‘เทพเซียนบนภูเขา’ ที่ไม่เคยเปิดเผยโฉมหน้าอยู่คนหนึ่ง ไม่แน่ว่าอาจจะสามารถสยบขวัญเขาได้อย่างอยู่หมัด เพราะอย่างไรซะต่อให้บัณฑิตในต้าหลีจะล้ำค่าแค่ไหนก็ยังเทียบกับผู้ฝึกลมปราณไม่ได้อยู่ดี ทว่ากลัวก็แต่นายอำเภอคนนั้นจะไม่ฉลาดมากพอ หรือไม่ก็ต่อให้เขาเป็นคนที่เกิดและโตในเมืองหลวง แต่ก็ยังไม่เคยได้เห็นความร้ายกาจของผู้ฝึกลมปราณอย่างแท้จริงมาก่อน ถ้าอย่างนั้นพวกเราคงต้องเจอกับปัญหาอีกหลายทอด”

หลี่ไหวเป็นกังวลใจ หันตัวกลับไปตีลาขาวที่นอนตะแคงอยู่ด้านหลังตัวเองทีหนึ่ง กล่าวเดือดดาล “เจ้าลาน้อยตัวปัญหา! เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นคุณหนูในห้องหอหรือไง ถูกคนลูบคลำนิดหน่อยก็เล่นตัวอารมณ์เสีย?”

หลี่เป่าผิงพลันเอ่ยขึ้น “ตอนนี้ตาเฒ่าผู้นั้นต้องกำลังระบายทุกอยู่กับนายอำเภอหว่านผิงอยู่แน่ ข้าเชื่อว่ายิ่งฐานะของผู้เฒ่าสูงเท่าไหร่ เวทกระบี่ของมือกระบี่ผู้นั้นดีเท่าไหร่ นายอำเภอหว่านผิงก็ยิ่งไม่กล้าลงมืออย่างเปิดเผยมากเท่านั้น พี่ชายใหญ่ของข้าเคยบอกว่า ซิ่วไฉก่อกบฏสามปีก็ไม่สำเร็จ (เปรียบเปรยว่าแม้ปัญญาชนจะมีปณิธานยิ่งใหญ่ มีใจอยากต่อต้าน แต่เพราะอ่อนแอและขี้ขลาด เอาแน่เอานอนไม่ได้จึงไม่มีทางทำการใหญ่ได้สำเร็จ) ส่วนเรื่องที่พวกเขาจะแอบใช้กลอุบายลับหลัง พวกเราก็ไม่กลัว ขอแค่ไอ้หมอนั่นไม่กล้าใช้กองกำลังของราชสำนัก พวกเราก็ใช้แผนทหารมาใช้ขุนพลต้านรับ น้ำมาใช้ดินต้านก็พอ เจ้าหลินโส่วอีจะต้องกลัวอะไร? แค่อย่าคุมสติตัวเองไม่อยู่ก็พอ!”

หลินโส่วอีคิดตามอย่างละเอียดก็พยักหน้ารับ “น่าจะเป็นอย่างนี้แหละ”

หลี่เป่าผิงพูดจบก็ถามด้วยสีหน้าจริงจัง “ใช่ไหม อาจารย์อาน้อย?”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “ข้าจะไปรู้วิธีอ้อมค้อมวกวนของพวกบัณฑิตและพวกขุนนางเหล่านี้ได้อย่างไร สรุปก็คือเมื่อเจอปัญหา เจ้ากับหลินโส่วอีก็ปรึกษากันได้เลย”

คราวก่อนเรื่องที่ “ฝากฝังเด็กๆ” ไว้แก่สารถีหม่าของโรงเรียน พวกเด็กๆ เหล่านี้ไม่เพียงแต่กลับมาถึงเมืองเล็กได้อย่างปลอดภัย ยังสามารถหลอกสารถีที่เป็นสายลับของต้าหลีผู้นั้นให้หัวปั่นได้ด้วย อันที่จริงเรื่องนั้นหลินโส่วอีคือตัวต้นคิด หลี่เป่าผิงบอกทิศทางคร่าวๆ ส่วนหลินโส่วอีก็เป็นคนเก็บรายละเอียดเสริมช่องโหว่จนแผนการสมบูรณ์แบบ ความคิดและจิตใจของเขาเหนือกว่าคนในวัยเดียวกันมาตั้งนานแล้ว

เฉินผิงอันพลันหยุดการกระทำในมือลง ครุ่นคิดแล้วถือโอกาสวางมีดผ่าฝืนไว้ข้างเท้าไปพร้อมกันด้วย

ยามที่จิตใจไม่สงบ เฉินผิงอันจะทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น เขาจึงยอมวางทุกอย่างลงก่อนชั่วคราว แต่ไม่ยอมทำผิดพลาดง่ายๆ เด็ดขาด ตอนเผาเครื่องปั้นก่อนหน้านี้ก็เป็นเช่นนี้ ตอนนี้ฝึกวิชาหมัดก็ยิ่งเป็นเช่นนี้

หลี่เป่าผิง หลี่ไหวและหลินโส่วอีสังเกตถึงความผิดปกติได้แทบจะในเวลาเดียวกัน แม้แต่หลี่ไหวก็ยังรีบนั่งตัวตรงอย่างสำรวม

เฉินผิงอันเห็นเด็กทั้งสามทำท่าลับๆ ล่อๆ ก็ยิ้มเจื่อน “อะไรของพวกเจ้า ข้าก็แค่นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา พวกเจ้าตื่นเต้นแบบนี้ทำไมกัน”

หลี่เป่าผิงเอ่ย “อาจารย์อาน้อย ท่านลองพูดให้ฟังหน่อยสิ”

เฉินผิงอันจึงยิ้มตอบ “เมื่อครู่ข้าคิดว่านอกจากจะเรียนตัวอักษรกับพวกเจ้าแล้ว ควรจะเรียนรู้ความรู้ในตำรากับพวกเจ้าด้วยหรือไม่”

หลี่เป่าผิงอึ้งตะลึง “แต่ที่พวกเราเรียนกับท่านอาจารย์ก็เป็นแค่ความรู้ระดับประถมขั้นต้นเท่านั้น ไม่มีความรู้ลึกซึ้งที่ร้ายกาจอะไร อีกอย่างพวกเราก็เป็นแค่เด็กนักเรียนประถม จะสอนอาจารย์อาน้อยได้อย่างไร แล้วนับประสาอะไรกับที่ หลายๆ ครั้งข้าถามเรื่องความรู้ของเด็กประถม ขนาดท่านอาจารย์ฉีเองก็ยังตอบไม่ได้ พวกเราจะสอนอย่างไร หากสอนมั่วซั่วย่อมไม่ดี!”

หลี่ไหวพึมพำ “ไม่ใช่ว่าท่านอาจารย์ตอบไม่ได้สักหน่อย ก็แค่ตอบช้าไปบ้างเท่านั้น ตอนนั้นเจ้าไม่สนใจจะฟังเอง”

หลี่เป่าผิงพลันหันหน้ามาแล้วเหวี่ยงหมัดใส่หัวของหลี่ไหว

อันที่จริงหลี่ไหวไม่ได้เจ็บปวดอะไร แต่ก็ยังกุมศีรษะร้องโอดครวญ “คราวนี้จะใช้ชีวิตกันต่อไปยังไงล่ะนี่! ข้าเองก็ต้องเรียนวิชาหมัดเหมือนกัน กำลังของหลี่เป่าผิงยิ่งนานก็ยิ่งมาก ถ้าไม่เรียนอนาคตข้าต้องถูกนางพลั้งมือตีตายแน่นอน”

หลินโส่วอีถามอย่างแปลกใจ “เฉินผิงอัน เจ้าจะเรียนความรู้จากในตำราไปทำอะไร?”

เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “ข้ากลัวว่าวันหนึ่งหากข้าใช้เหตุผลกับคนอื่น หลังจบเรื่องกลับค้นพบว่าแท้จริงแล้วข้าคือคนที่ไม่มีเหตุผล ดังนั้นข้าจึงหวังว่านอกจากเหตุผลที่ผู้เฒ่าเหยาและอาเหลียงสอนข้าแล้ว ข้าจะยังเรียนรู้สิ่งที่อยู่ในตำราเหมือนที่นักเรียนอย่างพวกเจ้าได้เรียน”

หลี่ไหวเหมือนตกอยู่ท่ามกลางเมฆหมอกหนาทึบ สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง “เฉินผิงอัน เจ้าต่อสู้เก่งขนาดนั้นแล้ว อีกทั้งยังฝึกวิชาหมัดอย่างยากลำบากทุกวัน ก็ไม่ใช่เพื่อไม่ต้องใช้เหตุผลพูดคุยกับใครหรอกหรือ?”

หลินโส่วอีลังเลอยู่ชั่วครู่ก็ส่ายหน้า “เฉินผิงอัน ข้ารู้สึกว่าไม่ต้องมีเหตุผลกับทุกเรื่องเสมอไปหรอก เพราะอย่างไรซะทุกคนใต้หล้านี้ล้วนมีเส้นทางของตัวเองที่ต้องเดิน พวกเราแค่รักษาจิตใจดั้งเดิมเอาไว้ให้ได้ก็พอ หาไม่แล้วมีแต่จะยิ่งจมดิ่งลงในบ่อโคลน ไม่อาจถอนตัวขึ้นมาได้ทัน”

สีหน้าหลี่เป่าผิงเต็มไปด้วยความเข้มงวด “อาจารย์อาน้อย อย่าเพิ่งรีบร้อน ขอข้าคิดสักครู่ ข้ารู้สึกว่านี่เป็นเรื่องใหญ่มาก ข้าจำเป็นต้องรับมืออย่างจริงจัง ต้องไตร่ตรองอย่างละเอียด!”

ตอนที่เรียนอยู่ในโรงเรียนของเมืองเล็ก ฉีจิ้งชุนก็ทำแบบนี้ ทุกครั้งที่หลี่เป่าผิงถามปัญหาที่มองดูแล้วตื้นเขินอย่างถึงที่สุด เขากลับตกสู่ภวังค์ของการครุ่นคิดอย่างจริงจัง และส่วนใหญ่ก็มักจะใช้เวลาหลายวันกว่าจะให้คำตอบนางได้

เฉินผิงอันยิ่งเกิดความจนใจ เงยหน้ามองท้องฟ้าสีครามสดใส ผ่านไปครู่หนึ่งเมื่อถอนสายตากลับคืนมา ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ใบหน้าของเขาถึงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

“ที่ข้าต้องทำอะไรให้ยุ่งยากแบบนี้ แท้จริงแล้วมาจากใจที่เห็นแก่ตัว อาจเป็นเพราะพวกเจ้าไม่ได้ฝึกวิชาหมัดอย่างแท้จริง ดังนั้นจึงยังไม่มีความรู้สึกนี้ แต่หลังจากที่ข้าฝึกตำราหมัดเล่มนั้นกลับมีความรู้สึกเช่นนี้มาโดยตลอด พูดไปแล้วก็ไม่กลัวว่าพวกเจ้าจะหัวเราะเยาะหรอก ความรู้สึกนั้นก็คือทุกครั้งที่ข้าเผชิญหน้ากับศัตรู ขอแค่ข้ารู้สึกว่าตัวเองมีเหตุผล ไม่ว่าจะพูดมันออกมาหรือไม่ ข้าก็จะคิดว่าตัวเองถูกเสมอ! ดังนั้นลึกๆ ในใจของข้าจึงเหมือนมีคนคอยบอกกับข้าตลอดเวลาว่า การออกหมัดของเจ้าครั้งนี้สามารถทำได้โดยเร็ว!”

อันดับต่อมา คนทั้งสามเหมือนได้เห็นเฉินผิงอันคนใหม่ที่เป็นคนแปลกหน้าอย่างสิ้นเชิง

กระบี่จงมา Sword of Coming

กระบี่จงมา Sword of Coming

Status: Ongoing
” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์  ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์  หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า  แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “
เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา
เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม
และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง
ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้
–ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท