กลุ่มของเฉินผิงอันเดินจากทิศเหนือขึ้นเขามุ่งหน้าลงใต้ เดินไปได้พอประมาณก็เจอเข้ากับคนกลุ่มหนึ่งที่เดินจากทิศใต้มุ่งหน้าไปทางเหนือพอดี เป็นนักพรตเต๋าชราคนหนึ่งที่ด้านหลังสะพายกระบี่ไม้ท้อ ตรงเอวห้อยกระดิ่งสีเงินไว้พวงหนึ่ง ชุดคลุมนักพรตเต๋าเก่าซีด สวมรองเท้าสาน ไม่มีกลิ่นอายของความเป็นเซียนสักเท่าไหร่ แต่กลิ่นอายของความยากจนกลับเปี่ยมล้น
ด้านหลังมีเด็กหนุ่มขาเป๋สีหน้าทึ่มทื่อคนหนึ่งเดินตามมา นอกจากจะสะพายห่อสัมภาระชิ้นใหญ่แล้ว ตรงไหล่ยังพาดธงที่เขียนคำว่า “ปราบปีศาจจับผี กำจัดมารผดุงคุณธรรม” ไว้เฉียงๆ อีกด้วย คาดว่าคงจะถูกซักมาแล้วหลายครั้ง เนื้อผ้าจึงซีดขาวนานแล้ว และหมึกของอักษรทั้งแปดคำก็จางลงเต็มที นอกจากนี้ยังมีแม่นางน้อยอายุประมาณเจ็ดแปดขวบหน้ากลมดิก แต่รูปร่างเล็กผอมคอยประคองนักพรตเต๋าชราที่ไม่รู้ว่าทำไมถึงหลับตาอยู่ตลอดเวลาเอาไว้
นักพรตเต๋าชราพลันเงยหน้าขึ้น ‘มอง’ ไปทางเทือกเขาสีดำทะมึนที่ทอดตัวยาว กล่าวด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “เอ๊ะ? ภูเขาแห่งนี้ห่างจากศาลเทพแม่น้ำซิ่วฮวาไม่ไกลนัก แต่ทำไมถึงมีกลิ่นอายปีศาจชัดเจนขนาดนี้ผุดขึ้นฟ้า? นี่ต้องมีความนัยลึกลับแอบแฝงเป็นแน่ แม้จะบอกว่าภูเขาและแม่น้ำมีขอบเขตของใครของมัน ไม่ข้องเกี่ยวกัน แต่สถานที่แห่งนี้ประหลาดนัก ประหลาดมากจริงๆ”
แม่นางน้อยแก้มแดงปลั่งที่ได้ยินประโยคนี้ก็เอ่ยถามอย่างเป็นกังวล “อาจารย์ ถ้าอย่างนั้นจะทำอย่างไรดีล่ะเจ้าคะ? คราวก่อนตอนอยู่ภูเขาซานจือท่านจับปีศาจล้มเหลว คนที่ออกเงินจ้างพวกเราโกรธจนแม้แต่เงินค่าตอบแทนก็ไม่จ่ายให้ ตอนนี้พวกเราเหลือเงินอีกไม่มากแล้วจริงๆ ไม่อย่างนั้นพวกเราอ้อมไปทางอื่นดีไหมเจ้าคะ?”
นักพรตเต๋าชราแค่นเสียงเย็น “อ้อมไปทางอื่น? หากนักพรตผู้ต่ำต้อยอย่างข้าไม่เจอเข้าโดยบังเอิญก็ว่าไปอย่าง ถือว่าปีศาจมารชั่วร้ายพวกนั้นโชคดี แต่ในเมื่อวันนี้ถูกข้านักพรตผู้ต่ำต้อยเจอเข้าแล้ว มีหรือจะยอมปล่อยไป! บนธงเขียนไว้ว่ากำจัดมารผดุงคุณธรรม หากไม่ทำตามก็ไม่เท่ากับให้คนนอก…”
แม่นางน้อยถอนหายใจเอ่ยเตือน “อาจารย์ ที่นี่ไม่มีคนนอก”
นักพรตเต๋าชราหัวเราะแห้งๆ “ปากไว ปากไวไปหน่อย อาจารย์ยังไม่ทันคืนสติจากเรื่องของภูเขาซานจือ ช่างน่าโมโหยิ่งนัก ไม่มีคุณความชอบก็มีความเหนื่อยยาก แต่นี่พวกเขากลับไม่ยอมจ่ายเงินแม้แต่ครึ่งเหรียญทองแดง บนโลกมีคนหน้าด้านไร้ยางอาย ใจดำปอกลอกคนอื่นเพื่อความร่ำรวยแบบนี้อยู่ได้อย่างไร สมควรแล้วที่สุสานบรรพบุรุษของพวกเขาถูกผีภูเขายึดครอง ลูกหลานต้องเจอหายนะหลายครั้งหลายครา…”
แม่นางน้อยเอ่ยเตือนขึ้นมาอีก “อาจารย์ ท่านไม่ได้พูดบ่อยๆ หรือว่าคนฝึกตนอย่างพวกเราควรมีใจราบเรียบเป็นกลางน่ะ?”
นักพรตเต๋าชราที่ก่อนหน้านี้เป็นผู้เฒ่าใจดีมีเมตตาพลันเดือดดาลเกรี้ยวกราด ยื่นนิ้วสองข้างไปหนีบแขนของแม่นางน้อยหน้ากลมแล้วบิดอย่างแรง สีหน้าเต็มไปด้วยความดุดัน “ใครมอบความกล้าให้เจ้าหันมาสั่งสอนอาจารย์? ยังจะกล้าสอนข้าไม่จบไม่สิ้นอีกด้วย!”
แม่นางน้อยเจ็บจนร้องไห้เสียงดัง รีบวิงวอน “เจ็บๆๆ อาจารย์ ไม่กล้าแล้ว ข้าไม่กล้าแล้ว…”
นักพรตเต๋าชราไม่ได้หันตัวกลับไป เพียงใช้มือตบไปที่กระดิ่งตรงเอวของตัวเองหนักๆ หนึ่งที เสียงกรุ๊งกริ๊งดังขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะอย่างดุดันของเขา “เจ้าเศษสวะน้อย ยังกล้ามีใจคิดสังหารอาจารย์อย่างนั้นรึ?”
เด็กหนุ่มขาเป๋สีหน้าเฉยชา แต่เพียงไม่นานก็มีเลือดสดหลั่งออกมาจากจมูกและรูหู ทว่าถึงกระนั้นเด็กหนุ่มทึ่มทื่อก็ไม่พูดไม่จา ไม่โวยวายแม้แต่คำเดียว
เสียงร้องไห้ของแม่นางน้อยยิ่งเพิ่มความเสียใจ “อาจารย์ ท่านปล่อยศิษย์พี่ไปเถอะ เขาต้องไม่ได้ตั้งใจแน่ๆ ข้ารับปากอาจารย์ว่าภายในสามวันจากนี้จะต้องพยายามหาน้ำพุหนึ่งจินมาให้อาจารย์ให้ได้!”
นักพรตเต๋าชรายิ้มหน้าบาน ขยี้ศีรษะของแม่นางน้อยแรงๆ กำลังมือนั้นไม่น้อย ทำเอาร่างผอมบางของแม่นางน้อยโยกซ้ายโยกขวา “ไม่ใช่แค่พยายาม แต่ต้องหามาให้ได้”
ในที่สุดนักพรตเต๋าชราก็ยอมดึงมือที่แห้งเหี่ยวดุจต้นไม้แก่ของตนกลับไป หัวเราะเสียงดัง “ขึ้นเขา! ม้าต้องกินหญ้าจึงจะเติบโต ไม่แน่ว่าคราวนี้อาจได้เงินก้อนใหญ่ จะว่าไปแล้วนับตั้งแต่ที่มีสวะน้อยอย่างพวกเจ้าสองคนมาอยู่ข้างกาย แม้จะมาแย่งกินแย่งใช้ แต่อาจารย์กลับสงบจิตใจในการฝึกตนได้ไม่น้อย พอคิดอย่างนี้อาจารย์ก็รู้สึกว่าหลังจากนี้ต้องดีกับพวกเจ้าให้มากหน่อย ฮ่าๆ”
แม่นางน้อยประคองนักพรตเต๋าชราให้เริ่มเดินขึ้นเขา
เด็กหนุ่มขากะเผลกเช็ดเลือดเงียบๆ คล้ายเคยชินเสียแล้ว
แม่นางน้อยแอบหันกลับไปส่งยิ้มให้ เด็กหนุ่มก็ขยับปากยิ้มตอบบอกให้รู้ว่าตัวเองไม่เป็นอะไร
หลังจากอาจารย์และศิษย์สามคนเดินขึ้นเขามาแล้ว เวลาส่วนใหญ่กลับหมดไปกับการเดินวนเวียนไปเรื่อยเปื่อย ไม่อาจค้นพบที่มาของปราณปีศาจได้อย่างแน่ชัด นักพรตเต๋าชราสามารถสัมผัสได้้ตลอดเวลาว่ามีปราณปีศาจอ่อนจางอบอวลอยู่ทั่วต้นไม้ใบหญ้ารอบด้าน แต่เขากลับหาประตูทางเข้าไปพบมันไม่เจอ นักพรตเต๋าชราจึงรู้ดีอยู่แก่ใจว่าตบะของปีศาจใหญ่ตนนี้ต้องไม่อ่อนด้อยแน่ หาไม่แล้วคงไม่มีความสามารถที่จะใช้เวทอำพรางตากลางวันแสกๆ อย่างนี้
แต่ถึงกระนั้นนักพรตเต๋าชราก็ยังไม่ยอมแพ้ ทุกวันจะต้องให้เด็กหนุ่มขากะเผลกแบกธงไปสำรวจเส้นทาง ส่วนตัวเองก็พาแม่นางน้อยหน้ากลมไปนั่งพักผ่อนใกล้ๆ กับเส้นทางบนภูเขา คอยหยิบเอาเข็มทิศที่ทำจากไม้ออกมาเป็นระยะ มันมีชื่อเรียกว่าเข็มทิศพลิกกลับ เป็นวิธีที่นักพรตลัทธิเต๋าและผู้ฝึกวิชาหยินหยางมักจะนำออกมาใช้บ่อยๆ ไม่มีอะไรแปลกใหม่ เพียงแต่ว่าบางครั้งตรงเข็มเล่มเล็กสีชาดตรงก้นทะเลบ่อสวรรค์จะมีประกายแสงสีทองไหลรินเป็นบางครา แสดงให้เห็นถึงกลไกลี้ลับที่ถูกซุกซ่อนไว้ของเข็มทิศชิ้นนี้
ท้องฟ้ามืดครึ้ม ไอหมอกแผ่คลุมหนา ฝนอาจตกลงมาได้ทุกเมื่อ เวลานี้นักพรตเต๋าชรากำลังนั่งยองอยู่ข้างทาง ก้มหน้าลงจ้องเขม็งไปที่เข็มทิศ พร่ำท่องไม่หยุดว่า “พลิกพลิกกลับ ภูเขายี่สิบสี่ลูกมีภูเขาเงินมีภูเขาทอง พลิกพลิกกลับ ภูเขายี่สิบสี่ลูกมีบ่อมังกรถ้ำพยัคฆ์”
ผู้เฒ่าเก็บเข็มทิศ หันหน้ามองไปยังทิศไกลของเส้นทางภูเขา เอ่ยกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “เส้นทางหาเงินมาแล้ว ฟ้าย่อมมีทางออกให้คนเสมอ ดูท่าเมื่อไปถึงอำเภอหว่านผิงคงจะจิบเหล้าจอกเล็กได้สักสองสามจอกแล้ว”
แม่นางน้อยหน้ากลมมองไปตามสายตาของนักพรตเต๋าชราจึงเห็นว่าคนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินเข้ามาช้าๆ นางพยายามเบิกตากว้างมองไป เมื่อคนเหล่านั้นขยับเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ นางก็ค้นพบว่าคนที่เป็นผู้นำคือเด็กหนุ่มสวมรองเท้าแตะแบกตะกร้าใบใหญ่ มือถือมีดผ่าฟืน บางครั้งก็ยกขึ้นฟันกิ่งไม้ข้างทางที่ยื่นมาขวางเส้นทางเล็กแคบเพื่อป้องกันไม่ให้หนามเกี่ยวเสื้อผ้าขาด ด้านหลังยังมีคนอีกสามคน ต่างก็อายุไม่มาก ตั้งแต่พี่สาวตัวน้อยสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดง เด็กชายที่ทำท่าทางลับๆ ล่อๆ และพี่ชายหนุ่มน้อยที่สีหน้าเย็นชาคนหนึ่ง ด้านหลังคนทั้งสามต่างก็สะพายหีบหนังสือสีเขียวมรกตใบเล็กที่น่ารักอย่างถึงที่สุด
สุดท้ายยังมีลาสีขาวที่แบกสัมภาระเดินตามมาด้วยอีกหนึ่งตัว
แม่นางน้อยกดเสียงพูดแผ่วต่ำ “อาจารย์ ดูไม่เหมือนคนมีเงินเลยนะ หรือว่าควรจะปล่อยไป?”
นักพรตเต๋าตาบอดเลิกคิ้วสูง “ขายุงก็ยังเป็นเนื้อ เจ้าก็ถือเป็นคนดูแลบ้านครึ่งตัวแล้ว ในถุงมีเงินเหลือเท่าไหร่จะไม่รู้เชียวหรือ? เอาแค่กระเพาะครากอย่างศิษย์พี่เจ้าผู้นั้น กินเงินอาจารย์ไปแล้วกี่มากน้อย? หากไม่เป็นเพราะอาจารย์สงสารพวกเจ้า พวกเจ้าคิดว่าโลกใบนี้จะปล่อยให้พวกเจ้ามีชีวิตรอดอยู่สักกี่วัน…”
แม่นางน้อยที่รู้ความรีบทุบไหล่ให้นักพรตเต๋าชรา คลี่ยิ้มจริงใจ กล่าวอย่างซาบซึ้งในบุญคุณ “ดังนั้นข้าและพี่ชายจึงยอมเป็นวัวเป็นม้าให้ท่านอาจารย์โดยไม่เคยบ่นแม้แต่คำเดียว แต่ว่าหากวันหน้าอาจารย์โมโห อย่าสั่งสอนข้าต่อหน้าพี่ชายได้หรือไม่? แบบนั้นพี่ชายจะได้ไม่โกรธ แล้วอาจารย์ก็ไม่ต้องใช้เวทคาถาของสำนักลงโทษเขา”
นักพรตเต๋าชราลุกขึ้นยืนช้าๆ แม่นางน้อยรีบหยุดมือแล้วขยับไปยืนอยู่ด้านข้าง
คนกลุ่มนั้นก็คือพวกเฉินผิงอันที่มุ่งหน้าลงใต้ไปยังด่านเหย่ฟูของต้าหลี
อันที่จริงเฉินผิงอันมองเห็นนักพรตเต๋าชราที่ฉีกยิ้มกว้างและแม่นางน้อยท่าทางสำรวมอยู่นานแล้ว
หลังจากที่พวกเฉินผิงอันขยับเข้ามาใกล้ นักพรตเต๋าชราก็ลูบเคราคลี่ยิ้ม เอ่ยภาษาทางการของต้าหลีที่ไม่ชัดเจนนักด้วยถ้อยคำที่ราวกับว่าหากไม่น่าตะลึงจนคนตกใจตายจะไม่ยอมเลิกราเด็ดขาด
“หากข้านักพรตผู้ต่ำต้อยมองไม่ผิดล่ะก็ ทุกท่านกำลังเดินทางท่องไปไกล เคยมีหายนะที่เห็นเลือดมาแล้ว แต่อย่าคิดว่าหลังจากเผชิญหายนะใหญ่มาได้โดยที่ไม่ตายแล้วจะต้องโชคดีเสมอไป ตามความเห็นของนักพรตผู้ต่ำต้อยอย่างข้า อันดับต่อไปพวกเจ้ายังจะต้องเจอกับหายนะที่แท้จริงอีกครั้ง เมื่อผ่านอุปสรรคนี้ไปแล้วถึงจะได้รับโชคดีภายหลังอย่างแท้จริง”
เฉินผิงอันใจหายวาบ แต่ไม่แสดงออกมาทางสีหน้า
หลี่เป่าผิงมองประเมินแม่นางน้อยที่ใบหน้าซีดขาวเล็กน้อยคนนั้น ฝ่ายหลังส่งยิ้มเขินอายมาให้ หลี่เป่าผิงก็ยิ้มให้นางเช่นกัน
แม่นางน้อยสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงกับแม่นางน้อยที่อายุน้อยยิ่งกว่าถูกชะตากันในทันใด
ประโยคที่ว่า ‘นักพรตเฒ่าเจ้าไม่ใช่คนตาบอดหรอกหรือ ทำไมถึงเห็นนี่เห็นนั่นไปหมด’ ซึ่งมารออยู่ตรงปากของหลี่ไหวเกือบจะหลุดจากปากออกไป เพียงแต่มรสุมที่เกิดขึ้นบนเรือล่องแม่น้ำซิ่วฮวาสลักลึกอยู่ในใจหลี่ไหว ทำให้เขารีบอุดปากตัวเอง ตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะไม่ก่อเรื่อง
นักพรตเต๋าชราเหมือนจะมองความคิดของหลี่ไหวออกจึงหัวเราะร่าเสียงดัง “พวกเจ้าไม่รู้อะไร วิชาเต๋าของข้ามีเวทอภินิหารสิบอย่าง หนึ่งในนั้นมีคำบอกว่า ‘ดวงตาคือถ้ำที่เปิดอ้า ฟ้าดินสว่างไสว ภูตผีหลีกห่างไกล’ ข้านักพรตผู้ต่ำต้อยเชี่ยวชาญวิชาอภินิหารนี้พอดี ไม่กล้าพูดว่ามีฝีมืออยู่ในขั้นสุดยอด แต่กลับฝึกจนประสบความสำเร็จเล็กๆ เวลามองคนไม่ใช้ดวงตามองหนังหุ้มภายนอก แค่ใช้ใจมองสีหน้าท่าทองของทุกท่านเท่านั้น”
หลินโส่วอีกล่าวด้วยสีหน้าเฉยชา “อริยะลัทธิขงจื๊อของพวกเราเคยสั่งสอนว่า คนที่พบกันโดยบังเอิญ ไม่พูดถึงเรื่องประหลาด ความกล้าหาญ กบฏและภูตผีสิ่งศักดิ์สิทธิ์”
นักพรตเต๋าชราตกตะลึงไปเล็กน้อย แต่ไม่นานก็ถอนหายใจ “ช่างเถอะๆ ศาสนาพุทธไม่ก้าวก่ายผู้ไร้วาสนา ลัทธิเต๋าก็ไม่ช่วยคนที่โง่เขลา ไปเถอะ หวังว่าบนเส้นทางนี้พวกเจ้าจะระวังตัวด้วยก็แล้วกัน หากเจอกับปัญหาจริงๆ ก็ตะโกนเรียกดังๆ ได้ หากนักพรตผู้ต่ำต้อยโชคดีได้ยินย่อมต้องย้อนกลับมาให้ความช่วยเหลือแน่ แต่หากอยู่ห่างกันเกินไป ต่อให้นักพรตผู้ต่ำต้อยมีใจแต่ก็ไร้กำลัง”
กล่าวประโยคเหล่านี้จบ นักพรตเต๋าตาบอดก็เบี่ยงตัวหลีกทางให้
เฉินผิงอันจึงกล่าวยิ้มๆ “พวกเราจะระวัง ขอบคุณท่านนักพรตที่เอ่ยเตือน”
ทั้งสองฝ่ายเดินสวนไหล่ผ่านกันไป หลี่เป่าผิงชูมือสูงโบกมือกว้างๆ ให้กับแม่นางน้อยหน้ากลมตัวผอมแห้ง แม่นางน้อยจึงยกมือขึ้นมาโบกตรงหน้าอกเบาๆ อย่างขลาดกลัว ถือเป็นการบอกลาอย่างไร้เสียง
รอจนเงาของกลุ่มเฉินผิงอันหายไปบนเส้นทางภูเขาแล้ว นักพรตเต๋าชราก็พึมพำกับตัวเองว่า “ตลอดทางที่เดินทางมา คนต้าหลีหากไม่ใช่พวกผู้ฝึกยุทธ์หยาบคาย ก็เป็นพวกชาวบ้านไร้ความรู้ วิธีนี้ของข้านักพรตผู้ต่ำต้อยเอามาใช้ร้อยครั้งก็ไม่เคยพลาด แต่ทำไมวันนี้ถึงใช้ไม่ได้ผล? ไออัปมงคล ไออัปมงคล ไม่ว่าเรื่องใดก็ไม่ราบรื่น ดูท่าการปราบปีศาจครั้งนี้จะยิ่งล้มเหลวไม่ได้ซะแล้ว ปีศาจใหญ่ในภูเขาต้องมีทรัพย์สมบัติมหาศาลเป็นแน่ ครั้งนี้…”
หนังตาของนักพรตเต๋าตาบอดกระตุกเบาๆ หยุดปากตัวเองลง ตบศีรษะของแม่นางน้อยที่มองไปยังเส้นทางภูเขาด้วยความอาลัยอาวรณ์เบาๆ กล่าวอย่างอ่อนโยนน่าสนิทชิดเชื้อ “จิ่วเอ๋อร์ ขอแค่เรื่องนี้สำเร็จ การฝึกวิชาสายฟ้าของอาจารย์ก็จะได้รับการรับประกัน ไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องทรัพย์สินเงินทองอีกต่อไป ถ้าอย่างนั้นวันหน้าอาจารย์ก็จะยิ่งดีกับพวกเจ้าพี่น้องมากขึ้น”
แม่นางน้อยเงยหน้าเอ่ยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ขอแค่วันหน้าอาจารย์ไม่ตีกระดิ่งบ่อยๆ ก็ดีมากแล้ว!”